พระคึกฤทธิ์โง่จริงหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์!!!???

กระทู้สนทนา
(จดหมายส่งถึง พระอาจารย์ คึกฤทธิ์ โสตฺถิพโล วัดนาป่าพง  เพื่อปรับปรวาทะ ให้เกิดความเข้าใจ)
ณ สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง (ฉบับที่๒)
ผมพระรูปหนึ่ง ที่รักธรรมรักวินัยเหมือนกับท่านนั่นแหละ ฉบับก่อนท่านคงได้รับแล้วนะ ผมตั้งใจฟังซีดี ชุดพุทธวจนะ ธมฺมวินโย ของท่านจนจบนะ ขอโอกาสติงท่านเพิ่มเติมด้วย
เรื่อง พระวินัยถือเอาแต่พระบัญญัติ
ผมฟังท่านตีความพระวินัยหลายข้อ มีคำพูดหนึ่งที่ท่านพูดว่า สิกขาบทวิภังค์ ไม่ใช่พุทธวจนะ เจตนาของท่านตอนนี้ท่านพูด  เพื่อจะไม่ให้ความสำคัญ(คือไม่ให้ถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่พุทธวจนะ) แสดงว่าท่านต้องการจะตีความพระบัญญัติเอง ผมว่าท่านกำลังจะเลยเถิดไปอีกแล้ว ท่านไปเอามาจากไหน ท่านคิดเอาเองอีกแล้วใช่ไหม(ตามที่ท่านถนัด) พุทธวจนะของท่าน  จะต้องมีคำว่า     ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นำหน้าทุกครั้ง    อย่างนั้นหรือ                          ผมขอยกตัวอย่างให้ท่านคิดนะ เช่น  ปาราชิก ข้อที่ ๑ ภิกษุเสพเมถุนธรรม แม้ในดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ เมถุนธรรมในความเข้าใจของท่าน คืออะไร คือ อวัยวะเพศของผู้หญิง กับของสัตว์เดียรัจฉานตัวเมียเท่านั้นใช่มั๊ย ถ้าเสพทางทวารหนัก หรือทางปากของผู้ชายล่ะ เป็นปาราชิกไหม?? ท่านจะตีความอย่างไร?หรือข้ออวดอุตริมนุสสธรรม อันไม่มีจริง  อุตริมนุสสธรรม ของท่าน คืออะไร? เพราะท่านบอกไม่เอาวิภังค์ หรือบทภาชนีย์ อนาปัตติวาร เป็นต้น โดยท่านอ้างว่าเป็นคำของสาวกเพิ่มเติมเข้ามา ผมว่าการศึกษาพระธรรมวินัยของท่าน กำลังพลาดอย่างมหาศาล

เรื่อง ห้ามภัตแล้วฉันอีก
ท่านบอกว่าการลุกขึ้นจากที่ฉัน นั่นแหละ คือการห้ามด้วย ท่านเอามาจากไหน ท่านคิดเอาเองอีกแล้วใช่ไหม     มีพุทธพจน์รองรับไหม      ผมว่าท่านกล่าวตู่พุทธพจน์อย่างแน่นอน    พระรูปที่แย้งท่านว่า ผมไม่ได้ห้ามภัต                   ฉันสองมื้อได้ ท่านเข้าใจถูกแล้ว และรู้วินัยดีกว่าท่าน  ขณะเขียนนี้ ผมนั่งดูพระบัญญัติอยู่ การห้ามกับการลุก มันคนละเรื่อง ห้ามแล้วแต่ยังไม่ลุกก็มี  หรือลุกขึ้นแล้วแต่ไม่ได้ห้าม(ภัต)ก็มี ท่านอ่านพระบัญญัติยังงัย จึงไม่เข้าใจ ไปตีความว่า การลุกขึ้นนั่นแหละชื่อว่าห้ามด้วย หรือ กลัวจะไม่ตรงกับทิฏฐิของท่าน หรือ อยากให้พระทุกรูปฉันมื้อเดียว เรื่องในพระสูตรที่ท่านยกมาอ้างว่า การฉันมื้อเดียวก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่งนั้น มันคนละเรื่องกัน   ถ้าเป็นอย่างที่ท่านอ้างจริง  พระพุทธองค์จะบัญญัติธุดงค์ฉันมื้อเดียวอีกทำไม  ถ้าอย่างนั้นพระที่ฉันสองมื้อ  ก็ต้องเป็นอาบัติหมดสิ     ถ้าเป็นจริงอย่างที่ท่านอ้าง!!  ท่านรู้ไหมในพุทธพจน์   ที่ท่านยกมาอ้างหมายถึงอะไร   อรรถกถาท่านหมายถึง มื้อในกาล คือก่อนเที่ยง แม่จะฉันสัก๑๐ครั้งก่อนเที่ยง ก็ยังชื่อว่าฉันมื้อเดียวอยู่นั่นเอง     ซึ่งก็จะสอดคล้องกับพระบัญญัติ     ถ้าไม่ได้ห้ามภัตจะฉันกี่ครั้งก็ได้        ในก่อนเที่ยง                                                 (ถ้าสองมื้อจะหมายถึงมื้อในกาล(ก่อนเที่ยง) และมื้อในวิกาล(หลังเที่ยง)ด้วย  ไม่ใช่สองมื้อในความหมายของภาษาไทยอย่างที่ท่านเข้าใจ )
                  อีกอย่างหนึ่งท่านเคยอ่านเจอบ้างไหมว่า สมัยพุทธกาลเวลาพระท่านไปบิณฑบาต พอฉันเสร็จโยมจะเอาอาหารบรรจุลงในบาตรถวายท่านอีก  ถวายเพื่ออะไร เพื่อจะได้ฉันตอนเพลนั่นเอง(หมายถึงพระที่ไม่ได้ถือธุดงค์ หรือไม่ได้ห้ามภัต หรือถ้าห้ามภัตหากประสงค์จะฉันก็ให้ทำเป็นเดนก่อนจึงฉัน)         ผมอยากให้ท่านกลับไปอ่าน     พระบัญญัติใหม่ อ่านช้าๆ ดูแต่ละคำ อย่าใจร้อน  อย่าเข้าข้างตัวเอง   ผมกลัวว่าท่าน                   จะพลาด    ทำลายพระวินัยของพระพุทธเจ้า(ดูในภัททาลิสูตร หรือสูตรใกล้ๆกันนั่นแหละ    ในมัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสณก์ หรือสูตรพระอุทายีที่ท่านยกมาอ้างนั่นแหละ)
          แม้แต่เรื่อง รับประเคนแล้ว ห้ามโยมมาจับต้องอีก(ที่พระส่วนมากถือกันอยู่ทุกวันนี้)   และเรื่อง ทำน้ำปานะด้วยผลไม้ต้องกรองด้วยผ้าขาว ๗ ครั้ง ท่านก็โยนความผิดไปให้ อรรถกถา ว่าเป็นผู้บัญญัติขึ้นมา อยู่เล่มไหน หน้าไหนช่วยบอกหน่อย รู้ไม่จริงแล้วชอบพูด???  (ก็ท่านไม่เคยอ่านอรรถกถา   ทำไมรู้ล่ะว่าอรรถกถา บัญญัติขึ้น) ถ้าพวกท่านศึกษาพระวินัยจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา ตั้งแต่ต้น คงไม่ต้องไปเสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อรับประเคนใหม่ ตามที่ท่านยกตัวอย่างมาหรอก???? นี่แหละเขาเรียกว่าทำตามๆกันมาเหมือนเถรส่องบาตร!!!
ยังมีต่อ........
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่