รักไม่ลง    วงค์ ตาวัน  ข่าวสดออนไลน์

เสียงต้านพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยจากฝ่ายเสื้อแดงนั้น ประเด็นสำคัญ
อยู่ที่เขาเกรงว่า 2 ผู้นำศอฉ.จะได้รับผลล้างผิด หลุดรอดจากคดีอาญาในข้อ
หา"ร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล" ไปจนถึงร่วมกันก่อให้
ผู้อื่นพยายามฆ่าคนตาย

อันเป็นคดีที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอได้ แจ้งเอาไว้กับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ

เป็นการตั้งข้อหา ภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งผลการไต่สวนชันสูตรศพ ผู้เสียชีวิต
ในเหตุการณ์ปี 2553

โดยมี 14 ศพแล้ว ที่ศาลชี้ว่าถูกกระสุนปืนจากฝ่ายเจ้าหน้าที่ภายใต้คำสั่งของศอฉ.

นี่เป็นประเด็นสำคัญที่คนเสื้อแดง โดยเฉพาะผู้ที่ สูญเสียญาติมิตรไปในเหตุการณ์
นั้น หวั่นเกรงจนไม่ยอมรับการปรับแก้พ.ร.บ.นิรโทษดังกล่าว

ขณะที่ประเด็นการต่อต้านของนายอภิสิทธิ์กับชาวประชาธิปัตย์นั้น เป้าหมายอยู่ที่
การล้างผิดให้ทักษิณ

เป็นคนละเรื่องเดียวกัน!

ดังนั้นโอกาสที่จะกลายเป็นแนวร่วมกัน กระทั่งจะมา จัดม็อบร่วมกันระหว่างเสื้อแดง
กับนายอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์นั้น

เป็นไปไม่ได้เลย

คนที่ออกข่าวทำนองนี้ หรือคาดคะเนเช่นนี้

ออกจะเพ้อฝันเกินไปหน่อย

สำคัญกว่านั้น ที่เสื้อแดงต่อต้านการนิรโทษไม่ยอมให้คลุมถึงผู้สั่งการในกรณี 99 ศพ
เพราะเป็นเหตุการณ์ ร้ายแรง ยากจะลืมเลือน มีคนตายไปร่วมร้อยและบาดเจ็บอีกกว่า
2 พัน

ไม่เท่านั้น คนเสื้อแดง คือผู้ที่อยู่ชุมนุมบน ท้องถนนราชดำเนิน แยกราชประสงค์ เห็น
ชัดเจนว่าใครที่ยิงใส่ผู้ชุมนุม!

คำกล่าวอ้างเรื่องชายชุดดำฆ่าผู้ชุมนุม มีผลให้ประชาชนบางส่วนที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
เท่านั้น อาจจะหลงเชื่อ

แต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เห็นชัดว่าสีไหนที่ยิง

ดังนั้นไม่ว่าเสื้อแดงจะไม่พอใจพรรคเพื่อไทยขนาดไหนก็ตาม ย่อมไม่มีทางที่จะไป
ร่วมมือกับนายอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์

แม้แต่คำกล่าวของแกนนำประชาธิปัตย์ที่พยายาม จะยุแหย่ว่า นี่คือการหลอก
ใช้เสื้อแดง

จะมีผลให้เสื้อแดงเห็นพ้องได้ด้วยหรือ

ในเมื่อที่ผ่านมา พ.ร.บ.นิรโทษฯฉบับวรชัย เหมะ ที่มีเนื้อหาช่วยประชาชนที่ร่วมชุมนุม
เร่งปล่อยคนเสื้อแดงที่อยู่ในคุกให้ออกมาโดยเร็วที่สุด

นายอภิสิทธิ์และประชาธิปัตย์ก็ค้านอย่าง เอาเป็นเอาตาย

แล้วจะให้รักกันได้อย่างไร!?

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1qVTBOek00TVE9PQ==§ionid=



คืนเงิน    บทบรรณาธิการ    ข่าวสดออนไลน์


ประเด็นสำคัญหนึ่งในการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่ฝ่าย ค้านเน้นนำเสนอ
นอกเหนือจากการล้างผิดก็คือเรื่อง "เงิน"

ภาพนำเสนอที่เร้าอารมณ์ผู้ฟังอย่างเป็นจริง เป็นจัง คือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
จะทวงคืนเงินของรัฐได้ราว 57,000 ล้านบาท อย่างรวดเร็วทันทีทันใด หากได้รับนิรโทษกรรม

ทั้งที่กระบวนการของร่างกฎหมายยังอยู่ในชั้นข้อเสนอของคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ส่วนนายกรัฐมนตรียืนยันว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่ร่างของรัฐบาล ทั้งยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน
และไม่เกี่ยวกับกฎหมายการเงิน

ดังนั้น ข้อโต้แย้งในประเด็นนี้นอกจากแตกต่างกันในมุมมองของกฎหมาย ยังเป็นที่เงื่อนไข
เวลาด้วย

ฝ่ายหนึ่งพยายามเสนอภาพที่มองไกลเลยเส้นชัย แต่อีกฝ่ายยังยืนอยู่ที่จุดสตาร์ต



การหยิบเรื่องเงินขึ้นมาเป็นประเด็นหลักในการโจมตีร่างกฎหมายฉบับนี้นั้น อาจเป็นจุดเด่นในการ
ระดมกลุ่มเพื่อต่อต้านพ.ต.ท. ทักษิณได้ดี

เหมือนกับช่วงที่เคยต่อต้านอดีตนายกฯคนนี้ก่อนเหตุรัฐประหาร

เพราะเงินที่ควรได้ตามกฎหมาย กับเงินที่ควรได้ตามความชอบธรรม เป็นคนละมุมมองกัน

แต่ความพยายามนำเรื่องที่ยังไม่มีความชัดเจนเพื่อสั่นคลอนเสถียรภาพทางการเมือง ไม่ได้ทำให้
สถานการณ์ปีพ.ศ. 2549 กับ 2556 เหมือนกันแต่อย่างใด

การโหมกระแสในจังหวะเวลาที่ไม่เหมาะสม จึงทำให้เสียงคัดค้านขาดน้ำหนัก

และดูหมกมุ่นอยู่กับการโค่นล้มขับไล่รัฐบาลเท่านั้น

แม้บรรยากาศการเมืองจากการเสนอร่างกฎหมายฉบับนี้จะปลุกกระแสความไม่พอใจในหลายกลุ่ม

แต่ข้อดีก็คือจุดสตาร์ตของกฎหมายไม่ได้ หลบอยู่ในมุมมืด หากแต่เปิดกว้างอยู่กลางแจ้งให้
ทุกคนร่วมถกเถียง

ในขณะที่พรรคเพื่อไทยอาจมีบทบาทมาก เป็นพิเศษในฐานะเป็นเสียงข้างมากในสภา ย่อมถูกจับ
ตาว่าจะฟังเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนและแปรเป็นประโยชน์ต่อการเมืองของประเทศอย่างไร

ในเมื่อได้รับความไว้วางใจจากประชาชนส่วนใหญ่เข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนฯ มากที่สุด

การตัดสินใจใดๆ จึงควรต้องให้เกียรติประชาชนมากที่สุด เพื่อพิสูจน์ว่าไม่ได้ทำเพื่อคนคนเดียว

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1qVTVNakV6TUE9PQ==§ionid=


จับทางเพื่อไทย กรณี"นิรโทษกรรม" จับกระแส"ต้าน"   วิเคราะห์    ข่าวสดออนไลน์

ผู้คนมักคิดและประเมินว่า นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ คิดเรื่องการแปรญัตติแก้ไขมาตรา 3 ในร่าง
พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับของ นายวรชัย เหมะ เพียงคนเดียว

เป็นเช่นนั้นจริงละหรือ

หากคิดเพียงคนเดียวเหตุใดจึงสามารถโน้มน้าวและจูงใจคณะกรรมาธิการกระทั่งมีจำนวนมากถึง
18 คนเห็นด้วย

กลายเป็นกรรมาธิการ "เสียงข้างมาก" ไปอย่างลอยลม

ขณะเดียวกัน ภายในกรรมาธิการเสียงข้างมากมิได้มีเพียง นายสามารถ แก้วมีชัย ประธาน และ
นายชวลิต วิชย สุทธิ์ เลขานุการ เท่านั้นที่เห็นด้วย

หากยังมี นายสุนัย จุลพงศธร หากยังมี นายสงวน พงษ์มณี

2 คนนี้ คนหนึ่งมีพื้นฐานทางการเมืองอยู่จังหวัดนคร สวรรค์ คนหนึ่งมีพื้นฐานทางการเมืองอยู่
จังหวัดลำพูน ทั้งยังเป็น "เสื้อแดง" ระดับเอ้คนหนึ่ง

"แดง" ตั้งแต่เด็กๆ "แดง" กระทั่งเป็น ส.ส.

พลันที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกมาแถลงแสดงความเห็นด้วยพร้อมกับเสนอบทสรุปอย่างชัด
ถ้อยชัดคำว่า

"เป็นการเซ็ตซีโร่ ตั้งต้นใหม่หมด"

หลายคนก็เริ่มมองเห็นภาพ เพราะว่าตำแหน่งของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คือ ประธานคณะ
กรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย

อย่าได้แปลกใจหากในการประชุม ส.ส.พรรคเพื่อไทยล่าสุดจะสัมผัสได้ถึงบทบาทเอาการเอางาน
ของ นาง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ในการขอความร่วมมือ ส.ส.ให้ช่วยกันโหวตลงมติตามที่กรรมาธิการ
แก้ไข เหตุผลสั้นๆ ว่า "เพราะว่าถ้าไม่ทำเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำตอนไหน" ต้องตีเหล็กขณะที่
กำลังร้อน

เริ่มมองเห็น "กระบวนการ" เริ่มมองเห็น "อะไร" มากยิ่งขึ้น

คําถามที่เสนอเข้ามาไม่ว่าจะจาก นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ไม่ว่าจะจาก นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ตรงกันอย่างมิได้นัดหมายอย่างหนึ่ง

นั่นก็คือ คนที่คัดค้านและต่อต้านยังเป็นกลุ่มเดิม

ไม่ ว่าจะเป็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับของนายวรชัย เหมะ พรรคประชาธิปัตย์ก็ค้านอยู่แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นร่างแก้ไขโดย นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ พรรคประชาธิปัตย์ก็ค้าน

ค้านตั้งแต่ "ปากซอย" ค้านจนทะลุ "ปลายซอย"

อย่างนี้เอง นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ จึงมีความเห็นว่า "ถ้าไม่ทำเวลานี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปทำตอนไหน"

เป็นอันว่า "ซ.ต.พ." อย่างที่ "ยูคลิด" ว่าไว้

ต้องยอมรับว่าระยะนี้ "ฝุ่น" กำลังฟุ้งทั้งจากพรรคประชาธิปัตย์และภายในพรรคเพื่อไทยเอง

แต่เชื่อว่าเวลาแต่ละวินาทีจะทำให้พรรคเพื่อไทยสามารถ "ประเมิน" ได้ว่าแนวต้านจะเกิดขึ้น
รุนแรงแข็งกร้าวมากน้อยเพียงใดและจะสามารถรับมือได้ หรือไม่

"จำนวน" จะถึง "แสน" ตามคาดหรือไม่

http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNNE1qVTVPVGt3TVE9PQ==§ionid=




เออ ...ว่าจะถามนะ  เพื่อไทยที่ไม่มีเสื้อแดง   กับเสื้อแดงที่ไม่มีเพื่อไทย
จะอยู่กันได้ไหม ?
เสื้อแดงบอก  อภิสิทธิ์  รักไม่ลง
หรือการเมืองไทย  จะไม่เหลือ พรรคใหญ่ 2 พรรค  
เพราะ จะกลายไปเป็นพรรคเล็ก  พรรคน้อย  แล้วมาเริ่มต้น  นับ หนี่ง   กันใหม่
ไม่ลองคิดถึงอนาคตแบบนี้กันบ้างหรือ ?