ความเดิมบทที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30381628บทนำ
http://ppantip.com/topic/30445012บทที่๑ เมืองใต้ดินกับกลิ่นการเวก
http://ppantip.com/topic/30456186บทที่๒ หลอกหลอน
http://ppantip.com/topic/30600473บทที่๓ ภูตผีปีศาจ
http://ppantip.com/topic/30913308บทที่๔ ลางสังหาร
http://ppantip.com/topic/30930331บทที่ ๕ สาปสาง
http://ppantip.com/topic/31011150บทที่ ๖ ศพสะอื้น
http://ppantip.com/topic/31023805บทที่ ๗ ฆาตกรกรรมอำพราง
http://ppantip.com/topic/31046786บทที่ ๘ แฝดกาฝาก
http://ppantip.com/topic/31121725บทที่ ๙ โพธิ์สามแพร่ง
บทที่๑๐
เสียกบาล
แพร่งตรงกลางที่เลือกเดินมานั้นดูรกชัฏไปด้วยต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีเพียงกิ่งก้านที่แตกระแหงแห้งทับซ้อนไขว้ไปมาปกคลุมเป็นเงามืด สร้างความสลัวลงมาสู่เบื้องล่างตลอดระยะทาง ตอนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยได้ว่า ปลายทางข้างหน้านั้นจะมีโบสถ์อย่างทีบ่าวหญิงบอกหรือไม่ แต่แก้วบาหยันก็เชื่อมั่นว่ามันจะต้องปลอดภัยมากกว่าตอนอยู่ที่ท่าน้ำโพธิ์สามแพร่งแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็มีอำแดงดวงคอยคุ้มภัย
‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’
เสียงคนเดินบนใบไม้แห้งด้วยความเร็วดังมาจากด้านหลัง แต่พอหันกลับไปดู เสียงนั้นก็เงียบไป ไร้ซึ่งเงาของผู้ใด จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเสียงนั้นคือคนหรือตัวอะไร แต่มันตามหลังมาได้สักระยะแล้ว ซึ่งมันต้องไม่ได้มาดีแน่นอน เพราะถ้ามาดี ก็คงปรากฏตัวไปนานแล้ว หญิงสาวจึงไม่รอช้า ก็เลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้บ่าวหญิงเดินทิ้งระยะห่างจากตัวเธอไปไกลมากแล้ว ถ้าขืนช้ากว่านี้ ก็อาจจะพลัดหลงกันได้
‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’
ฝีเท้าปริศนายังคงไล่ตามแก้วบาหยันมาเรื่อยๆในทุกจังหวะที่เธอเดินหนี แต่เมื่อหยุดหันหลังไปดู เสียงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจถอดรองเท้า เพื่อให้วิ่งให้ถนัดขึ้น แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้น เมื่อถอดรองเท้าเสร็จและเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ไม่เห็นอำแดงดวงอยู่ที่ด้านหน้าอีกแล้ว มิหนำซ้ำ เส้นทางบนพื้นก็หายไป เหมือนกับว่ามีคนมากลบดินและลบทางไม่ให้ใครสามารถเดินต่อไปได้ ในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้กอหญ้าหรืออะไรเลยที่จะถางเป็นทางบอกใบ้ได้เลยว่าควรจะเดินไปไหนต่อ
‘แกรก...แกรก….แกรก...แกรก…....แกรก……....แกรก……………….’
เสียงฝีเท้าบนใบไม้แห้งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่คราวนี้มันมาในจังหวะที่ช้าลง ช้าลง จนเสียงเงียบหายไปอย่างสงัด เสมือนกับเสือที่กำลังซุ่มเตรียมขยุ้มเหยื่อในอีกไม่ช้า
หญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับที่ กำรองเท้าไว้แน่นเพราะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่มีอยู่ เธอตัดสินใจเผชิญหน้าสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ซึ่งจริงๆแล้วแค่วิ่งหนีให้เร็วที่สุด หรือตะโกนเรียกบ่าวหญิงให้ช่วยเหลือก็ได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะหยุดสู้กับมัน และรอดูว่าสิ่งที่ตามหลังมานั้นคืออะไรกันแน่ เพราะตอนนี้ความกล้าเท่านั้นที่จะชนะความกลัว วิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า สู้เอาแรงทั้งหมดมาปะทะให้หมดเรื่องเสียดีกว่า
ทันใดนั้น เสียงปริศนานั้นก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้มาจากทางเดิม แต่มันวิ่งมาจากรอบทิศด้วยความเร็วสูงนับสิบราวกับกองทัพ
‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’
ยังไม่ทันที่จะจ้องดูให้แน่ชัด ศัตรูในเงามืดก็มาประชิดที่ด้านหลัง มันใช้ความกำยำของร่างกายบังคับเธอไม่ให้ดิ้น และบีบข้อมือให้ปล่อยรองเท้า เมื่อเห็นว่าเริ่มอ่อนแรง มันก็ใช้กระสอบครอบหัวเธอไว้ไม่ให้มองเห็น แล้วฉุดกระชากลากพาออกไปจากบริเวณนั้นทันที
“ ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน! ดวง! ดวงอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย! ”
หญิงสาวร้องตะโกนทั้งๆที่มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้ได้ยินแต่เพียงเสียงสนทนาของอีกฝ่ายเป็นภาษาจีนที่แปลไม่ออกว่าพูดว่าอะไร แต่ฟังดูแล้วก็พอจะคาดคะเนได้ว่ามันมากันหลายคนและเป็นผู้ชายทั้งหมด ถ้าหากต่อสู้โดยใช้กำลังก็คงจะไม่ไหว ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุด เผื่อว่าใครจะได้ยิน แต่ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องให้สิ้นเสียง ก็ต้องมาจุกที่ท้องเพราะโดนต่อยด้วยหมัดอันหนักหน่วงอย่างไม่ปรานีจากหนึ่งคนในกลุ่มนั้น
หญิงสาวหมดแรงอย่างราบคาบที่จะขัดขืนฝืนสู้ จึงยอมเดินตามไปอย่างจำนน พอเดินมาได้ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก หนึ่งในนั้นก็เปิดกระสอบออกจากหัวเธอ และใช้เชือกผ้ามามัดไขว้มือผูกติดไม่ให้ต่อสู้ได้ ในนาทีนี้แก้วบาหยันยังคงรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยอยู่ จึงไม่อยากต่อกรใดๆไปมากกว่านี้ เลยได้แต่นั่งจดจำหน้าตาของผู้ที่กระทำเธอให้ครบถ้วน เผื่อว่ารอดออกไป ก็จะได้แจ้งหลวงหรือกระทรวงนครบาลให้มาจับพวกมันเข้าคุกในคราหลัง
ทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวเล็กล่ำสันราวยี่สิบกว่าคน มันกำลังสุมหัวสูบฝิ่นกินเหล้าเถื่อนในไหกันอย่างสนุกสนาน ดูจากการแต่งตัวแล้ว ก็ไม่ต่างจากยาจกหรือเจ๊กลากรถในสยาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือผมเปียหางยาวพันรอบคอ ส่วน ด้านหน้าศรีษะก็โล้นเตียนตั้งแต่หน้าผากไปถึงเกือบกลางหัว ทุกคนสนทนากันด้วยภาษาจีนเหมือนตั้งใจจะสื่อสารกันแค่ในกลุ่มไม่อยากให้คนนอกรับรู้
ในขณะที่แก้วบาหยันกำลังจดจำลักษณะของคนทั้งหมดอยู่นั้น ก็มีชายจีนหนึ่งในนั้นที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาอย่างไม่น่าไว้วางใจ แล้วจู่ๆก็เรียกใครคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังพระประธานในโบสถ์ร้าง ผู้ที่ถูกเรียกค่อยๆเดินขโยกเขยกออกมา พร้อมคำนับผู้เป็นหัวหน้าอย่างนอบน้อม และสทนากันด้วยภาษาจีนอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเป็นภาษาชาติกำเนิด
หญิงสาวเห็นผู้ที่ถูกเรียก ก็แน่ใจว่าเป็นใคร จึงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ “ ดวง! ช่วยฉันด้วย! ”
อำแดงดวงได้ยินทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา ยังคงยืนคุยอยู่กับผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนจีนอย่างเป็นปกติ พร้อมยื่นสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งให้อีกฝ่าย และเดินออกจากโบสถ์ไปทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแก้วบาหยันเลยสักนิด
หัวหน้าโจรโยนสร้อยไข่มุกเก็บเข้าไปรวมไว้ในกระสอบที่มีของมีค่าชิ้นอื่นๆจากการปล้น พร้อมหันมายิ้มเยาะเล็กน้อยที่หญิงสาว และแกล้งหยิบกล้วยมากินยั่วต่อมความหิวของอีกฝ่าย พอกินหมดก็โยนเปลือกใส่หน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วก็ลงไปนั่งสังสรรค์สูบฝิ่นกับพรรคพวกคนอื่นต่ออย่างครึกครื้น
สายสร้อยไข่มุกเส้นนั้นห้อยย้อยออกมาจากกระสอบที่วางอยู่ใกล้กับหญิงสาวแค่คืบ ความวาวละเลื่อมของมันงามวับจับตาทันทีเมื่อแรกเห็น พอโน้มตัวดูมันใกล้ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่า สร้อยมุกนั้นเป็นของเธอ เพราะที่คอเธอตอนนี้มันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสร้อยมุกที่ใส่มาตั้งแต่แรก และในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงก้อนกรวดหล่นมาจากขอบหน้าต่างที่แก้วบาหยันกำลังนั่งพิง
‘ตุบ’
เมื่อแหงนหน้าไปดูก็พบหัวคนแค่กระหม่อมโผล่มาแวบเดียว ด้วยความตกใจไม่ได้ตั้งตัว หญิงสาวก็เลยหันหน้าหนีกลับมา และพยายามคิดว่าหัวนั้นอาจจะเป็นของคนจีนคนอื่นที่เฝ้าอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ แต่แล้วก็มีก้อนกรวดก้อนใหญ่กว่าเดิมตั้งใจตกมาใส่หัวของเธอ
‘ตุบ!’
หญิงสาวรีบหันไปดูทันที ก็ไม่พบใครเช่นเคย แต่ถูกดอกไม้หนึ่งดอกปาใส่เข้าหน้า และดูเหมือนว่าผู้ที่ปาคงต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ เพราะดอกไม้ที่ปามานั้นคือดอกการเวก ซึ่งบริเวณรอบโบสถ์หรือเส้นทางที่เดินผ่านมา ไม่น่าจะมีดอกไม้หอมสักต้น ถ้ามีก็คงได้กลิ่นไปแล้ว เพราะดอกการเวกให้กลิ่นหอมแรงในตอนกลางคืน พื้นที่รอบๆก็ไม่มีต้นไม้ดอกไม้ประดับเลยแม้แต่ต้นเดียว ที่มีอยู่ก็แค่ต้นกล้วยกอเล็กๆที่ขึ้นข้างกำแพงโบสถ์ แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอันใด ที่จู่ๆโจรใจร้ายพวกนั้นจะไปหาดอกไม้มาปาเล่นใส่เธอ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงกระซิบถามคนที่อยู่ข้างนอกด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด
“ ใครน่ะ? ”
คนที่อยู่ด้านนอกยังคงไม่ปรากฏตัว แต่กระซิบตอบกลับมาว่า “ ฉันเอง ขจร ”
พอแก้วบายันได้ยินชื่อขจร ก็ร็สึกดีใจอย่างมาก จนแทบอยากจะกระโดดออกจากหน้าต่างไปหา แต่ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ไว้ เพราะเกรงว่าถ้าทำอะไรกระโตกกระตากไปในตอนนี้ นอกจากจะหมดโอกาสรอดแล้ว มีหวังอาจได้ตายคู่แน่นอน กลุ่มโจรก็มีจำนวนเยอะ และพร้อมด้วยอาวุธครบมือที่พร้อมจะฆ่าใครทิ้งได้อย่างง่ายดาย
หญิงสาวเลยแกล้งก้มหน้าไม่ให้กลุ่มโจรจับพิรุธได้ และเอนหัวไปทางขอบหน้าต่างเพื่อให้เสียงพูดส่งไปถึงอีกฝ่ายให้ชัดเจนที่สุด “ คุณขจร คุณพาใครมาช่วยด้วยหรือไม่ พวกมันมีกันเยอะนะ ”
ฝ่ายชายหนุ่มนั่งยองๆหลบที่มุมด้านข้างหน้าต่าง และป้องปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ ฉันมาคนเดียว ฉันแค่มาส่งสัญญาณบอกให้หล่อนสบายใจเท่านั้น ”
“ คนเดียวงั้นรึ แล้วคุณตามฉันมาได้อย่างไร ” หญิงสาวพูดแบบปิดปากสนิท ขยับปากเล็กน้อย
“ หล่อนอย่าเพิ่งถามมาก ประเดี๋ยวฉันช่วยหล่อนเอง พอพวกมันเมาฝิ่นเมาเหล้า ฉันก็จัดการมันได้ง่าย มิยากดอก ” ชายหนุ่มตอบ
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง หัวหน้ากลุ่มโจรก็ได้ยินเสียงซุบซิบและเหลือบไปเห็นท่าทางแปลกๆของหญิงสาวที่เหมือนขยับปากพูดกับใครที่ริมหน้าต่าง ก็เลยรีบเดินตรงปรี่มาทันที โชคดีที่หญิงสาวส่งสัญญาณบอกขจรทัน ก็เลยหลบหลีกไปได้ หัวหน้าโจรมองสำรวจที่ด้านนอกหน้าต่างก็ไม่พบใคร แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงตะคอกถามหญิงสาวเสียงดังเป็นภาษาสยามแบบสำเนียงจีน “ ลื้อคุยกับใคร! ”
หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่หัวหน้าโจรพูดภาษาสยามได้ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพูดได้เแต่ภาษาจีน ก็เลยตอบกลับไปทันที “ พูดภาษาสยามได้งั้นรึ ”
เหย้าบาหยัน ◥◣ บทที่ ๑๐ ◥◣ เสียกบาล
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แพร่งตรงกลางที่เลือกเดินมานั้นดูรกชัฏไปด้วยต้นไม้ใหญ่ไร้ใบ มีเพียงกิ่งก้านที่แตกระแหงแห้งทับซ้อนไขว้ไปมาปกคลุมเป็นเงามืด สร้างความสลัวลงมาสู่เบื้องล่างตลอดระยะทาง ตอนนี้ไม่มีอะไรบ่งบอกเลยได้ว่า ปลายทางข้างหน้านั้นจะมีโบสถ์อย่างทีบ่าวหญิงบอกหรือไม่ แต่แก้วบาหยันก็เชื่อมั่นว่ามันจะต้องปลอดภัยมากกว่าตอนอยู่ที่ท่าน้ำโพธิ์สามแพร่งแน่นอน เพราะอย่างน้อยก็มีอำแดงดวงคอยคุ้มภัย
‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’
เสียงคนเดินบนใบไม้แห้งด้วยความเร็วดังมาจากด้านหลัง แต่พอหันกลับไปดู เสียงนั้นก็เงียบไป ไร้ซึ่งเงาของผู้ใด จึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเสียงนั้นคือคนหรือตัวอะไร แต่มันตามหลังมาได้สักระยะแล้ว ซึ่งมันต้องไม่ได้มาดีแน่นอน เพราะถ้ามาดี ก็คงปรากฏตัวไปนานแล้ว หญิงสาวจึงไม่รอช้า ก็เลยกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร่งฝีเท้าให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิม เพราะตอนนี้บ่าวหญิงเดินทิ้งระยะห่างจากตัวเธอไปไกลมากแล้ว ถ้าขืนช้ากว่านี้ ก็อาจจะพลัดหลงกันได้
‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’
ฝีเท้าปริศนายังคงไล่ตามแก้วบาหยันมาเรื่อยๆในทุกจังหวะที่เธอเดินหนี แต่เมื่อหยุดหันหลังไปดู เสียงนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นเดิม ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจถอดรองเท้า เพื่อให้วิ่งให้ถนัดขึ้น แต่แล้วสิ่งที่ไม่อยากให้เกิด ก็เกิดขึ้น เมื่อถอดรองเท้าเสร็จและเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ไม่เห็นอำแดงดวงอยู่ที่ด้านหน้าอีกแล้ว มิหนำซ้ำ เส้นทางบนพื้นก็หายไป เหมือนกับว่ามีคนมากลบดินและลบทางไม่ให้ใครสามารถเดินต่อไปได้ ในตอนนี้ไม่มีแม้กระทั่งต้นไม้กอหญ้าหรืออะไรเลยที่จะถางเป็นทางบอกใบ้ได้เลยว่าควรจะเดินไปไหนต่อ
‘แกรก...แกรก….แกรก...แกรก…....แกรก……....แกรก……………….’
เสียงฝีเท้าบนใบไม้แห้งเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่คราวนี้มันมาในจังหวะที่ช้าลง ช้าลง จนเสียงเงียบหายไปอย่างสงัด เสมือนกับเสือที่กำลังซุ่มเตรียมขยุ้มเหยื่อในอีกไม่ช้า
หญิงสาวหยุดนิ่งอยู่กับที่ กำรองเท้าไว้แน่นเพราะเป็นอาวุธอย่างเดียวที่มีอยู่ เธอตัดสินใจเผชิญหน้าสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น ซึ่งจริงๆแล้วแค่วิ่งหนีให้เร็วที่สุด หรือตะโกนเรียกบ่าวหญิงให้ช่วยเหลือก็ได้ แต่เธอกลับเลือกที่จะหยุดสู้กับมัน และรอดูว่าสิ่งที่ตามหลังมานั้นคืออะไรกันแน่ เพราะตอนนี้ความกล้าเท่านั้นที่จะชนะความกลัว วิ่งหนีไปก็เหนื่อยเปล่า สู้เอาแรงทั้งหมดมาปะทะให้หมดเรื่องเสียดีกว่า
ทันใดนั้น เสียงปริศนานั้นก็จู่โจมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว มันไม่ได้มาจากทางเดิม แต่มันวิ่งมาจากรอบทิศด้วยความเร็วสูงนับสิบราวกับกองทัพ
‘แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก แกรก’
ยังไม่ทันที่จะจ้องดูให้แน่ชัด ศัตรูในเงามืดก็มาประชิดที่ด้านหลัง มันใช้ความกำยำของร่างกายบังคับเธอไม่ให้ดิ้น และบีบข้อมือให้ปล่อยรองเท้า เมื่อเห็นว่าเริ่มอ่อนแรง มันก็ใช้กระสอบครอบหัวเธอไว้ไม่ให้มองเห็น แล้วฉุดกระชากลากพาออกไปจากบริเวณนั้นทันที
“ ปล่อยฉันนะ! ปล่อยฉัน! ดวง! ดวงอยู่ไหน ช่วยฉันด้วย! ”
หญิงสาวร้องตะโกนทั้งๆที่มองไม่เห็นอะไรเลย ตอนนี้ได้ยินแต่เพียงเสียงสนทนาของอีกฝ่ายเป็นภาษาจีนที่แปลไม่ออกว่าพูดว่าอะไร แต่ฟังดูแล้วก็พอจะคาดคะเนได้ว่ามันมากันหลายคนและเป็นผู้ชายทั้งหมด ถ้าหากต่อสู้โดยใช้กำลังก็คงจะไม่ไหว ทางเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ต้องกรีดร้องออกมาให้ดังที่สุด เผื่อว่าใครจะได้ยิน แต่ยังไม่ทันที่จะกรีดร้องให้สิ้นเสียง ก็ต้องมาจุกที่ท้องเพราะโดนต่อยด้วยหมัดอันหนักหน่วงอย่างไม่ปรานีจากหนึ่งคนในกลุ่มนั้น
หญิงสาวหมดแรงอย่างราบคาบที่จะขัดขืนฝืนสู้ จึงยอมเดินตามไปอย่างจำนน พอเดินมาได้ไม่ไกลจากจุดเดิมมากนัก หนึ่งในนั้นก็เปิดกระสอบออกจากหัวเธอ และใช้เชือกผ้ามามัดไขว้มือผูกติดไม่ให้ต่อสู้ได้ ในนาทีนี้แก้วบาหยันยังคงรู้สึกเจ็บที่ท้องน้อยอยู่ จึงไม่อยากต่อกรใดๆไปมากกว่านี้ เลยได้แต่นั่งจดจำหน้าตาของผู้ที่กระทำเธอให้ครบถ้วน เผื่อว่ารอดออกไป ก็จะได้แจ้งหลวงหรือกระทรวงนครบาลให้มาจับพวกมันเข้าคุกในคราหลัง
ทั้งหมดเป็นผู้ชายตัวเล็กล่ำสันราวยี่สิบกว่าคน มันกำลังสุมหัวสูบฝิ่นกินเหล้าเถื่อนในไหกันอย่างสนุกสนาน ดูจากการแต่งตัวแล้ว ก็ไม่ต่างจากยาจกหรือเจ๊กลากรถในสยาม สิ่งที่เหมือนกันก็คือผมเปียหางยาวพันรอบคอ ส่วน ด้านหน้าศรีษะก็โล้นเตียนตั้งแต่หน้าผากไปถึงเกือบกลางหัว ทุกคนสนทนากันด้วยภาษาจีนเหมือนตั้งใจจะสื่อสารกันแค่ในกลุ่มไม่อยากให้คนนอกรับรู้
ในขณะที่แก้วบาหยันกำลังจดจำลักษณะของคนทั้งหมดอยู่นั้น ก็มีชายจีนหนึ่งในนั้นที่เหมือนจะเป็นหัวหน้า กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาอย่างไม่น่าไว้วางใจ แล้วจู่ๆก็เรียกใครคนหนึ่งออกมาจากด้านหลังพระประธานในโบสถ์ร้าง ผู้ที่ถูกเรียกค่อยๆเดินขโยกเขยกออกมา พร้อมคำนับผู้เป็นหัวหน้าอย่างนอบน้อม และสทนากันด้วยภาษาจีนอย่างชัดถ้อยชัดคำราวกับเป็นภาษาชาติกำเนิด
หญิงสาวเห็นผู้ที่ถูกเรียก ก็แน่ใจว่าเป็นใคร จึงตะโกนเรียกขอความช่วยเหลืออย่างสุดเสียงเท่าที่จะทำได้ “ ดวง! ช่วยฉันด้วย! ”
อำแดงดวงได้ยินทุกอย่าง แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมา ยังคงยืนคุยอยู่กับผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มคนจีนอย่างเป็นปกติ พร้อมยื่นสร้อยไข่มุกเส้นหนึ่งให้อีกฝ่าย และเดินออกจากโบสถ์ไปทันทีโดยไม่เหลียวหลังกลับมามองแก้วบาหยันเลยสักนิด
หัวหน้าโจรโยนสร้อยไข่มุกเก็บเข้าไปรวมไว้ในกระสอบที่มีของมีค่าชิ้นอื่นๆจากการปล้น พร้อมหันมายิ้มเยาะเล็กน้อยที่หญิงสาว และแกล้งหยิบกล้วยมากินยั่วต่อมความหิวของอีกฝ่าย พอกินหมดก็โยนเปลือกใส่หน้าพร้อมหัวเราะเสียงดังลั่น แล้วก็ลงไปนั่งสังสรรค์สูบฝิ่นกับพรรคพวกคนอื่นต่ออย่างครึกครื้น
สายสร้อยไข่มุกเส้นนั้นห้อยย้อยออกมาจากกระสอบที่วางอยู่ใกล้กับหญิงสาวแค่คืบ ความวาวละเลื่อมของมันงามวับจับตาทันทีเมื่อแรกเห็น พอโน้มตัวดูมันใกล้ๆ ก็ยิ่งมั่นใจว่า สร้อยมุกนั้นเป็นของเธอ เพราะที่คอเธอตอนนี้มันว่างเปล่า ไร้ซึ่งสร้อยมุกที่ใส่มาตั้งแต่แรก และในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็มีเสียงก้อนกรวดหล่นมาจากขอบหน้าต่างที่แก้วบาหยันกำลังนั่งพิง
‘ตุบ’
เมื่อแหงนหน้าไปดูก็พบหัวคนแค่กระหม่อมโผล่มาแวบเดียว ด้วยความตกใจไม่ได้ตั้งตัว หญิงสาวก็เลยหันหน้าหนีกลับมา และพยายามคิดว่าหัวนั้นอาจจะเป็นของคนจีนคนอื่นที่เฝ้าอยู่นอกโบสถ์ก็ได้ แต่แล้วก็มีก้อนกรวดก้อนใหญ่กว่าเดิมตั้งใจตกมาใส่หัวของเธอ
‘ตุบ!’
หญิงสาวรีบหันไปดูทันที ก็ไม่พบใครเช่นเคย แต่ถูกดอกไม้หนึ่งดอกปาใส่เข้าหน้า และดูเหมือนว่าผู้ที่ปาคงต้องการสื่อสารอะไรบางอย่างกับเธอ เพราะดอกไม้ที่ปามานั้นคือดอกการเวก ซึ่งบริเวณรอบโบสถ์หรือเส้นทางที่เดินผ่านมา ไม่น่าจะมีดอกไม้หอมสักต้น ถ้ามีก็คงได้กลิ่นไปแล้ว เพราะดอกการเวกให้กลิ่นหอมแรงในตอนกลางคืน พื้นที่รอบๆก็ไม่มีต้นไม้ดอกไม้ประดับเลยแม้แต่ต้นเดียว ที่มีอยู่ก็แค่ต้นกล้วยกอเล็กๆที่ขึ้นข้างกำแพงโบสถ์ แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลอันใด ที่จู่ๆโจรใจร้ายพวกนั้นจะไปหาดอกไม้มาปาเล่นใส่เธอ แต่เพื่อความแน่ใจ จึงกระซิบถามคนที่อยู่ข้างนอกด้วยน้ำเสียงที่เบาที่สุด
“ ใครน่ะ? ”
คนที่อยู่ด้านนอกยังคงไม่ปรากฏตัว แต่กระซิบตอบกลับมาว่า “ ฉันเอง ขจร ”
พอแก้วบายันได้ยินชื่อขจร ก็ร็สึกดีใจอย่างมาก จนแทบอยากจะกระโดดออกจากหน้าต่างไปหา แต่ก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ไว้ เพราะเกรงว่าถ้าทำอะไรกระโตกกระตากไปในตอนนี้ นอกจากจะหมดโอกาสรอดแล้ว มีหวังอาจได้ตายคู่แน่นอน กลุ่มโจรก็มีจำนวนเยอะ และพร้อมด้วยอาวุธครบมือที่พร้อมจะฆ่าใครทิ้งได้อย่างง่ายดาย
หญิงสาวเลยแกล้งก้มหน้าไม่ให้กลุ่มโจรจับพิรุธได้ และเอนหัวไปทางขอบหน้าต่างเพื่อให้เสียงพูดส่งไปถึงอีกฝ่ายให้ชัดเจนที่สุด “ คุณขจร คุณพาใครมาช่วยด้วยหรือไม่ พวกมันมีกันเยอะนะ ”
ฝ่ายชายหนุ่มนั่งยองๆหลบที่มุมด้านข้างหน้าต่าง และป้องปากตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลง “ ฉันมาคนเดียว ฉันแค่มาส่งสัญญาณบอกให้หล่อนสบายใจเท่านั้น ”
“ คนเดียวงั้นรึ แล้วคุณตามฉันมาได้อย่างไร ” หญิงสาวพูดแบบปิดปากสนิท ขยับปากเล็กน้อย
“ หล่อนอย่าเพิ่งถามมาก ประเดี๋ยวฉันช่วยหล่อนเอง พอพวกมันเมาฝิ่นเมาเหล้า ฉันก็จัดการมันได้ง่าย มิยากดอก ” ชายหนุ่มตอบ
ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง หัวหน้ากลุ่มโจรก็ได้ยินเสียงซุบซิบและเหลือบไปเห็นท่าทางแปลกๆของหญิงสาวที่เหมือนขยับปากพูดกับใครที่ริมหน้าต่าง ก็เลยรีบเดินตรงปรี่มาทันที โชคดีที่หญิงสาวส่งสัญญาณบอกขจรทัน ก็เลยหลบหลีกไปได้ หัวหน้าโจรมองสำรวจที่ด้านนอกหน้าต่างก็ไม่พบใคร แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงตะคอกถามหญิงสาวเสียงดังเป็นภาษาสยามแบบสำเนียงจีน “ ลื้อคุยกับใคร! ”
หญิงสาวตกใจเล็กน้อยที่หัวหน้าโจรพูดภาษาสยามได้ เพราะตอนแรกเข้าใจว่าพูดได้เแต่ภาษาจีน ก็เลยตอบกลับไปทันที “ พูดภาษาสยามได้งั้นรึ ”