credit : thanonline.com
------
ถือเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเครื่องดื่มเมืองไทยที่น่าจับตามอง กับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในงาน "ไทยเบฟ เอ็กซ์โป 2013" ครั้งที่ 2 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อผนึกพันธมิตรคู่ค้ารายสำคัญ รวมถึงเป็นการประกาศศักดิ์ดาความยิ่งใหญ่ของธุรกิจในเครือ หลังจากที่สร้างปรากฏการณ์ในการเข้าซื้อกิจการกับ F&N ในช่วงที่ผ่านมา
โอกาสนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ร่วมพูดคุยกับทายาทรุ่นที่ 2 ของอาณาจักรไทยเบฟ "ฐาปน สิริวัฒนภักดี" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่วันนี้ลุกขึ้นมาประกาศพาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ชั้นนำของเอเชีย พร้อมกับนโยบายในการสานต่อและการใช้ประโยชน์ของธุรกิจในเครือที่มีอยู่ เพื่อผลักดันให้กลุ่มไทยเบฟ ประสบความสำเร็จต่อไปอย่างไรในอนาคต
++วางยุทธ์ศาสตร์สู่เป้าหมายบริษัทยอดขาย 1 ใน 5 ของเอเชีย
นายฐาปน กล่าวถึงเป้าหมายใหญ่ในครั้งนี้ว่า บริษัทมีแผนระยะยาวในการสร้างความเติบโตในระดับเอเชีย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็นบริษัทที่มียอดขายติดอันดับ 1 ใน 5 ของเอเชีย ในปี 2563 จากปัจจุบันที่อยู่ลำดับที่ 7 ซึ่งสิ่งสำคัญที่บริษัทต้องพัฒนาต่อจากนี้เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จคือการให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร โมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ความมีสินค้าที่หลากหลายในพอร์ตธุรกิจ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ รวมถึงกลยุทธ์ของการตลาดให้มากที่สุด ผ่านความแข็งแกร่งของบริษัทในเครือที่มีอยู่ 4 กลุ่มบริษัท ได้แก่ อินเตอร์เบฟ โออิชิ เสริมสุข และเอฟ แอนด์ เอ็น
"เรามีเป้าหมายการเป็นบริษัทชั้นนำในเอเชีย ด้วยการสร้างแบรนดิ้งให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งมีแนวทางคือการสร้างสินค้าที่มีอยู่ให้เป็นตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคเพื่อเป็นการสร้างการในระดับภูมิภาค ขณะเดียวกันยังมีการนำจุดแข็งเรื่องการกระจายสินค้าและการจัดจำหน่าย ผ่านความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีอยู่ "
ทั้งนี้การที่บริษัทจะก้าวสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้ ตามแผนระยะยาว ไทยเบฟต้องปีนอันดับการเติบโต เป็นเลขดับเบิลดิจิตหรือ 15-17% ตลอดระยะเวลา 7 ปีตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย คือบริษัท คิริน จากประเทศญี่ปุ่น
+++โฟกัสกลุ่มสินค้านอนแอลกอฮอล์รับเทรนด์สุขภาพ
เขายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แผนธุรกิจหลังจากนี้ไปบริษัทจะให้ความสำคัญกับกลุ่มนอนแอลกอฮอล์เป็นพิเศษ เนื่องมาจากปัจจุบันเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง บวกกับการเข้ามาของ เอฟ แอนด์ เอ็น ที่มีพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย ทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายกระจายสินค้าของเอฟ แอนด์ เอ็น เข้ามาช่วยเสริม
ขณะเดียวกันไทยเบฟยังมีแผนการลงทุนซื้อกิจการ (M&A) ในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ในอนาคตข้างหน้า รวมถึงการผลิตสินค้าที่มีตราฮาลาล ให้แก่กลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิม ทั้งนี้การใช้แผนดังกล่าวถือเป็นสปริง บอร์ดสำคัญที่ทำให้ไทยเบฟสามารถขยายฐานสู่ประเทศมุสลิมได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น บรูไน มาเลเซีย และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นต้น
ทั้งนี้มองว่าภาพรวมรายได้ของกลุ่มไทยเบฟปีนี้จะปรับตัวลดลงจากปีก่อน เนื่องจากครึ่งปีแรกรายได้รวมลดลง 7.3% อยู่ที่ 7.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ธุรกิจอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน ทำให้บริษัทต้องกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโต โดยคาดการณ์ว่าจะมีรายได้กว่า 1.6 แสนล้านบาท
+++มองการเมืองกับเศรษฐกิจเป็นอย่างไร
ทั้งนี้จากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการชุมนุมเกิดขึ้นในขณะนี้ มองว่า ในฐานะภาคเอกชนต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยในสังคม เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตก้าวหน้า เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการผลักดันธุรกิจหรือเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเทียบเคียง และโดดเด่นมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
"อยากให้การเมืองมีความสงบเรียบร้อยเหมือนเดิม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้โดดเด่นในภูมิภาค"
ทั้งนี้ปัจจัยหลักด้านความเชื่อมั่นถือเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญ และถือเป็นตัวแปรหลักในการดึงดูดให้บรรดาผู้ประกอบการเข้ามาลงทุน จึงเป็นเรื่องที่ไทยไม่ควรมองข้ามและให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงเป็นการลดความวิตกกังวลของเหล่านักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ประเทศไทยถอยหลังลงไปอีก รวมถึงอาจทำให้นักลงทุนชาวต่างชาติที่จับตามองไทยอย่างใกล้ชิดหันไปลงทุนในเมียนมาร์กับเวียดนามแทน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,894 วันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ไทยเบฟขับเคลื่อนทัพ 4 ธุรกิจสู่ท็อปไฟว์ยักษ์อาเซียน
------
ถือเป็นยักษ์ใหญ่ของวงการเครื่องดื่มเมืองไทยที่น่าจับตามอง กับ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสวยงามในงาน "ไทยเบฟ เอ็กซ์โป 2013" ครั้งที่ 2 ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อผนึกพันธมิตรคู่ค้ารายสำคัญ รวมถึงเป็นการประกาศศักดิ์ดาความยิ่งใหญ่ของธุรกิจในเครือ หลังจากที่สร้างปรากฏการณ์ในการเข้าซื้อกิจการกับ F&N ในช่วงที่ผ่านมา
โอกาสนี้ "ฐานเศรษฐกิจ" ได้ร่วมพูดคุยกับทายาทรุ่นที่ 2 ของอาณาจักรไทยเบฟ "ฐาปน สิริวัฒนภักดี" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ที่วันนี้ลุกขึ้นมาประกาศพาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ก้าวสู่ความเป็นแบรนด์ชั้นนำของเอเชีย พร้อมกับนโยบายในการสานต่อและการใช้ประโยชน์ของธุรกิจในเครือที่มีอยู่ เพื่อผลักดันให้กลุ่มไทยเบฟ ประสบความสำเร็จต่อไปอย่างไรในอนาคต
++วางยุทธ์ศาสตร์สู่เป้าหมายบริษัทยอดขาย 1 ใน 5 ของเอเชีย
นายฐาปน กล่าวถึงเป้าหมายใหญ่ในครั้งนี้ว่า บริษัทมีแผนระยะยาวในการสร้างความเติบโตในระดับเอเชีย โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการเป็นบริษัทที่มียอดขายติดอันดับ 1 ใน 5 ของเอเชีย ในปี 2563 จากปัจจุบันที่อยู่ลำดับที่ 7 ซึ่งสิ่งสำคัญที่บริษัทต้องพัฒนาต่อจากนี้เพื่อก้าวสู่ความสำเร็จคือการให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของบุคลากร โมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ความมีสินค้าที่หลากหลายในพอร์ตธุรกิจ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ รวมถึงกลยุทธ์ของการตลาดให้มากที่สุด ผ่านความแข็งแกร่งของบริษัทในเครือที่มีอยู่ 4 กลุ่มบริษัท ได้แก่ อินเตอร์เบฟ โออิชิ เสริมสุข และเอฟ แอนด์ เอ็น
"เรามีเป้าหมายการเป็นบริษัทชั้นนำในเอเชีย ด้วยการสร้างแบรนดิ้งให้เป็นที่ยอมรับ ซึ่งมีแนวทางคือการสร้างสินค้าที่มีอยู่ให้เป็นตราสินค้าที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคเพื่อเป็นการสร้างการในระดับภูมิภาค ขณะเดียวกันยังมีการนำจุดแข็งเรื่องการกระจายสินค้าและการจัดจำหน่าย ผ่านความสัมพันธ์ทางการค้าที่มีอยู่ "
ทั้งนี้การที่บริษัทจะก้าวสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายได้ ตามแผนระยะยาว ไทยเบฟต้องปีนอันดับการเติบโต เป็นเลขดับเบิลดิจิตหรือ 15-17% ตลอดระยะเวลา 7 ปีตามแผนงานที่วางไว้ ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ของเอเชีย คือบริษัท คิริน จากประเทศญี่ปุ่น
+++โฟกัสกลุ่มสินค้านอนแอลกอฮอล์รับเทรนด์สุขภาพ
เขายังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า แผนธุรกิจหลังจากนี้ไปบริษัทจะให้ความสำคัญกับกลุ่มนอนแอลกอฮอล์เป็นพิเศษ เนื่องมาจากปัจจุบันเทรนด์สุขภาพกำลังมาแรง บวกกับการเข้ามาของ เอฟ แอนด์ เอ็น ที่มีพอร์ตสินค้าที่หลากหลาย ทำให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายกระจายสินค้าของเอฟ แอนด์ เอ็น เข้ามาช่วยเสริม
ขณะเดียวกันไทยเบฟยังมีแผนการลงทุนซื้อกิจการ (M&A) ในกลุ่มนอนแอลกอฮอล์ ในอนาคตข้างหน้า รวมถึงการผลิตสินค้าที่มีตราฮาลาล ให้แก่กลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิม ทั้งนี้การใช้แผนดังกล่าวถือเป็นสปริง บอร์ดสำคัญที่ทำให้ไทยเบฟสามารถขยายฐานสู่ประเทศมุสลิมได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น บรูไน มาเลเซีย และกลุ่มตะวันออกกลาง เป็นต้น
ทั้งนี้มองว่าภาพรวมรายได้ของกลุ่มไทยเบฟปีนี้จะปรับตัวลดลงจากปีก่อน เนื่องจากครึ่งปีแรกรายได้รวมลดลง 7.3% อยู่ที่ 7.6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ธุรกิจอยู่ในช่วงโลว์ซีซัน ทำให้บริษัทต้องกระตุ้นยอดขายด้วยการจัดแคมเปญอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันการเติบโต โดยคาดการณ์ว่าจะมีรายได้กว่า 1.6 แสนล้านบาท
+++มองการเมืองกับเศรษฐกิจเป็นอย่างไร
ทั้งนี้จากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการชุมนุมเกิดขึ้นในขณะนี้ มองว่า ในฐานะภาคเอกชนต้องการเห็นความสงบเรียบร้อยในสังคม เพื่อให้ประเทศสามารถพัฒนาการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตก้าวหน้า เพื่อเป็นประโยชน์ในด้านการผลักดันธุรกิจหรือเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเทียบเคียง และโดดเด่นมากกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน
"อยากให้การเมืองมีความสงบเรียบร้อยเหมือนเดิม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้โดดเด่นในภูมิภาค"
ทั้งนี้ปัจจัยหลักด้านความเชื่อมั่นถือเป็นเรื่องที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญ และถือเป็นตัวแปรหลักในการดึงดูดให้บรรดาผู้ประกอบการเข้ามาลงทุน จึงเป็นเรื่องที่ไทยไม่ควรมองข้ามและให้ความสำคัญ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น รวมถึงเป็นการลดความวิตกกังวลของเหล่านักลงทุนในการเข้ามาลงทุนในไทย ซึ่งหากสถานการณ์ทางการเมืองมีความรุนแรงมากขึ้น อาจทำให้ประเทศไทยถอยหลังลงไปอีก รวมถึงอาจทำให้นักลงทุนชาวต่างชาติที่จับตามองไทยอย่างใกล้ชิดหันไปลงทุนในเมียนมาร์กับเวียดนามแทน
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,894 วันที่ 7 - 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556