นายยรรยง พวงราช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังร่วมเป็นประธานโครงการประมูลสินค้าเกษตรในสต็อกรัฐบาล โดยอิงราคาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ว่า ในการเปิดระบายข้าวผ่านตลาดล่วงหน้าหรือ เอเฟท ปริมาณรวม 1.5 แสนตัน มีผู้สนใจเสนอส่วนต่างราคารวม 6 ราย ซึ่งคณะกรรมการจะพิจารณาส่วนต่างราคาที่เสนอมาก่อนอนุมัติ ให้เข้าไปซื้อข้าวตามราคาตลาดในเอเฟท ในช่วงกำหนดวันส่งมอบอีกประมาณ 1-2 เดือนจากนี้ หากเอกชนรายใดเสนอราคาส่วนต่างที่เหมาะสม ก็จะมีการซื้อขายตามจำนวนที่เสนอซื้อลบกับราคาตลาดในขณะนั้น ซึ่งวิธีการนี้จะสามารถชี้นำราคาตลาดโลกและตลาดในประเทศให้สะท้อนความเป็นจริงได้สูงสุด
สำหรับราคาส่วนต่างที่เอกชนเสนอวันนี้ เป็นการคำนวณต้นทุนส่วนต่างราคาหักค่าปรับปรุงสภาพ ค่าขนส่ง และค่าบริหารจัดการ ซึ่งปริมาณข้าวที่แบ่งเป็นกองย่อย จะทำให้เอกชนหลายราย สามารถเข้าร่วมซื้อข้าวจากรัฐบาลได้ผ่านวิธีนี้ และเป็นวิธีการที่มีความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า มีจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยเข้าร่วมประมูลก่อนหน้านี้ ซึ่งสาเหตุมาจากความไม่เชื่อมั่น วิธีการระบายแบบนี้ จึงกำหนดว่าจะให้มีการโรดโชว์วิธีการประมูลข้าวผ่านเอเฟท ทั่วประเทศเน้นจังหวัดที่มีปริมาณและผู้ประกอบการข้าวหนาแน่น เช่น พิจิตร นครสวรรค์ เพื่อทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่น และไม่ได้คาดหวังว่าการประมูลครั้งนี้จะสามารถระบายได้ทั้ง 1.5 แสนตัน เพราะไม่ต้องการเน้นปริมาณข้าวที่จะขายออก แต่ต้องการให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ดังนั้น จากนี้ จะกำหนดระบายผ่านเอเฟทอีกอย่างต่อเนื่องมากกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
“ก็น่าเสียดายที่การประมูลแบบนี้ เปิดโอกาสให้ทุกคนทั้งรายใหญ่รายย่อยมาซื้อข้าวรัฐ แต่ก็มากันน้อย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจวิธีการและความเชื่อมั่นของระบบจึงต้องโรดโชว์ให้เข้าในกัน และให้เปิดประมูลแบบถี่ขึ้นไม่เน้นปริมาณเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุด” นายยรรยง กล่าว
ด้านนายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด กล่าวว่า ได้ร่วมเสนอส่วนต่างข้าวขาว ในราคาตั้งแต่ กิโลกรัมละ 50 สตางค์ - 1 บาท ส่วนข้าวหอมมะลิแม้จะมีความสนใจ แต่กองข้าวยังมีขนาดใหญ่เกินไปไม่มีกำลังซื้อ จึงอยากขอให้มีการแบ่งกองให้เล็กลง โดยข้าวที่เสนอซื้อเพื่อนำไปป้อนตลาดในประเทศที่นิยมข้าวเก่า ขณะที่ข้าวในตลาดแม้จะมีปริมาณมากแต่เป็นข้าวใหม่ ซึ่งไม่นิยมบริโภคในตลาดภายใน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของข้าวหอมมะลิ เอกชนเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางประมาณ 6-6.50 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนข้าวขาวเอกชนเสนอราคาต่ำกว่าตลาด 1.70-2.50 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าจะรู้ผลการประมูลในสัปดาห์หน้า โดยข้าวที่นำมาประมูลได้แก่ ข้าวขาว 5% ปริมาณ 109,775 ตัน แบ่งเป็น 57 ส่วน โดยมีเอกชนเสนอส่วนต่าง สำหรับรับมอบม.ค. 2557 จำนวน 1 ราย คือ บริษัท แคปปิตัลซีเรียล จำกัด
สำหรับรับมอบ ก.พ. 2557 จำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด , ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสี อรุณพัฒนา, บริษัทเจริญพล อินเตอร์เทรด จำกัด ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 30,668 ตัน แบ่งเป็น 7 ส่วน
สำหรับรับมอบ ธ.ค. 2556 จำนวน 4 ราย ได้แก่ หจก. โรงสีเอกไพบูลย์ บริษัท ,พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด, บริษัท เจริญผล อินเตอร์เทรด จำกัด และ หจก.โรงสีอรุณพัฒนา
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะอาศัยตลาดเอเฟทระบายข้าวในช่วงนี้ เนื่องจากผู้ค้าได้เก็งตลาดไปแล้วว่าราคาข้าวจะลดลงไปอีก หลังจากข้าวฤดูกาลใหม่ทยอยออกสู่ตลาด ประกอบกับตลาดคาดการณ์ว่าสต็อกรัฐบาลที่มีมากเกินไป ถูกสถานการณ์กดดันให้ต้องระบายข้าวออกมา ตลาดจึงเฝ้ารอซื้อของถูกและข้าวใหม่มากกว่าเข้าประมูลในตลาดเอเฟท
ราคาข้าวขาว 5% ของไทยลดลงไปอยู่ที่ 415 ดอลลาร์ต่อตัน จากเดิมอยู่ที่กว่า 500 ดอลลาร์ต่อตัน ด้านข้าวขาวเวียดนามราคาอยู่ที่ 395 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับไทยในขณะนี้
credit :
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20131026/538876/ประมูลข้าวตลาดเอเฟทกร่อย.html
บางคนในกระทู้นี้บอกว่า รัฐบาลเสียงข้างมาก - แล้วเสียงข้างมากทำอะไรไม่ผิดงั้นหรือ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพไม่เป็นงั้นหรือ ? ... ไร้ตรรกะสิ้นดี
"พาณิชย์"ประมูลข้าวผ่าน"AFFET"กร่อย & นายกกิตติมศักดิ์ส.ผู้ส่งออกข้าวไทยบอกราคาข้าวจะลดลงอีกจากข
สำหรับราคาส่วนต่างที่เอกชนเสนอวันนี้ เป็นการคำนวณต้นทุนส่วนต่างราคาหักค่าปรับปรุงสภาพ ค่าขนส่ง และค่าบริหารจัดการ ซึ่งปริมาณข้าวที่แบ่งเป็นกองย่อย จะทำให้เอกชนหลายราย สามารถเข้าร่วมซื้อข้าวจากรัฐบาลได้ผ่านวิธีนี้ และเป็นวิธีการที่มีความโปร่งใส
อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า มีจำนวนผู้เข้าร่วมประมูลไม่มากนัก ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เคยเข้าร่วมประมูลก่อนหน้านี้ ซึ่งสาเหตุมาจากความไม่เชื่อมั่น วิธีการระบายแบบนี้ จึงกำหนดว่าจะให้มีการโรดโชว์วิธีการประมูลข้าวผ่านเอเฟท ทั่วประเทศเน้นจังหวัดที่มีปริมาณและผู้ประกอบการข้าวหนาแน่น เช่น พิจิตร นครสวรรค์ เพื่อทำความเข้าใจและสร้างความเชื่อมั่น และไม่ได้คาดหวังว่าการประมูลครั้งนี้จะสามารถระบายได้ทั้ง 1.5 แสนตัน เพราะไม่ต้องการเน้นปริมาณข้าวที่จะขายออก แต่ต้องการให้ได้ราคาที่ดีที่สุด ดังนั้น จากนี้ จะกำหนดระบายผ่านเอเฟทอีกอย่างต่อเนื่องมากกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
“ก็น่าเสียดายที่การประมูลแบบนี้ เปิดโอกาสให้ทุกคนทั้งรายใหญ่รายย่อยมาซื้อข้าวรัฐ แต่ก็มากันน้อย ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องของความไม่เข้าใจวิธีการและความเชื่อมั่นของระบบจึงต้องโรดโชว์ให้เข้าในกัน และให้เปิดประมูลแบบถี่ขึ้นไม่เน้นปริมาณเพื่อให้ได้ราคาดีที่สุด” นายยรรยง กล่าว
ด้านนายบรรจง ตั้งจิตรวัฒนากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด กล่าวว่า ได้ร่วมเสนอส่วนต่างข้าวขาว ในราคาตั้งแต่ กิโลกรัมละ 50 สตางค์ - 1 บาท ส่วนข้าวหอมมะลิแม้จะมีความสนใจ แต่กองข้าวยังมีขนาดใหญ่เกินไปไม่มีกำลังซื้อ จึงอยากขอให้มีการแบ่งกองให้เล็กลง โดยข้าวที่เสนอซื้อเพื่อนำไปป้อนตลาดในประเทศที่นิยมข้าวเก่า ขณะที่ข้าวในตลาดแม้จะมีปริมาณมากแต่เป็นข้าวใหม่ ซึ่งไม่นิยมบริโภคในตลาดภายใน
รายงานข่าวแจ้งว่า ในส่วนของข้าวหอมมะลิ เอกชนเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางประมาณ 6-6.50 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนข้าวขาวเอกชนเสนอราคาต่ำกว่าตลาด 1.70-2.50 บาทต่อกิโลกรัม และคาดว่าจะรู้ผลการประมูลในสัปดาห์หน้า โดยข้าวที่นำมาประมูลได้แก่ ข้าวขาว 5% ปริมาณ 109,775 ตัน แบ่งเป็น 57 ส่วน โดยมีเอกชนเสนอส่วนต่าง สำหรับรับมอบม.ค. 2557 จำนวน 1 ราย คือ บริษัท แคปปิตัลซีเรียล จำกัด
สำหรับรับมอบ ก.พ. 2557 จำนวน 3 ราย ได้แก่ บริษัท พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด , ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงสี อรุณพัฒนา, บริษัทเจริญพล อินเตอร์เทรด จำกัด ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 30,668 ตัน แบ่งเป็น 7 ส่วน
สำหรับรับมอบ ธ.ค. 2556 จำนวน 4 ราย ได้แก่ หจก. โรงสีเอกไพบูลย์ บริษัท ,พิจิตรโรงสีร่วมเจริญ 2 ไรซ์ จำกัด, บริษัท เจริญผล อินเตอร์เทรด จำกัด และ หจก.โรงสีอรุณพัฒนา
นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่รัฐบาลจะอาศัยตลาดเอเฟทระบายข้าวในช่วงนี้ เนื่องจากผู้ค้าได้เก็งตลาดไปแล้วว่าราคาข้าวจะลดลงไปอีก หลังจากข้าวฤดูกาลใหม่ทยอยออกสู่ตลาด ประกอบกับตลาดคาดการณ์ว่าสต็อกรัฐบาลที่มีมากเกินไป ถูกสถานการณ์กดดันให้ต้องระบายข้าวออกมา ตลาดจึงเฝ้ารอซื้อของถูกและข้าวใหม่มากกว่าเข้าประมูลในตลาดเอเฟท
ราคาข้าวขาว 5% ของไทยลดลงไปอยู่ที่ 415 ดอลลาร์ต่อตัน จากเดิมอยู่ที่กว่า 500 ดอลลาร์ต่อตัน ด้านข้าวขาวเวียดนามราคาอยู่ที่ 395 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับไทยในขณะนี้
credit : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20131026/538876/ประมูลข้าวตลาดเอเฟทกร่อย.html
บางคนในกระทู้นี้บอกว่า รัฐบาลเสียงข้างมาก - แล้วเสียงข้างมากทำอะไรไม่ผิดงั้นหรือ ทำงานไม่มีประสิทธิภาพไม่เป็นงั้นหรือ ? ... ไร้ตรรกะสิ้นดี