สวัสดีค่ะ เรื่องช็อคนี้เกิดขึ้นเมื่อ 29 สิงหาที่ผ่านมานี้เอง เราคิดอยู่หลายครั้งว่าจะตั้งกระทู้ดีมั้ย ก็ขอมาตั้งดีกว่า
เรารู้จักกะแฟนคนนี้ (ขอเรียกว่า P) มาประมาณ 5-6 ปีได้ ตั้งแต่ 2008 ผ่านเพื่อน P เป็นรุ่นพี่โรงเรียนม.ปลายของเพื่อนเรา แต่อ่อนกว่าเราปีนึง ตอนรู้จักกันเป็นเพราะเพื่อนเรานั่งแชท msn แล้วเพื่อนเราพิมพ์ช้า เรานั่งรอเพื่อนและอยากกลับบ้านเร็วๆ เลยพิมพ์แทนเพื่อน และเออ เราว่าผู้ชายคนนี้คุยสนุกดี ตลกดี และนั่นคือ จุดเริ่มต้น
P จบวิศวะ แต่กลับไปช่วยที่บ้านขายข้าวสารอยู่ที่เพชรบุรี P เป็นครอบครัวคนจีน กงสี ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ก็ค้าขายอยู่ละแวกบ้านเดียวกันหมด ที่บ้านเปิดขายข้าวทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่มีวันหยุด แต่เรา 2 คน ก็สามารถคุยกันได้ผ่าน msn ซึ่ง P จะออนเกือบตลอด คุยกันไปได้เกือบปี เราก็ได้มีโอกาสนัดเจอกันตัวเป็นๆ ในปี 2009
การเจอกันครั้งแรกของเราในวันแรก กินเวลา 11 ชั่วโมงกว่าๆ เป็นอะไรที่เรา 2 คนกลับมาคุยกันทีหลังว่าจริงๆ อยากอยู่เจอกันต่อยังไม่อยากกลับบ้าน ตอนกลับบ้านเดินจากกันต่างคนก็ต่างหันกลับไปมองอีกฝ่าย เหมือนในละครประมาณนั้น 55
ต่อมาอีกไม่กี่เดือนเราก็เจอกันอีก และในปีนี้เองที่เรา 2 คนตกลงเป็นแฟนกันเพราะคุยกันมาปีกว่า ก็คุยถูกคอกัน ชอบอะไรเหมือนกันทุกอย่าง คิดอะไรเหมือนกัน แนวทางเดียวกัน และด้วยความที่เรา 2 คนอยู่คนละจังหวัด การติดต่อของเราส่วนใหญ่ก็เป็น msn การโทรศัพท์ คุยกันทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงในตอนกลางคืน และตอนกลางวันก็โทรคุยกันบ้าง แม้ตอนนั้นเราจะเรียนโท เราทำแล็ปไป แม้จะยุ่งแค่ไหน P โทรมาเราก็รับและคุยตลอดแม้จะชั่งสารหรือเติมสารเคมีก็ตาม เราให้ความสำคัญกับ P มากๆ P เองโทรหาเราบ่อยมากในระหว่างวันทั้งตอนไปโกดังเก็บข้าว ไปธนาคาร ขายของ กินข้าว จะไปไหนมาไหนต้องโทรเราบอกตลอด เช้าจะโทรมาบอก morning ตลอดแม้กระทั่งเค้าไปเที่ยวเกาหลีก็โทรทางไกลมาบอกทุกวันในตอนเช้า
บางครั้งที่เราเจอกัน เจอกันที่ กทม บ้าง จังหวัดเค้าบ้าง ผลัดกันไปหา เนื่องจากเพราะ P ไม่มีวันหยุด ไม่มีคนช่วยที่บ้านขายของ เพราะที่บ้านค้าขายกันเอง เราก็เลยต้องไปหาที่จังหวัดเค้า เราเองได้มีโอกาสเจอเพื่อน P ที่เพชรบุรีด้วยนะคะ ตามโอกาสที่อำนวย แต่ไม่มีโอกาสได้เจอที่บ้านเค้า เพราะ P เองก็พูดว่ายังไม่พร้อม เราเองก็ยังเรียนไม่จบก็เลยไม่ได้ว่าอะไร
และจุดเริ่มต้นความห่าง (กว่าเดิม) ก็เกิดขึ้นเมื่อสิงหาคม ปี 2011 P บินไปเรียนภาษาที่อเมริกา แม้ว่าก่อนออกจากไทยจะโทรหา และไปถึงอเมริกาก็โทรหา บีบีหาบ่อยๆ แต่เมื่อผ่านไปซัก 2 เดือนด้วยความที่เค้าเริ่มปรับตัวได้ ก็เลยเริ่มมีปาร์ตี้เยอะ แทบทุกคืน วันหยุดก็เที่ยวตลอด อีกทั้งเวลาที่ต่างกันคนละเวลาเลย เรากลางวัน P กลางคืน บวกกับตอนนั้นเราทำงาน ก็เลยรู้สึกว่าคุยน้อยลง แต่ก็ยังคุยกันอยู่ จนกระทั่ง P ก็กลับไทยในเดือนกุมภา 2012 พร้อมกับของฝากที่ตอนนั้นเรายังเอามาเปิดถุงให้ห้องแป้งดูด้วยซ้ำ
ต่อมา มิถุนายน 2012 ที่บ้านให้ P บวชค่ะ แต่ P ไม่ได้ให้เราไปตอนบวชนะ เพราะ P บอกว่า P บวชวัดไกล ไปมาลำบากและบวชเช้ามาก โอเคจุดนี้เข้าใจว่ากลัวเราลำบาก เราก็เลยไปถวายเพลที่วันในช่วงบวช คือ พระ เณรก็เห็นกันหมดว่ามีสีกามาถวายเพลด้วยเชสเตอร์กริลล์ 2-3 ครั้ง ช่วงบวชก็มีโทรคุยนะคะ แต่ก็ไม่นาน เพราะต้องสำรวม
พอ P สึกออกมา ก็เป็นช่วงที่เราเรียนต่ออีกค่ะ แต่ก็ตลอดเวลาเราคุยกันทุกวันส่วนใหญ่จะเป็นบีบี เพราะต่างคนต่างก็ยุ่ง แต่ก็หาเวลามาเจอกันบ้าง มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ แต่ P เริ่มพูดเยอะว่าอยากให้เรามองหาคนอื่นบ้าง คุยกับคนอื่นบ้าง เราก็บอกไปว่าไม่อ่ะ เราคบเธอเราโอเคมาก ไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ไม่ว่า P จะพูดกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเราก็พูดแบบนี้ไป ในใจไม่ตะหงิดอะไรเลยค่ะ
==> "ช็อค" <== เมื่อแฟนคนที่คบมา 5 ปี บอกว่ากำลังจะแต่งงานปีหน้ากับ "คนอื่น"
เรารู้จักกะแฟนคนนี้ (ขอเรียกว่า P) มาประมาณ 5-6 ปีได้ ตั้งแต่ 2008 ผ่านเพื่อน P เป็นรุ่นพี่โรงเรียนม.ปลายของเพื่อนเรา แต่อ่อนกว่าเราปีนึง ตอนรู้จักกันเป็นเพราะเพื่อนเรานั่งแชท msn แล้วเพื่อนเราพิมพ์ช้า เรานั่งรอเพื่อนและอยากกลับบ้านเร็วๆ เลยพิมพ์แทนเพื่อน และเออ เราว่าผู้ชายคนนี้คุยสนุกดี ตลกดี และนั่นคือ จุดเริ่มต้น
P จบวิศวะ แต่กลับไปช่วยที่บ้านขายข้าวสารอยู่ที่เพชรบุรี P เป็นครอบครัวคนจีน กงสี ญาติพี่น้องส่วนใหญ่ก็ค้าขายอยู่ละแวกบ้านเดียวกันหมด ที่บ้านเปิดขายข้าวทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่มีวันหยุด แต่เรา 2 คน ก็สามารถคุยกันได้ผ่าน msn ซึ่ง P จะออนเกือบตลอด คุยกันไปได้เกือบปี เราก็ได้มีโอกาสนัดเจอกันตัวเป็นๆ ในปี 2009
การเจอกันครั้งแรกของเราในวันแรก กินเวลา 11 ชั่วโมงกว่าๆ เป็นอะไรที่เรา 2 คนกลับมาคุยกันทีหลังว่าจริงๆ อยากอยู่เจอกันต่อยังไม่อยากกลับบ้าน ตอนกลับบ้านเดินจากกันต่างคนก็ต่างหันกลับไปมองอีกฝ่าย เหมือนในละครประมาณนั้น 55
ต่อมาอีกไม่กี่เดือนเราก็เจอกันอีก และในปีนี้เองที่เรา 2 คนตกลงเป็นแฟนกันเพราะคุยกันมาปีกว่า ก็คุยถูกคอกัน ชอบอะไรเหมือนกันทุกอย่าง คิดอะไรเหมือนกัน แนวทางเดียวกัน และด้วยความที่เรา 2 คนอยู่คนละจังหวัด การติดต่อของเราส่วนใหญ่ก็เป็น msn การโทรศัพท์ คุยกันทุกวันวันละ 1-2 ชั่วโมงในตอนกลางคืน และตอนกลางวันก็โทรคุยกันบ้าง แม้ตอนนั้นเราจะเรียนโท เราทำแล็ปไป แม้จะยุ่งแค่ไหน P โทรมาเราก็รับและคุยตลอดแม้จะชั่งสารหรือเติมสารเคมีก็ตาม เราให้ความสำคัญกับ P มากๆ P เองโทรหาเราบ่อยมากในระหว่างวันทั้งตอนไปโกดังเก็บข้าว ไปธนาคาร ขายของ กินข้าว จะไปไหนมาไหนต้องโทรเราบอกตลอด เช้าจะโทรมาบอก morning ตลอดแม้กระทั่งเค้าไปเที่ยวเกาหลีก็โทรทางไกลมาบอกทุกวันในตอนเช้า
บางครั้งที่เราเจอกัน เจอกันที่ กทม บ้าง จังหวัดเค้าบ้าง ผลัดกันไปหา เนื่องจากเพราะ P ไม่มีวันหยุด ไม่มีคนช่วยที่บ้านขายของ เพราะที่บ้านค้าขายกันเอง เราก็เลยต้องไปหาที่จังหวัดเค้า เราเองได้มีโอกาสเจอเพื่อน P ที่เพชรบุรีด้วยนะคะ ตามโอกาสที่อำนวย แต่ไม่มีโอกาสได้เจอที่บ้านเค้า เพราะ P เองก็พูดว่ายังไม่พร้อม เราเองก็ยังเรียนไม่จบก็เลยไม่ได้ว่าอะไร
และจุดเริ่มต้นความห่าง (กว่าเดิม) ก็เกิดขึ้นเมื่อสิงหาคม ปี 2011 P บินไปเรียนภาษาที่อเมริกา แม้ว่าก่อนออกจากไทยจะโทรหา และไปถึงอเมริกาก็โทรหา บีบีหาบ่อยๆ แต่เมื่อผ่านไปซัก 2 เดือนด้วยความที่เค้าเริ่มปรับตัวได้ ก็เลยเริ่มมีปาร์ตี้เยอะ แทบทุกคืน วันหยุดก็เที่ยวตลอด อีกทั้งเวลาที่ต่างกันคนละเวลาเลย เรากลางวัน P กลางคืน บวกกับตอนนั้นเราทำงาน ก็เลยรู้สึกว่าคุยน้อยลง แต่ก็ยังคุยกันอยู่ จนกระทั่ง P ก็กลับไทยในเดือนกุมภา 2012 พร้อมกับของฝากที่ตอนนั้นเรายังเอามาเปิดถุงให้ห้องแป้งดูด้วยซ้ำ
ต่อมา มิถุนายน 2012 ที่บ้านให้ P บวชค่ะ แต่ P ไม่ได้ให้เราไปตอนบวชนะ เพราะ P บอกว่า P บวชวัดไกล ไปมาลำบากและบวชเช้ามาก โอเคจุดนี้เข้าใจว่ากลัวเราลำบาก เราก็เลยไปถวายเพลที่วันในช่วงบวช คือ พระ เณรก็เห็นกันหมดว่ามีสีกามาถวายเพลด้วยเชสเตอร์กริลล์ 2-3 ครั้ง ช่วงบวชก็มีโทรคุยนะคะ แต่ก็ไม่นาน เพราะต้องสำรวม
พอ P สึกออกมา ก็เป็นช่วงที่เราเรียนต่ออีกค่ะ แต่ก็ตลอดเวลาเราคุยกันทุกวันส่วนใหญ่จะเป็นบีบี เพราะต่างคนต่างก็ยุ่ง แต่ก็หาเวลามาเจอกันบ้าง มันก็ดูเหมือนไม่มีอะไรใช่มั้ยคะ แต่ P เริ่มพูดเยอะว่าอยากให้เรามองหาคนอื่นบ้าง คุยกับคนอื่นบ้าง เราก็บอกไปว่าไม่อ่ะ เราคบเธอเราโอเคมาก ไม่ต้องปรับตัวอะไรเลย ไม่ว่า P จะพูดกี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเราก็พูดแบบนี้ไป ในใจไม่ตะหงิดอะไรเลยค่ะ