เหย้าบาหยัน ◥◣ บทที่ ๑๐ ◥◣ เสียกบาล

กระทู้สนทนา
ความเดิมบทที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

บทที่๑๐

เสียกบาล



แพร่งตรงกลางที่เลือกเดินมานั้นดูรกชัฏไปด้วยต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีเพียงกิ่งก้านที่แตกระแหงแห้งทับซ้อนไขว้ไปมาปกคลุมเป็นเงามืด สร้างความสลัวลงมาสู่เบื้องล่างตลอดระยะทาง  ตอนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยได้ว่า ปลายทางข้างหน้านั้นจะมีโบสถ์อย่างทีบ่าวหญิงบอกหรือไม่  แต่แก้วบาหยันก็เชื่อมั่นว่ามันจะต้องปลอดภัยมากกว่าตอนอยู่ที่ท่าน้ำโพธิ์สามแพร่งแน่นอน  เพราะอย่างน้อยก็มีอำแดงดวงคอยคุ้มภัย

‘แกรก   แกรก   แกรก   แกรก   แกรก’

เสียงคนเดินบนใบไม้แห้งด้วยความเร็วดังมาจากด้านหลัง  แต่พอหันกลับไปดู เสียงนั้นก็เงียบไป    ไร้ซึ่งเงาของผู้ใด จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเสียงนั้นคือคนหรือตัวอะไร แต่มันตามหลังมาได้สักระยะแล้ว ซึ่งมันต้องไม่ได้มาดีแน่นอน  เพราะถ้ามาดี ก็คงปรากฏตัวไปนานแล้ว  หญิงสาวจึงไม่รอช้า ก็เลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้บ่าวหญิงเดินทิ้งระยะห่างจากตัวเธอไปไกลมากแล้ว  ถ้าขืนช้ากว่านี้ ก็อาจจะพลัดหลงกันได้

‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’

ฝีเท้าปริศนายังคงไล่ตามแก้วบาหยันมาเรื่อยๆในทุกจังหวะที่เธอเดินหนี แต่เมื่อหยุดหันหลังไปดู เสียงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม  ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจถอดรองเท้า เพื่อให้วิ่งให้ถนัดขึ้น แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้น  เมื่อถอดรองเท้าเสร็จและเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ไม่เห็นอำแดงดวงอยู่ที่ด้านหน้าอีกแล้ว   มิหนำซ้ำ เส้นทางบนพื้นก็หายไป เหมือนกับว่ามีคนมากลบดินและลบทางไม่ให้ใครสามารถเดินต่อไปได้  ในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้กอหญ้าหรืออะไรเลยที่จะถางเป็นทางบอกใบ้ได้เลยว่าควรจะเดินไปไหนต่อ

‘แกรก...แกรก….แกรก...แกรก…....แกรก……....แกรก……………….’

เสียงฝีเท้าบนใบไม้แห้งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่คราวนี้มันมาในจังหวะที่ช้าลง ช้าลง  จนเสียงเงียบหายไปอย่างสงัด เสมือนกับเสือที่กำลังซุ่มเตรียมขยุ้มเหยื่อในอีกไม่ช้า  

หญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับที่ กำรองเท้าไว้แน่นเพราะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่มีอยู่  เธอตัดสินใจเผชิญหน้าสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น  ซึ่งจริงๆแล้วแค่วิ่งหนีให้เร็วที่สุด หรือตะโกนเรียกบ่าวหญิงให้ช่วยเหลือก็ได้  แต่เธอกลับเลือกที่จะหยุดสู้กับมัน และรอดูว่าสิ่งที่ตามหลังมานั้นคืออะไรกันแน่ เพราะตอนนี้ความกล้าเท่านั้นที่จะชนะความกลัว วิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า สู้เอาแรงทั้งหมดมาปะทะให้หมดเรื่องเสียดีกว่า

ทันใดนั้น เสียงปริศนานั้นก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้มาจากทางเดิม แต่มันวิ่งมาจากรอบทิศด้วยความเร็วสูงนับสิบราวกับกองทัพ

‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’

ยังไม่ทันที่จะจ้องดูให้แน่ชัด  ศัตรูในเงามืดก็มาประชิดที่ด้านหลัง  มันใช้ความกำยำของร่างกายบังคับเธอไม่ให้ดิ้น และบีบข้อมือให้ปล่อยรองเท้า  เมื่อเห็นว่าเริ่มอ่อนแรง มันก็ใช้กระสอบครอบหัวเธอไว้ไม่ให้มองเห็น แล้วฉุดกระชากลากพาออกไปจากบริเวณนั้นทันที


“ ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน! ดวง! ดวงอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย! ”

หญิงสาวร้องตะโกนทั้งๆที่มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้ได้ยินแต่เพียงเสียงสนทนาของอีกฝ่ายเป็นภาษาจีนที่แปลไม่ออกว่าพูดว่าอะไร  แต่ฟังดูแล้วก็พอจะคาดคะเนได้ว่ามันมากันหลายคนและเป็นผู้ชายทั้งหมด  ถ้าหากต่อสู้โดยใช้กำลังก็คงจะไม่ไหว  ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุด เผื่อว่าใครจะได้ยิน  แต่ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องให้สิ้นเสียง  ก็ต้องมาจุกที่ท้องเพราะโดนต่อยด้วยหมัดอันหนักหน่วงอย่างไม่ปรานีจากหนึ่งคนในกลุ่มนั้น

หญิงสาวหมดแรงอย่างราบคาบที่จะขัดขืนฝืนสู้  จึงยอมเดินตามไปอย่างจำนน   พอเดินมาได้ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก  หนึ่งในนั้นก็เปิดกระสอบออกจากหัวเธอ  และใช้เชือกผ้ามามัดไขว้มือผูกติดไม่ให้ต่อสู้ได้  ในนาทีนี้แก้วบาหยันยังคงรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยอยู่ จึงไม่อยากต่อกรใดๆไปมากกว่านี้  เลยได้แต่นั่งจดจำหน้าตาของผู้ที่กระทำเธอให้ครบถ้วน เผื่อว่ารอดออกไป ก็จะได้แจ้งหลวงหรือกระทรวงนครบาลให้มาจับพวกมันเข้าคุกในคราหลัง

ทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวเล็กล่ำสันราวยี่สิบกว่าคน มันกำลังสุมหัวสูบฝิ่นกินเหล้าเถื่อนในไหกันอย่างสนุกสนาน ดูจากการแต่งตัวแล้ว ก็ไม่ต่างจากยาจกหรือเจ๊กลากรถในสยาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือผมเปียหางยาวพันรอบคอ ส่วน ด้านหน้าศรีษะก็โล้นเตียนตั้งแต่หน้าผากไปถึงเกือบกลางหัว   ทุกคนสนทนากันด้วยภาษาจีนเหมือนตั้งใจจะสื่อสารกันแค่ในกลุ่มไม่อยากให้คนนอกรับรู้

ในขณะที่แก้วบาหยันกำลังจดจำลักษณะของคนทั้งหมดอยู่นั้น ก็มีชายจีนหนึ่งในนั้นที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาอย่างไม่น่าไว้วางใจ แล้วจู่ๆก็เรียกใครคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังพระประธานในโบสถ์ร้าง  ผู้ที่ถูกเรียกค่อยๆเดินขโยกเขยกออกมา พร้อมคำนับผู้เป็นหัวหน้าอย่างนอบน้อม และสทนากันด้วยภาษาจีนอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเป็นภาษาชาติกำเนิด  

หญิงสาวเห็นผู้ที่ถูกเรียก ก็แน่ใจว่าเป็นใคร จึงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ “ ดวง! ช่วยฉันด้วย! ”

อำแดงดวงได้ยินทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา  ยังคงยืนคุยอยู่กับผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนจีนอย่างเป็นปกติ  พร้อมยื่นสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งให้อีกฝ่าย และเดินออกจากโบสถ์ไปทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแก้วบาหยันเลยสักนิด

หัวหน้าโจรโยนสร้อยไข่มุกเก็บเข้าไปรวมไว้ในกระสอบที่มีของมีค่าชิ้นอื่นๆจากการปล้น พร้อมหันมายิ้มเยาะเล็กน้อยที่หญิงสาว  และแกล้งหยิบกล้วยมากินยั่วต่อมความหิวของอีกฝ่าย  พอกินหมดก็โยนเปลือกใส่หน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น  แล้วก็ลงไปนั่งสังสรรค์สูบฝิ่นกับพรรคพวกคนอื่นต่ออย่างครึกครื้น

สายสร้อยไข่มุกเส้นนั้นห้อยย้อยออกมาจากกระสอบที่วางอยู่ใกล้กับหญิงสาวแค่คืบ  ความวาวละเลื่อมของมันงามวับจับตาทันทีเมื่อแรกเห็น   พอโน้มตัวดูมันใกล้ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่า สร้อยมุกนั้นเป็นของเธอ  เพราะที่คอเธอตอนนี้มันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสร้อยมุกที่ใส่มาตั้งแต่แรก  และในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงก้อนกรวดหล่นมาจากขอบหน้าต่างที่แก้วบาหยันกำลังนั่งพิง

‘ตุบ’

เมื่อแหงนหน้าไปดูก็พบหัวคนแค่กระหม่อมโผล่มาแวบเดียว  ด้วยความตกใจไม่ได้ตั้งตัว หญิงสาวก็เลยหันหน้าหนีกลับมา และพยายามคิดว่าหัวนั้นอาจจะเป็นของคนจีนคนอื่นที่เฝ้าอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ แต่แล้วก็มีก้อนกรวดก้อนใหญ่กว่าเดิมตั้งใจตกมาใส่หัวของเธอ

‘ตุบ!’  

หญิงสาวรีบหันไปดูทันที ก็ไม่พบใครเช่นเคย แต่ถูกดอกไม้หนึ่งดอกปาใส่เข้าหน้า และดูเหมือนว่าผู้ที่ปาคงต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ  เพราะดอกไม้ที่ปามานั้นคือดอกการเวก ซึ่งบริเวณรอบโบสถ์หรือเส้นทางที่เดินผ่านมา ไม่น่าจะมีดอกไม้หอมสักต้น ถ้ามีก็คงได้กลิ่นไปแล้ว เพราะดอกการเวกให้กลิ่นหอมแรงในตอนกลางคืน  พื้นที่รอบๆก็ไม่มีต้นไม้ดอกไม้ประดับเลยแม้แต่ต้นเดียว ที่มีอยู่ก็แค่ต้นกล้วยกอเล็กๆที่ขึ้นข้างกำแพงโบสถ์  แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอันใด ที่จู่ๆโจรใจร้ายพวกนั้นจะไปหาดอกไม้มาปาเล่นใส่เธอ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงกระซิบถามคนที่อยู่ข้างนอกด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด  

“ ใครน่ะ? ”

คนที่อยู่ด้านนอกยังคงไม่ปรากฏตัว แต่กระซิบตอบกลับมาว่า “ ฉันเอง ขจร ”

พอแก้วบายันได้ยินชื่อขจร ก็ร็สึกดีใจอย่างมาก จนแทบอยากจะกระโดดออกจากหน้าต่างไปหา แต่ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ไว้  เพราะเกรงว่าถ้าทำอะไรกระโตกกระตากไปในตอนนี้  นอกจากจะหมดโอกาสรอดแล้ว มีหวังอาจได้ตายคู่แน่นอน  กลุ่มโจรก็มีจำนวนเยอะ และพร้อมด้วยอาวุธครบมือที่พร้อมจะฆ่าใครทิ้งได้อย่างง่ายดาย

หญิงสาวเลยแกล้งก้มหน้าไม่ให้กลุ่มโจรจับพิรุธได้ และเอนหัวไปทางขอบหน้าต่างเพื่อให้เสียงพูดส่งไปถึงอีกฝ่ายให้ชัดเจนที่สุด “ คุณขจร  คุณพาใครมาช่วยด้วยหรือไม่ พวกมันมีกันเยอะนะ  ”

ฝ่ายชายหนุ่มนั่งยองๆหลบที่มุมด้านข้างหน้าต่าง และป้องปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลง  “ ฉันมาคนเดียว  ฉันแค่มาส่งสัญญาณบอกให้หล่อนสบายใจเท่านั้น ”

“ คนเดียวงั้นรึ แล้วคุณตามฉันมาได้อย่างไร ” หญิงสาวพูดแบบปิดปากสนิท ขยับปากเล็กน้อย

“ หล่อนอย่าเพิ่งถามมาก  ประเดี๋ยวฉันช่วยหล่อนเอง พอพวกมันเมาฝิ่นเมาเหล้า ฉันก็จัดการมันได้ง่าย มิยากดอก ” ชายหนุ่มตอบ

ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง หัวหน้ากลุ่มโจรก็ได้ยินเสียงซุบซิบและเหลือบไปเห็นท่าทางแปลกๆของหญิงสาวที่เหมือนขยับปากพูดกับใครที่ริมหน้าต่าง  ก็เลยรีบเดินตรงปรี่มาทันที  โชคดีที่หญิงสาวส่งสัญญาณบอกขจรทัน ก็เลยหลบหลีกไปได้   หัวหน้าโจรมองสำรวจที่ด้านนอกหน้าต่างก็ไม่พบใคร แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงตะคอกถามหญิงสาวเสียงดังเป็นภาษาสยามแบบสำเนียงจีน “ ลื้อคุยกับใคร! ”

หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่หัวหน้าโจรพูดภาษาสยามได้ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพูดได้เแต่ภาษาจีน ก็เลยตอบกลับไปทันที “ พูดภาษาสยามได้งั้นรึ ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่