รีวิวร้านกาแฟและค่านิยมในการบริโภคกาแฟของชาวอาทิตย์อุทัย
1.ร้าน Coffee Amp
Lost in Caffeine #1
-- Coffee Amp --
ร้านกาแฟชื่อเก๋ร้านนี้ตั้งอยู่ใน Tokyo ย่าน Koenji ใกล้ๆสถานีรถไฟ Shin-Koenji เดินเข้าซอยไปเล็กน้อยจะเห็นร้านขนาดหนึ่งคูหาตั้งอยู่ทางขวามือ ทั้งร้านมีเจ้าของอยู่เพียงคนเดียวและคั่วกาแฟด้วยเครื่องคั่วกาแฟระบบปิดสัญชาติญี่ปุ่นชื่อ Fuji Royal มาประมาณสี่ปีกว่าๆแล้ว โดยนำสารกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆมาคั่วใช้ภายในร้านเองก่อน และต่อมาภายหลังจึงได้นำมาแบ่งจำหน่ายให้กับลูกค้าที่สนใจด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะต้องสั่งล่วงหน้าเนื่องจากเครื่องคั่วมีขนาดค่อนข้างเล็ก
ทางร้านมีสูตรผสมกาแฟ (เบลนด์) ของตนเอง โดยใช้เมล็ดกาแฟจาก สุมาตรา เอธิโอเปีย กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ คอสตาริก้า บราซิล และปาปัวนิวกินี เป็นต้น
กาแฟเอสเพรสโซ่ จากเครื่องชง La marzocco สีแดงเลือดนก เมื่อดื่มคำแรกจะมีรสออกเปรี้ยวนำและความเปรี้ยวจะค่อยๆลดลงตามอุณหภูมิของกาแฟ ภาพรวมที่รู้สึกได้คือความกลมกล่อมและความหวานติดลิ้น กาแฟลาเต้ร้อน จะเน้นที่ความหอม และความเข้มข้นของตัวกาแฟ เป็นหลัก เจ้าของร้านนอกจากจะหน้าตาดี อัธยาศัยดีแต่ยังมีฝีมือในการเทลาเต้อาร์ทในระดับเทพด้วยเช่นกัน ส่วนกาแฟเย็นนั้นจะเป็นช็อตกาแฟใส่นมบวกน้ำเชื่อมเพียงเล็กน้อย และเติมน้ำแข็งตามเข้าไป เชื่อว่าอาจจะดูรสชาติจืดจางไปสำหรับคอกาแฟหวานมันแถวๆบ้านเราอย่างแน่นอน
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=527722823962518&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
2. ร้าน Theatre coffee
Lost in Caffeine #2
-- The theatre coffee --
ตั้งอยู่ที่บริเวณย่าน Shibuya เพียงเดินจากสถานีรถไฟ Shibuya station ผ่านทางเชื่อมจากสถานีเพื่อข้ามถนนและเข้ามายังตัวอาคาร Hikarie และขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 11 ก็จะมองเห็นร้านกาแฟตั้งอยู่ใกล้ๆกับทางเข้าโรงละคร
ร้านนี้มีบาริสต้าชื่อดัง คือ คุณ Junichi Yamaguchi ซึ่งได้รางวัลจากการจัดแข่งขันบาริสต้าที่เมือง Seattle และจากในญี่ปุ่นเอง โดยแพทเทินลาเต้อาร์ทหรือลวดลายในกาแฟลาเต้ร้อนที่ทำให้เขาชนะใจกรรมการมีชื่อว่า dancing ballerina
เขาใช้เวลาฝึกฝนเองที่บ้านทุกวัน วันละ 4 ชั่วโมง หมดนมไปกว่า 10 ลิตรต่อวัน และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนสามารถเทลายที่ตนเองต้องการได้ภายในเวลา 6 เดือนเท่านั้นเอง
ทุกวันนี้คุณจุนอิจิประจำอยู่ที่ร้าน The theatre coffee แห่งนี้ แต่หากจะมาลองตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า เขาอยู่หรือเปล่า เพราะเขามักได้รับเชิญไปร่วมงานกาแฟจากทั่วโลกอยู่เป็นประจำ
ร้านนี้จะใช้เมล็ดกาแฟที่คั่วจาก Streamer coffee company โดยกาแฟลาเต้ร้อนจะมีรสชาติที่นุ่มนวล เบาๆ ส่วนกาแฟลาเต้เย็นนั้นจะมีรสหวานเล็กน้อยและถือว่ามีความมันอยู่พอสมควร
สิ่งที่ประทับใจที่สุดในร้านนี้กลับไม่ใช่กาแฟหรือลวดลายที่สวยงาม แต่เป็นอัธยาศัยและรอยยิ้มของคุณจุนอิจิและพนักงานในร้านทุกๆคน จึงทำให้รู้สึกว่า มิตรภาพในร้านกาแฟย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตอนเด็กๆจึงเห็นผู้ใหญ่ท่านชอบไปนั่งสนทนาและจิบน้ำชากาแฟอยู่ตามร้านได้ทั้งวัน จนใครๆก็มักจะเรียกพวกท่านเหส่านั้นว่า "สภากาแฟ" : )
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=528145820586885&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
3. ร้าน Identity coffee
ตอน 1
Lost in Caffeine #3/1
-- Identity coffee bar + gallery --
ตั้งอยู่บริเวณถนนเส้นหลังของย่าน Harajuku หรือย่านเด็กแนวชาวอาทิตย์อุทัย โดยเมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟฮาราจูกุก็ให้เดินทะลุผ่านถนนสายแฟชั่นวัยใส Takeshita street เพื่อบริหารสายตาเล็กน้อยแล้วข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นให้เดินเลี้ยวขวา และเลี้ยวซ้ายเข้าซอย ซึ่งเป็นซอยเดียวกับร้านเครปชื่อดัง Rainbow crepe cake และร้าน Eggs'n Things ให้เดินเลยไปสักครู่ก็จะพบร้านกาแฟตั้งอยู่ด้านล่างของร้านเครปนั่นเอง
ร้านนี้เรียกได้ว่าเสมือนเป็นสาขาของโรงคั่วเมล็ดกาแฟชื่อดังแห่งชิคาโก้ Intelligensia ซึ่งคัดสรรเมล็ดกาแฟจากฟาร์ม (ไร่กาแฟ) ที่ขึ้นชื่อจากทั่วโลกแล้วนำมาคั่วด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตน
identity coffee bar ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปีกว่าๆในช่วงหลังจากที่กระแสวัฒนธรรมการดื่มกาแฟยุคใหม่ซึ่งเป็นเทรนด์ล่าสุดในปัจจุบันกำลังเบ่งบานไปทั่วโลกรวมถึงในประเทศญี่ปุ่นและแม้แต่ในบ้านเราเองก็ตามที
นอกจากโรงคั่วแห่งนี้แล้ว ทางร้านยังสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้าด้วยการนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วจากโรงคั่วแห่งอื่น เช่น Ritual, Handsome roaster, Heart roaster เป็นต้น เรียกได้ว่า มีเมล็ดกาแฟให้เลือกชิมได้อย่างจุใจแน่นอน
..... (อ่านต่อ #3/2)
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=528636243871176&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
ตอน 2
Lost in Caffeine #3/2
-- Identity coffee bar + gallery --
Mr.Nobu ผู้ดูแลร้านและบาริสต้ามือหลัก เล่าให้ฟังว่า "มันเป็นการค่อนข้างยากที่จะเล่าถึงความเป็นมาของเรา แต่เราบอกได้เพียงว่าเราเริ่มต้นจากความชอบ ความสนใจในกาแฟ เราอยากนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยที่เขาจะต้องเป็นศูนย์กลางและบอกเราถึงสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็จะพยายามศึกษาว่าลูกค้าแต่ละคน สนใจในสิ่งไหนบ้าง และเรายังศึกษาถึงวิธีการชงกาแฟแบบต่างๆเพื่อเป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นให้กับพวกเขาอีกด้วย"
ความประทับใจแรกของร้านนี้คือความนอบน้อมและเป็นกันเองของคุณโนบุและพนักงานอีกท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าต้อนรับกันด้วยรอยยิ้มและมิตรไมตรีเลยทีเดียว
เมนูแรกที่ได้ลองชิมคือ black cat espresso จากการสกัดด้วยเครื่องชง La Marzocco สีแดงตัวเขื่องภายในร้าน ให้รสชาติที่กลมกล่อมหอมหวาน อมเปรี้ยวพองาม ดื่มง่ายและมีความสดชื่นพอควร
ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือ ทางร้านให้ความสำคัญกับการชิมกาแฟเอสเพรสโซ่ของลูกค้ามาก โดยจะเสิร์ฟพร้อมน้ำโซดาเพื่อให้ล้างรสชาติอื่นๆที่ติดค้างอยู่ภายในปากก่อนดื่ม และทำให้สามารถรับรสกาแฟได้ดียิ่งขึ้น ส่วนเมนูกาแฟเย็นก็จะเหมือนกับที่อื่น คือ เน้นไม่หวานมาก
อีกหนึ่งเมนูที่ได้มีโอกาสได้ลองชิมคือ กาแฟ Kenya Ndaroini ด้วยการชงแบบดริปด้วย Hario V60 ที่คุณโนบุทุ่มเทสุดฝีมือ และแอบแบ่งใส่แก้วเพื่อ QC ก่อนนำเสิร์ฟ เมื่อดื่มแล้วจะเหมือนจิบน้ำชาผลไม้ ที่หอมผลไม้อ่อนๆปนอมเปรี้ยวนิดๆ มีความสะอาดสดชื่นมาก ดื่มแล้วโล่งใสสบายใจดีจัง
การชงกาแฟแบบดริปนั้นมีกันอยู่หลายแบบ หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าบาริสต้าท่านไหนต้องการที่จะนำเสนออะไรให้กับลูกค้าของตนเองบ้าง วิธีการของคุณโนบุคือ วอร์มกาแฟก่อน 30 วินาที และวนน้ำช้าๆเป็นรูปก้นหอย เร่งเทน้ำขึ้นเรื่อยๆจนท่วมผงกาแฟทั้งหมดแล้วทิ้งไว้สักครู่ก่อนยกดริปเปอร์ออกและนำเสิร์ฟ โดยรวมเวลาทั้งสิ้น 2:45 นาทีโดยประมาณ
ที่นำเสนอตอนนี้ค่อนข้างยาว เหตุเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่หลายแง่หลายมุม หากตัดทอนออกไปก็เกรงว่าจะไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร
ท้ายนี้หากใครมีโอกาสแวะมาเที่ยวที่ย่านนี้ ก็ขอให้ลองแวะมาที่ร้าน identity สักครั้ง เชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์ดีๆกลับไปอย่างแน่นอน : )
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=528659530535514&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
4. ร้าน Streamer coffee company
Lost in Caffeine #4
-- Streamer coffee company --
สำหรับผู้ที่หลงไหลในงานศิลปะและลวดลายอันงดงามในแก้วกาแฟ หรือ "ลาเต้อาร์ท" หากมีโอกาสได้แวะมาดื่มกาแฟที่ย่านชิบูย่าแล้วยังไม่ได้แวะมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ ก็นับว่าพลาดโอกาสในการที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งศิลปะแขนงนี้ในแนวทางของคุณ"ฮิโรชิ ซาวาดะ" แชมป์ลาเต้อาร์ท Seattle 2008
Mr.Hiroshi Sawada เริ่มหลงไหลในศิลปะลาเต้อาร์ทเมื่ิอคราวที่ได้ไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นเขาก็ไปเช้าคอร์สอบรมและเริ่มกลับมาฝึกฝนที่บ้านทุกวัน ทีละเล็กทีละน้อยจาก 1 แก้วเป็น 200 แก้วต่อวัน จนเขาตัดสินใจเข้าร่วมประกวดครั้งแรกในปี 2006 แต่เนื่องจากอ่อนประสบการณ์จึงยังไม่ประสบความสำเร็จ
เขาหมดเงิน หมดเวลา ไปกับการฝึกฝนและการเดินทางเพื่อไปแข่งขันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งที่คุณพ่อของเขาล้มป่วยและจากไปโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ร่ำลาเลยแม้แต่น้อย เพราะอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับจากการแข่งขันและก็คว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคย เขาเกิดความท้อแท้เป็นอย่างมากแต่ ณ จุดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคิดได้ คือ ถ้าเขายอมแพ้ในตอนนี้ แล้วต่อไปจะมีหน้าไปพบกับพ่อของเขาที่รออยู่บนสรวงสวรรค์ได้อย่างไร ด้วยแรงบันดาลใจนี้เองจึงทำให้เขาเริ่มฝึกฝนอย่างหนักจนถึงกับต้องหอบหิ้วพิชเชอร์เข้าไปฝึกเทลวดลายในขณะที่เขาอาบน้ำเลยทีเดียว
เขาเริ่มจับจังหวะสายน้ำได้และเริ่มเข้าใจถึงเทคนิคการสร้างลวดลายต่างๆจากในห้องน้ำที่บ้าน สองปีต่อมาเขาก็สมหวังและคว้าแชมป์ลาเต้อาร์ท 2008 ในวัยสามสิบปีเศษ
อีกสองปีต่อมา (2010) คุณซาวาดะ ก็ได้เปิดร้านเป็นของตนเองที่ชิบูย่าและขยายสาขาที่สองไปยังฮาราจูกุ
ที่ตั้งของร้านแห่งนี้จะอยู่ในซอยเล็กๆซึ่งใกล้กับถนนใหญ่ หากใครมีแผนที่แนะนำการท่องเที่ยวย่านชิบูย่าก็จะเห็นว่าเป็นร้านกาแฟแนะนำร้านหนึ่งไปเสียแล้ว
ร้านกาแฟตกแต่งในแนว modern and loft เน้นความเรียบง่ายสไตล์ factory shop floor มี WiFi ให้เชื่อมต่อ มีอุปกรณ์ชงกาแฟ กระเป๋า เสื้อผ้าแบรนด์ของร้าน พร้อมโซฟาหนังที่นุ่มนวลเหมือนกับจะดึงให้จมลงไปในนั้นได้เลย และเราสามารถที่จะนั่งอยู่ได้นานเท่าไรก็ได้ (ตามมารยาทไม่ควรเกิน 2 ชม) แต่มีกติกาอย่างหนึ่งว่าลูกค้าหนึ่งคนต่อเครื่องดื่ม 1 แก้วเท่านั้น หากใครไม่สั่ง ทางร้านจะเชิญนั่งข้างนอกและขอให้สิทธิในการนั่งพักผ่อนกับลูกค้าท่านอื่นก่อน
กาแฟลาเต้อาร์ทที่ได้ชิมนั้นเป็นฝีมือของพนักงานในร้าน ที่เสิร์ฟมาในแก้วขนาด super bowl ดื่มกันทีอิ่มนานไปจนลูกบวช แต่ก็แปลกที่ลูกค้าในร้านดื่มกันไม่เหลือหลอกันเลยทั้งหญิงและชาย
กาแฟที่ทางร้านใช้จะเป็นกาแฟเบลนด์ที่คั่วเองทุกวันจากเครื่องคั่วสัญชาติเยอรมัน Probat และมีเมล็ดกาแฟคั่วจัดจำหน่ายโดยบรรจุใส่ถุงลายพราง ในราคาถุงละ 1,300 เยน หรือประมาณ 429 บาท เท่านั้นเอง
รสชาติตามที่ทางร้านบอกไว้คือ ซับซ้อน เข้ม ฟรุตโทน เปรี้ยวเล็กน้อย แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือ เป็นกาแฟที่มีรสค่อนข้างเข้ม แต่ถูกเจือจางด้วยปริมาณน้ำนมภายในแก้วขนาดใหญ่ นอกนั้นส่วนประกอบอื่นๆก็โดนปริมาณน้ำนมปิดบังกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัวไปเสียแล้ว
Streamer coffee company นับว่าเป็นคำอธิบายความหมายของคำว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ได้เป็นอย่างดี : )
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=529082097159924&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
[CR] รีวิว ร้านกาแฟที่ญี่ปุ่น (ก.ย. 2013)
1.ร้าน Coffee Amp
Lost in Caffeine #1
-- Coffee Amp --
ร้านกาแฟชื่อเก๋ร้านนี้ตั้งอยู่ใน Tokyo ย่าน Koenji ใกล้ๆสถานีรถไฟ Shin-Koenji เดินเข้าซอยไปเล็กน้อยจะเห็นร้านขนาดหนึ่งคูหาตั้งอยู่ทางขวามือ ทั้งร้านมีเจ้าของอยู่เพียงคนเดียวและคั่วกาแฟด้วยเครื่องคั่วกาแฟระบบปิดสัญชาติญี่ปุ่นชื่อ Fuji Royal มาประมาณสี่ปีกว่าๆแล้ว โดยนำสารกาแฟจากแหล่งปลูกต่างๆมาคั่วใช้ภายในร้านเองก่อน และต่อมาภายหลังจึงได้นำมาแบ่งจำหน่ายให้กับลูกค้าที่สนใจด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะต้องสั่งล่วงหน้าเนื่องจากเครื่องคั่วมีขนาดค่อนข้างเล็ก
ทางร้านมีสูตรผสมกาแฟ (เบลนด์) ของตนเอง โดยใช้เมล็ดกาแฟจาก สุมาตรา เอธิโอเปีย กัวเตมาลา เอลซัลวาดอร์ คอสตาริก้า บราซิล และปาปัวนิวกินี เป็นต้น
กาแฟเอสเพรสโซ่ จากเครื่องชง La marzocco สีแดงเลือดนก เมื่อดื่มคำแรกจะมีรสออกเปรี้ยวนำและความเปรี้ยวจะค่อยๆลดลงตามอุณหภูมิของกาแฟ ภาพรวมที่รู้สึกได้คือความกลมกล่อมและความหวานติดลิ้น กาแฟลาเต้ร้อน จะเน้นที่ความหอม และความเข้มข้นของตัวกาแฟ เป็นหลัก เจ้าของร้านนอกจากจะหน้าตาดี อัธยาศัยดีแต่ยังมีฝีมือในการเทลาเต้อาร์ทในระดับเทพด้วยเช่นกัน ส่วนกาแฟเย็นนั้นจะเป็นช็อตกาแฟใส่นมบวกน้ำเชื่อมเพียงเล็กน้อย และเติมน้ำแข็งตามเข้าไป เชื่อว่าอาจจะดูรสชาติจืดจางไปสำหรับคอกาแฟหวานมันแถวๆบ้านเราอย่างแน่นอน
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=527722823962518&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
2. ร้าน Theatre coffee
Lost in Caffeine #2
-- The theatre coffee --
ตั้งอยู่ที่บริเวณย่าน Shibuya เพียงเดินจากสถานีรถไฟ Shibuya station ผ่านทางเชื่อมจากสถานีเพื่อข้ามถนนและเข้ามายังตัวอาคาร Hikarie และขึ้นลิฟต์ไปยังชั้น 11 ก็จะมองเห็นร้านกาแฟตั้งอยู่ใกล้ๆกับทางเข้าโรงละคร
ร้านนี้มีบาริสต้าชื่อดัง คือ คุณ Junichi Yamaguchi ซึ่งได้รางวัลจากการจัดแข่งขันบาริสต้าที่เมือง Seattle และจากในญี่ปุ่นเอง โดยแพทเทินลาเต้อาร์ทหรือลวดลายในกาแฟลาเต้ร้อนที่ทำให้เขาชนะใจกรรมการมีชื่อว่า dancing ballerina
เขาใช้เวลาฝึกฝนเองที่บ้านทุกวัน วันละ 4 ชั่วโมง หมดนมไปกว่า 10 ลิตรต่อวัน และฝึกฝนอย่างต่อเนื่องจนสามารถเทลายที่ตนเองต้องการได้ภายในเวลา 6 เดือนเท่านั้นเอง
ทุกวันนี้คุณจุนอิจิประจำอยู่ที่ร้าน The theatre coffee แห่งนี้ แต่หากจะมาลองตรวจสอบข้อมูลก่อนว่า เขาอยู่หรือเปล่า เพราะเขามักได้รับเชิญไปร่วมงานกาแฟจากทั่วโลกอยู่เป็นประจำ
ร้านนี้จะใช้เมล็ดกาแฟที่คั่วจาก Streamer coffee company โดยกาแฟลาเต้ร้อนจะมีรสชาติที่นุ่มนวล เบาๆ ส่วนกาแฟลาเต้เย็นนั้นจะมีรสหวานเล็กน้อยและถือว่ามีความมันอยู่พอสมควร
สิ่งที่ประทับใจที่สุดในร้านนี้กลับไม่ใช่กาแฟหรือลวดลายที่สวยงาม แต่เป็นอัธยาศัยและรอยยิ้มของคุณจุนอิจิและพนักงานในร้านทุกๆคน จึงทำให้รู้สึกว่า มิตรภาพในร้านกาแฟย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อตอนเด็กๆจึงเห็นผู้ใหญ่ท่านชอบไปนั่งสนทนาและจิบน้ำชากาแฟอยู่ตามร้านได้ทั้งวัน จนใครๆก็มักจะเรียกพวกท่านเหส่านั้นว่า "สภากาแฟ" : )
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=528145820586885&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
3. ร้าน Identity coffee
ตอน 1
Lost in Caffeine #3/1
-- Identity coffee bar + gallery --
ตั้งอยู่บริเวณถนนเส้นหลังของย่าน Harajuku หรือย่านเด็กแนวชาวอาทิตย์อุทัย โดยเมื่อเดินออกจากสถานีรถไฟฮาราจูกุก็ให้เดินทะลุผ่านถนนสายแฟชั่นวัยใส Takeshita street เพื่อบริหารสายตาเล็กน้อยแล้วข้ามถนนมายังฝั่งตรงข้าม หลังจากนั้นให้เดินเลี้ยวขวา และเลี้ยวซ้ายเข้าซอย ซึ่งเป็นซอยเดียวกับร้านเครปชื่อดัง Rainbow crepe cake และร้าน Eggs'n Things ให้เดินเลยไปสักครู่ก็จะพบร้านกาแฟตั้งอยู่ด้านล่างของร้านเครปนั่นเอง
ร้านนี้เรียกได้ว่าเสมือนเป็นสาขาของโรงคั่วเมล็ดกาแฟชื่อดังแห่งชิคาโก้ Intelligensia ซึ่งคัดสรรเมล็ดกาแฟจากฟาร์ม (ไร่กาแฟ) ที่ขึ้นชื่อจากทั่วโลกแล้วนำมาคั่วด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตน
identity coffee bar ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณปีกว่าๆในช่วงหลังจากที่กระแสวัฒนธรรมการดื่มกาแฟยุคใหม่ซึ่งเป็นเทรนด์ล่าสุดในปัจจุบันกำลังเบ่งบานไปทั่วโลกรวมถึงในประเทศญี่ปุ่นและแม้แต่ในบ้านเราเองก็ตามที
นอกจากโรงคั่วแห่งนี้แล้ว ทางร้านยังสร้างความหลากหลายให้กับลูกค้าด้วยการนำเข้าเมล็ดกาแฟคั่วจากโรงคั่วแห่งอื่น เช่น Ritual, Handsome roaster, Heart roaster เป็นต้น เรียกได้ว่า มีเมล็ดกาแฟให้เลือกชิมได้อย่างจุใจแน่นอน
..... (อ่านต่อ #3/2)
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=528636243871176&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
ตอน 2
Lost in Caffeine #3/2
-- Identity coffee bar + gallery --
Mr.Nobu ผู้ดูแลร้านและบาริสต้ามือหลัก เล่าให้ฟังว่า "มันเป็นการค่อนข้างยากที่จะเล่าถึงความเป็นมาของเรา แต่เราบอกได้เพียงว่าเราเริ่มต้นจากความชอบ ความสนใจในกาแฟ เราอยากนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า โดยที่เขาจะต้องเป็นศูนย์กลางและบอกเราถึงสิ่งที่เขาต้องการได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็จะพยายามศึกษาว่าลูกค้าแต่ละคน สนใจในสิ่งไหนบ้าง และเรายังศึกษาถึงวิธีการชงกาแฟแบบต่างๆเพื่อเป็นทางเลือกที่เพิ่มขึ้นให้กับพวกเขาอีกด้วย"
ความประทับใจแรกของร้านนี้คือความนอบน้อมและเป็นกันเองของคุณโนบุและพนักงานอีกท่านหนึ่ง เรียกได้ว่าต้อนรับกันด้วยรอยยิ้มและมิตรไมตรีเลยทีเดียว
เมนูแรกที่ได้ลองชิมคือ black cat espresso จากการสกัดด้วยเครื่องชง La Marzocco สีแดงตัวเขื่องภายในร้าน ให้รสชาติที่กลมกล่อมหอมหวาน อมเปรี้ยวพองาม ดื่มง่ายและมีความสดชื่นพอควร
ความประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือ ทางร้านให้ความสำคัญกับการชิมกาแฟเอสเพรสโซ่ของลูกค้ามาก โดยจะเสิร์ฟพร้อมน้ำโซดาเพื่อให้ล้างรสชาติอื่นๆที่ติดค้างอยู่ภายในปากก่อนดื่ม และทำให้สามารถรับรสกาแฟได้ดียิ่งขึ้น ส่วนเมนูกาแฟเย็นก็จะเหมือนกับที่อื่น คือ เน้นไม่หวานมาก
อีกหนึ่งเมนูที่ได้มีโอกาสได้ลองชิมคือ กาแฟ Kenya Ndaroini ด้วยการชงแบบดริปด้วย Hario V60 ที่คุณโนบุทุ่มเทสุดฝีมือ และแอบแบ่งใส่แก้วเพื่อ QC ก่อนนำเสิร์ฟ เมื่อดื่มแล้วจะเหมือนจิบน้ำชาผลไม้ ที่หอมผลไม้อ่อนๆปนอมเปรี้ยวนิดๆ มีความสะอาดสดชื่นมาก ดื่มแล้วโล่งใสสบายใจดีจัง
การชงกาแฟแบบดริปนั้นมีกันอยู่หลายแบบ หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าบาริสต้าท่านไหนต้องการที่จะนำเสนออะไรให้กับลูกค้าของตนเองบ้าง วิธีการของคุณโนบุคือ วอร์มกาแฟก่อน 30 วินาที และวนน้ำช้าๆเป็นรูปก้นหอย เร่งเทน้ำขึ้นเรื่อยๆจนท่วมผงกาแฟทั้งหมดแล้วทิ้งไว้สักครู่ก่อนยกดริปเปอร์ออกและนำเสิร์ฟ โดยรวมเวลาทั้งสิ้น 2:45 นาทีโดยประมาณ
ที่นำเสนอตอนนี้ค่อนข้างยาว เหตุเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่หลายแง่หลายมุม หากตัดทอนออกไปก็เกรงว่าจะไม่ครอบคลุมเท่าที่ควร
ท้ายนี้หากใครมีโอกาสแวะมาเที่ยวที่ย่านนี้ ก็ขอให้ลองแวะมาที่ร้าน identity สักครั้ง เชื่อว่าจะได้รับประสบการณ์ดีๆกลับไปอย่างแน่นอน : )
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=528659530535514&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater
4. ร้าน Streamer coffee company
Lost in Caffeine #4
-- Streamer coffee company --
สำหรับผู้ที่หลงไหลในงานศิลปะและลวดลายอันงดงามในแก้วกาแฟ หรือ "ลาเต้อาร์ท" หากมีโอกาสได้แวะมาดื่มกาแฟที่ย่านชิบูย่าแล้วยังไม่ได้แวะมาที่ร้านกาแฟแห่งนี้ ก็นับว่าพลาดโอกาสในการที่จะเข้าถึงจิตวิญญาณแห่งศิลปะแขนงนี้ในแนวทางของคุณ"ฮิโรชิ ซาวาดะ" แชมป์ลาเต้อาร์ท Seattle 2008
Mr.Hiroshi Sawada เริ่มหลงไหลในศิลปะลาเต้อาร์ทเมื่ิอคราวที่ได้ไปทำงานที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นเขาก็ไปเช้าคอร์สอบรมและเริ่มกลับมาฝึกฝนที่บ้านทุกวัน ทีละเล็กทีละน้อยจาก 1 แก้วเป็น 200 แก้วต่อวัน จนเขาตัดสินใจเข้าร่วมประกวดครั้งแรกในปี 2006 แต่เนื่องจากอ่อนประสบการณ์จึงยังไม่ประสบความสำเร็จ
เขาหมดเงิน หมดเวลา ไปกับการฝึกฝนและการเดินทางเพื่อไปแข่งขันครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งที่คุณพ่อของเขาล้มป่วยและจากไปโดยที่เขาไม่มีโอกาสได้ร่ำลาเลยแม้แต่น้อย เพราะอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับจากการแข่งขันและก็คว้าน้ำเหลวอีกเช่นเคย เขาเกิดความท้อแท้เป็นอย่างมากแต่ ณ จุดนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาคิดได้ คือ ถ้าเขายอมแพ้ในตอนนี้ แล้วต่อไปจะมีหน้าไปพบกับพ่อของเขาที่รออยู่บนสรวงสวรรค์ได้อย่างไร ด้วยแรงบันดาลใจนี้เองจึงทำให้เขาเริ่มฝึกฝนอย่างหนักจนถึงกับต้องหอบหิ้วพิชเชอร์เข้าไปฝึกเทลวดลายในขณะที่เขาอาบน้ำเลยทีเดียว
เขาเริ่มจับจังหวะสายน้ำได้และเริ่มเข้าใจถึงเทคนิคการสร้างลวดลายต่างๆจากในห้องน้ำที่บ้าน สองปีต่อมาเขาก็สมหวังและคว้าแชมป์ลาเต้อาร์ท 2008 ในวัยสามสิบปีเศษ
อีกสองปีต่อมา (2010) คุณซาวาดะ ก็ได้เปิดร้านเป็นของตนเองที่ชิบูย่าและขยายสาขาที่สองไปยังฮาราจูกุ
ที่ตั้งของร้านแห่งนี้จะอยู่ในซอยเล็กๆซึ่งใกล้กับถนนใหญ่ หากใครมีแผนที่แนะนำการท่องเที่ยวย่านชิบูย่าก็จะเห็นว่าเป็นร้านกาแฟแนะนำร้านหนึ่งไปเสียแล้ว
ร้านกาแฟตกแต่งในแนว modern and loft เน้นความเรียบง่ายสไตล์ factory shop floor มี WiFi ให้เชื่อมต่อ มีอุปกรณ์ชงกาแฟ กระเป๋า เสื้อผ้าแบรนด์ของร้าน พร้อมโซฟาหนังที่นุ่มนวลเหมือนกับจะดึงให้จมลงไปในนั้นได้เลย และเราสามารถที่จะนั่งอยู่ได้นานเท่าไรก็ได้ (ตามมารยาทไม่ควรเกิน 2 ชม) แต่มีกติกาอย่างหนึ่งว่าลูกค้าหนึ่งคนต่อเครื่องดื่ม 1 แก้วเท่านั้น หากใครไม่สั่ง ทางร้านจะเชิญนั่งข้างนอกและขอให้สิทธิในการนั่งพักผ่อนกับลูกค้าท่านอื่นก่อน
กาแฟลาเต้อาร์ทที่ได้ชิมนั้นเป็นฝีมือของพนักงานในร้าน ที่เสิร์ฟมาในแก้วขนาด super bowl ดื่มกันทีอิ่มนานไปจนลูกบวช แต่ก็แปลกที่ลูกค้าในร้านดื่มกันไม่เหลือหลอกันเลยทั้งหญิงและชาย
กาแฟที่ทางร้านใช้จะเป็นกาแฟเบลนด์ที่คั่วเองทุกวันจากเครื่องคั่วสัญชาติเยอรมัน Probat และมีเมล็ดกาแฟคั่วจัดจำหน่ายโดยบรรจุใส่ถุงลายพราง ในราคาถุงละ 1,300 เยน หรือประมาณ 429 บาท เท่านั้นเอง
รสชาติตามที่ทางร้านบอกไว้คือ ซับซ้อน เข้ม ฟรุตโทน เปรี้ยวเล็กน้อย แต่สิ่งที่สัมผัสได้คือ เป็นกาแฟที่มีรสค่อนข้างเข้ม แต่ถูกเจือจางด้วยปริมาณน้ำนมภายในแก้วขนาดใหญ่ นอกนั้นส่วนประกอบอื่นๆก็โดนปริมาณน้ำนมปิดบังกลิ่นและรสชาติเฉพาะตัวไปเสียแล้ว
Streamer coffee company นับว่าเป็นคำอธิบายความหมายของคำว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น" ได้เป็นอย่างดี : )
-- credit --
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=529082097159924&set=a.494985563902911.1073741824.387902311277904&type=1&theater