ดีอาร์ไอตอบคำถาม ที่รัฐบาลรับไม่ได้ 4 ข้อ เหตุไฉนเจ๊งจำนำข้าวบาน เงินไม่ถึงมือชาวนา
>>>> เตือนข้าราชการเอียงข้าง ระวังติดคุกหัวโต <<<<
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอารืไอ) เผยแพร่บทความ
"การขาดทุนทางบัญชีจากการจำนำข้าว"
โดยระบุว่า หลังจากที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นำเสนอผลคำนวณการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว
ในงานสัมมนาเรื่องมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริตฯว่ารัฐบาลจะขาดทุนอย่างน้อยปีละ 2 แสนล้านบาท
รัฐมนตรีหลายท่านต่างออกมาปฏิเสธว่า โครงการรับจำนำไม่ได้ขาดทุนมากขนาดนั้น
รัฐมนตรีพาณิชย์ นายนิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ให้สัมภาษณ์ว่า
การขาดทุนแบบสมเหตุสมผลจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี
ส่วน
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์นายยรรยง พวงราชให้สัมภาษณ์ว่า
“ถ้าคิดอย่างโง่สุด ยอมขายราคาครึ่งเดียวของราคารับจำนำก็ยังขาดทุนไม่ถึง 2 แสนล้านบาท….
และที่ระบุว่ามีเงินรั่วไหล เงินถึงชาวนาเพียง 210,000 ล้านบาทนั้น
ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจ่ายโดยตรงเข้าบัญชีชาวนา”
ยิ่งกว่านั้น
รัฐมนตรีกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่า "การขาดทุน 4.25 แสนล้านนั้น
มองว่าเป็นการเข้าใจผิดของหม่อมอุ๋ย ยอมรับว่านักเศรษฐศาสตร์หลายท่านไม่ได้เรียนบัญชี
อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการขาดทุนทางบัญชีและการขาดทุนจริงของโครงการ
เมื่อนำข้อมูลออกมาเปิดเผย อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้”
บทความฉบับนี้ต้องการทำความกระจ่าง ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับ มูลค่าการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว และประโยชน์
"ส่วนเพิ่ม"
ที่ชาวนาได้รับจากการขายข้าวให้รัฐบาล
บทความจะตอบคำถาม 4 ข้อ
คำถามแรก คือ
ทำไมตัวเลขการขาดทุนของรัฐบาลจึงแตกต่างจากตัวเลขการขาดทุนของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
คำถามที่สอง คือ
วิธีการคำนวนการขาดทุนทางบัญชีของโครงการจำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวนอะไร
คำถามที่สาม
การขาดทุนจริงของโครงการจำนำข้าว “จะ” เป็นเท่าไหร่กันแน่
คำถามที่สี่ คือ
ชาวนาได้ประโยชน์ “เพิ่ม” จากการจำนำข้าวเท่าไรกันแน่
คำถามแรก
เรื่องมูลค่าการขาดทุนที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอนั้น ต่างเป็นตัวเลขผลขาดทุน”ทางบัญชี”ทั้งสิ้น
แต่สาเหตุที่ตัวเลขผลขาดทุนทางบัญชีของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกัน
เป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลตีมูลค่าของข้าวในสต๊อกด้วยต้นทุนข้าวที่ซื้อมา ในราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท
หรือคิดเป็นข้าวสารตันละ 24,000 บาท
ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว
ที่ใช้วิธีตีมูลค่าข้าวในสต๊อกด้วยราคาตลาด
คำถามที่สอง คือ
โครงการจำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวนวิธีใด
หากย้อนกลับไปดูตำราวิชาการบัญชีว่าด้วยการตีมูลค่าสินค้าคงคลัง (inventory valuation methods)
จะมีหลักการตีราคา 2 รูปแบบ คือ
(1) คำนวนด้วยต้นทุนของสินค้า หรือ
(2) คำนวนด้วยราคาตลาดในการจัดหาสินค้านั้นมาทดแทน
ทั้ง 2 วิธีต่างก็เป็นวิธีการที่ได้ยอมรับให้ใช้และมีสอนกันในวิชาการบัญชีทั่วไป
ฝั่งรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ เลือกที่จะใช้วิธีการแรกในการตีมูลค่าข้าวที่เหลืออยู่ในคลัง
ด้วยราคาต้นทุนที่ซื้อข้าวมา ผลการขาดทุนทางบัญชีจึงมีประมาณ 1 แสนล้านบาท
แต่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ และม.ร.ว.ปรีดิยาธรเลือกที่จะใช้วิธีการที่เรียกว่า LCM
หรือราคาตลาดเป็นตัวกำหนดมูลค่าของข้าวที่เหลืออยู่ในคลัง ผลขาดทุนจึงสูงกว่า
ประเด็นจึงมีอยู่ว่าในกรณีการจำนำข้าวรัฐบาลควรใช้วิธีทางบัญชีวิธีใดจึงจะเหมาะสม
ในวงการธุรกิจที่สินค้าคงคลังมีราคาเปลี่ยนแปลรวดเร็ว หลักวิชาการทางบัญชีที่นิยมใช้กันคือ
การตีราคาสินค้าคงคลังด้วยราคาตลาด เพราะว่าการตีราคาสินค้าคงคลังด้วยต้นทุนสินค้าที่ได้มา
จะไม่สามารถแสดงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้า
โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาตลาดของสินค้านั้นๆ ตกต่ำลงกว่าราคาต้นทุนที่ซื้อมาอย่างรวดเร็ว
การใช้ราคาต้นทุนจะก่อให้เกิดการบิดเบือนสถานะทางบัญชี ขัดกับวัตถุประสงค์ของวิชาบัญชี
ที่มุ่งเน้นให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรับทราบสภาพการดำเนินงานทางธุรกิจที่แท้จริง
เพื่อให้การตัดสินใจบริหารองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ในกรณีการจำนำข้าว รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บริหารของประเทศจำเป็นต้องรับทราบสถานการณ์รายได้-รายจ่าย
ที่เป็นจริงให้มากที่สุด หากตัวเลขระบุว่าจะมีโอกาสขาดทุนมาก รัฐบาลก็จะได้เตรียมรับมือ
กับความเสี่ยงทางการคลังไม่ใช่ปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน แล้วค่อยคิดซื้อประกันไฟที่หลัง
นี่คือเหตุผลที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวของกระทรวงการคลัง
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลฐานะการคลังของประเทศเลือกใช้วิธีการ LCM
ตีมูลค่าสต็อคข้าวด้วยราคาตลาดเพื่อสะท้อนฐานะที่แท้จริงของโครงการจำนำข้าว
แม้ในตอนต้นรัฐบาลจะไม่ยอมรับตัวเลขขาดทุนของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ
จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้วแต่ท้ายที่สุดก็ยอมรับว่าการจำนำข้าว2 ฤดูแรก
(นาปี2554/55 และนาปรัง 2555) ขาดทุนถึง 136,896ล้านบาท
มาวันนี้ราคาข้าวในตลาดลดลงไปมากจากวันที่ปิดบัญชี การขาดทุนก็ย่อมมากขึ้นเพราะรัฐบาลขายข้าวได้น้อยมาก
อนึ่งแม้แต่องค์การคลังสินค้าเองยังเลือกตีราคามูลค่าสต๊อคข้าวในโครงการจำนำข้าวด้วยราคาตลาด
แต่รัฐบาลกลับให้กระทรวงพาณิชย์(ที่เป็นผู้กำกับอคส.)ทำบัญชีอีกแบบหนึ่ง
การที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีตีมูลค่าข้าวด้วยต้นทุนการซื้อข้าว จึงเป็นการหลอกลวงตนเองและประชาชน
ว่าจะมีภาระทางการคลังในอนาคตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
คำถามที่สาม
การจำนำจะขาดทุนจริงเท่าไหร่ ณ วันนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน
เพราะรัฐบาลปิดบังข้อมูลการขายข้าวทั้งๆที่การปกปิดดังกล่าวผิดกฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการ
ที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลของทางราชการ (ยกเว้นข้อมูลบางประภท)
แม้รัฐบาลจะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินรายได้จากการขายข้าว แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าขายข้าวไปจำนวนเท่าไร
เพราะขืนเปิดเผย ประชาชนก็จะรู้ว่ารัฐบาลขายข้าวขาดทุนหนักกว่าที่รัฐบาลพูด
และอาจหนักกว่าที่นักวิชาการประมาณการไว้ เพราะรัฐบาลขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาดมาก
ทำให้เกิดปัญหาการเมืองตามมา
หลักฐานที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลจะขาดทุนหนักมากเพราะขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาด
มาจากรายงานการปิดบัญชีของกระทรวงพาณิชย์ที่รมว.วราเทพนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
ผู้เขียนพบว่าราคาข้าวที่ขายต่ำกว่าราคาตลาด คือราคาข้าวนาปี 2554/55 ที่ขายเฉลี่ย 14,435.71 บาทต่อตัน
ต่ำกว่าราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯในเวลาเดียวกันที่เฉลี่ย 19,635 บาทต่อตัน
เนื่องจากมีต้นทุนค่าซื้อข้าวและต้นทุนดำเนินการ 29,605.52 บาทต่อตันข้าวสาร
จึงขาดทุนจริงตันละ 15,169.31 บาท
และสำหรับ ข้าวนาปรังปี 2555 พาณิชย์ขายเฉลี่ยเพียง12,839.45 บาทต่อตัน
เทียบกับราคาตลาด17,266 บาทต่อตัน และขาดทุนตันละ 11,781.61 บาท
ถ้าคิดเฉพาะข้าวที่ขายไปจริงจำนวน 3.62 ล้านตันข้าวสารในสองฤดู
มูลค่าการขาดทุนจริงคือ 49,561.10 ล้านบาท (ณ 31มกราคม 2556)
ผู้เขียนประมาณการว่าเฉพาะการขายข้าวราคาต่ำให้พ่อค้าบางรายที่เป็นพรรคพวก
ทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก 30% ของภาระขาดทุนทั้งหมด...
นี่แหละคือเหตุผลแท้จริงที่รัฐบาลต้องปกปิดข้อมูลการข่ายข้าว ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อความจริงถูกเปิดเผยเมื่อไร
บรรดาข้าราชการที่มีส่วนในการขายข้าวและปกปิดข้อมูลเพื่อหวังลาภยศ มีหวังติดคุกกันหัวโต
คำถามข้อสุดท้าย คือ
การที่ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ปฏิเสธว่าไม่มีเงินรั่วไหล เพราะมีการโอนเงินโดยตรงให้ชาวนา
แท้จริงแล้วตัวเลขเงิน ที่ชาวนาได้รับจำนวน 2.1 แสนล้านบาทที่มรว.ปรีดิยาธรกล่าวถึงนั้น
หมายถึง
“ส่วนต่างของมูลค่าข้าวที่เกษตรกรได้รับจากการขายข้าวให้โครงการรับจำนำข้าว
เปรียบเทียบกับมูลค่าของข้าวที่ชาวนาจะขายได้ในกรณีที่ไม่มีโครงการ”
มิใช่เงินที่รัฐบาลจ่ายออกไป
ตัวเลขนี้สอดคล้องกับที่ผู้เขียนประมาณการและนำเสนอในการสัมมนามหากาพย์จำนำข้าว
คือ ในการจำนำ 4 ฤดู(สองปี) ชาวนาได้รายได้ส่วนเพิ่มทั้งสิ้น 2.33 แสนล้านบาท
ฉะนั้นเงินรั่วไหลของโครงการมาจากไหน เพราะรัฐบาลก็โอนเงินเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง
สิ่งที่ทำให้โครงการนี้มีเงินรั่วไหลจำนวนมากเกิดจากที่โรงสีบางแห่งกดราคาข้าว
โดยการคิดความชื้นที่สูงเกินจริงและหักสิ่งเจือปนในข้าวของชาวนามากกว่าปรกติ
ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนควรรับทราบ (แม้รัฐมนตรีบางท่านจะไม่ยอมเข้าใจก็ตาม)
บทความนี้ไม่ได้หวัง และ คิดว่าคงไม่มีความหวังที่จะให้นักการเมืองไทยเข้าใจและยึดหลักบัญชีที่ถูกต้อง
แต่หวังว่าประชาชนจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเลือกคนที่พูดความจริงมาบริหารประเทศ
---------------------------------------------
โดย : นิพนธ์ พัวพงศกร,กำพล ปั้นตะกั่ว
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20131021/537726/ทีดีอาร์ไอตอบคำถาม4ข้อ-รัฐเจ๊งจำนำข้าว.html
๐๐๐๐๐ ทีดีอาร์ไอตอบคำถาม4ข้อ รัฐเจ๊งจำนำข้าว ๐๐๐๐๐
>>>> เตือนข้าราชการเอียงข้าง ระวังติดคุกหัวโต <<<<
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (ทีดีอารืไอ) เผยแพร่บทความ "การขาดทุนทางบัญชีจากการจำนำข้าว"
โดยระบุว่า หลังจากที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นำเสนอผลคำนวณการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว
ในงานสัมมนาเรื่องมหากาพย์จำนำข้าว สู่มหกรรมกอบกู้สุจริตฯว่ารัฐบาลจะขาดทุนอย่างน้อยปีละ 2 แสนล้านบาท
รัฐมนตรีหลายท่านต่างออกมาปฏิเสธว่า โครงการรับจำนำไม่ได้ขาดทุนมากขนาดนั้น
รัฐมนตรีพาณิชย์ นายนิวัติธำรง บุญทรงไพศาล ให้สัมภาษณ์ว่า
การขาดทุนแบบสมเหตุสมผลจะอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาทต่อปี
ส่วนรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์นายยรรยง พวงราชให้สัมภาษณ์ว่า
“ถ้าคิดอย่างโง่สุด ยอมขายราคาครึ่งเดียวของราคารับจำนำก็ยังขาดทุนไม่ถึง 2 แสนล้านบาท….
และที่ระบุว่ามีเงินรั่วไหล เงินถึงชาวนาเพียง 210,000 ล้านบาทนั้น
ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจ่ายโดยตรงเข้าบัญชีชาวนา”
ยิ่งกว่านั้นรัฐมนตรีกระทรวงการคลังให้สัมภาษณ์ว่า "การขาดทุน 4.25 แสนล้านนั้น
มองว่าเป็นการเข้าใจผิดของหม่อมอุ๋ย ยอมรับว่านักเศรษฐศาสตร์หลายท่านไม่ได้เรียนบัญชี
อาจเข้าใจคลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการขาดทุนทางบัญชีและการขาดทุนจริงของโครงการ
เมื่อนำข้อมูลออกมาเปิดเผย อาจทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้”
บทความฉบับนี้ต้องการทำความกระจ่าง ให้ประชาชนมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
เกี่ยวกับ มูลค่าการขาดทุนของโครงการรับจำนำข้าว และประโยชน์ "ส่วนเพิ่ม"
ที่ชาวนาได้รับจากการขายข้าวให้รัฐบาล
บทความจะตอบคำถาม 4 ข้อ
คำถามแรก คือ
ทำไมตัวเลขการขาดทุนของรัฐบาลจึงแตกต่างจากตัวเลขการขาดทุนของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
คำถามที่สอง คือ
วิธีการคำนวนการขาดทุนทางบัญชีของโครงการจำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวนอะไร
คำถามที่สาม
การขาดทุนจริงของโครงการจำนำข้าว “จะ” เป็นเท่าไหร่กันแน่
คำถามที่สี่ คือ
ชาวนาได้ประโยชน์ “เพิ่ม” จากการจำนำข้าวเท่าไรกันแน่
คำถามแรก
เรื่องมูลค่าการขาดทุนที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอนั้น ต่างเป็นตัวเลขผลขาดทุน”ทางบัญชี”ทั้งสิ้น
แต่สาเหตุที่ตัวเลขผลขาดทุนทางบัญชีของทั้ง 2 ฝ่ายแตกต่างกัน
เป็นเพราะฝ่ายรัฐบาลตีมูลค่าของข้าวในสต๊อกด้วยต้นทุนข้าวที่ซื้อมา ในราคาข้าวเปลือกตันละ 15,000 บาท
หรือคิดเป็นข้าวสารตันละ 24,000 บาท
ส่วน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ซึ่งอ้างอิงข้อมูลของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าว
ที่ใช้วิธีตีมูลค่าข้าวในสต๊อกด้วยราคาตลาด
คำถามที่สอง คือ
โครงการจำนำข้าวควรยึดหลักการคำนวนวิธีใด
หากย้อนกลับไปดูตำราวิชาการบัญชีว่าด้วยการตีมูลค่าสินค้าคงคลัง (inventory valuation methods)
จะมีหลักการตีราคา 2 รูปแบบ คือ
(1) คำนวนด้วยต้นทุนของสินค้า หรือ
(2) คำนวนด้วยราคาตลาดในการจัดหาสินค้านั้นมาทดแทน
ทั้ง 2 วิธีต่างก็เป็นวิธีการที่ได้ยอมรับให้ใช้และมีสอนกันในวิชาการบัญชีทั่วไป
ฝั่งรัฐบาลโดยกระทรวงพาณิชย์ เลือกที่จะใช้วิธีการแรกในการตีมูลค่าข้าวที่เหลืออยู่ในคลัง
ด้วยราคาต้นทุนที่ซื้อข้าวมา ผลการขาดทุนทางบัญชีจึงมีประมาณ 1 แสนล้านบาท
แต่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ และม.ร.ว.ปรีดิยาธรเลือกที่จะใช้วิธีการที่เรียกว่า LCM
หรือราคาตลาดเป็นตัวกำหนดมูลค่าของข้าวที่เหลืออยู่ในคลัง ผลขาดทุนจึงสูงกว่า
ประเด็นจึงมีอยู่ว่าในกรณีการจำนำข้าวรัฐบาลควรใช้วิธีทางบัญชีวิธีใดจึงจะเหมาะสม
ในวงการธุรกิจที่สินค้าคงคลังมีราคาเปลี่ยนแปลรวดเร็ว หลักวิชาการทางบัญชีที่นิยมใช้กันคือ
การตีราคาสินค้าคงคลังด้วยราคาตลาด เพราะว่าการตีราคาสินค้าคงคลังด้วยต้นทุนสินค้าที่ได้มา
จะไม่สามารถแสดงมูลค่าที่แท้จริงของสินค้า
โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาตลาดของสินค้านั้นๆ ตกต่ำลงกว่าราคาต้นทุนที่ซื้อมาอย่างรวดเร็ว
การใช้ราคาต้นทุนจะก่อให้เกิดการบิดเบือนสถานะทางบัญชี ขัดกับวัตถุประสงค์ของวิชาบัญชี
ที่มุ่งเน้นให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรับทราบสภาพการดำเนินงานทางธุรกิจที่แท้จริง
เพื่อให้การตัดสินใจบริหารองค์กรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ในกรณีการจำนำข้าว รัฐบาลซึ่งเป็นผู้บริหารของประเทศจำเป็นต้องรับทราบสถานการณ์รายได้-รายจ่าย
ที่เป็นจริงให้มากที่สุด หากตัวเลขระบุว่าจะมีโอกาสขาดทุนมาก รัฐบาลก็จะได้เตรียมรับมือ
กับความเสี่ยงทางการคลังไม่ใช่ปล่อยให้ไฟไหม้บ้าน แล้วค่อยคิดซื้อประกันไฟที่หลัง
นี่คือเหตุผลที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำข้าวของกระทรวงการคลัง
ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลฐานะการคลังของประเทศเลือกใช้วิธีการ LCM
ตีมูลค่าสต็อคข้าวด้วยราคาตลาดเพื่อสะท้อนฐานะที่แท้จริงของโครงการจำนำข้าว
แม้ในตอนต้นรัฐบาลจะไม่ยอมรับตัวเลขขาดทุนของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ
จนกลายเป็นข่าวใหญ่โตมาแล้วแต่ท้ายที่สุดก็ยอมรับว่าการจำนำข้าว2 ฤดูแรก
(นาปี2554/55 และนาปรัง 2555) ขาดทุนถึง 136,896ล้านบาท
มาวันนี้ราคาข้าวในตลาดลดลงไปมากจากวันที่ปิดบัญชี การขาดทุนก็ย่อมมากขึ้นเพราะรัฐบาลขายข้าวได้น้อยมาก
อนึ่งแม้แต่องค์การคลังสินค้าเองยังเลือกตีราคามูลค่าสต๊อคข้าวในโครงการจำนำข้าวด้วยราคาตลาด
แต่รัฐบาลกลับให้กระทรวงพาณิชย์(ที่เป็นผู้กำกับอคส.)ทำบัญชีอีกแบบหนึ่ง
การที่รัฐบาลเลือกใช้วิธีตีมูลค่าข้าวด้วยต้นทุนการซื้อข้าว จึงเป็นการหลอกลวงตนเองและประชาชน
ว่าจะมีภาระทางการคลังในอนาคตน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
คำถามที่สาม
การจำนำจะขาดทุนจริงเท่าไหร่ ณ วันนี้ ยังไม่มีใครให้คำตอบได้ชัดเจน
เพราะรัฐบาลปิดบังข้อมูลการขายข้าวทั้งๆที่การปกปิดดังกล่าวผิดกฎหมายข้อมูลข่าวสารทางราชการ
ที่กำหนดให้หน่วยงานรัฐต้องเปิดเผยข้อมูลของทางราชการ (ยกเว้นข้อมูลบางประภท)
แม้รัฐบาลจะมีการเปิดเผยตัวเลขเงินรายได้จากการขายข้าว แต่ก็ไม่ยอมบอกว่าขายข้าวไปจำนวนเท่าไร
เพราะขืนเปิดเผย ประชาชนก็จะรู้ว่ารัฐบาลขายข้าวขาดทุนหนักกว่าที่รัฐบาลพูด
และอาจหนักกว่าที่นักวิชาการประมาณการไว้ เพราะรัฐบาลขายข้าวต่ำกว่าราคาตลาดมาก
ทำให้เกิดปัญหาการเมืองตามมา
หลักฐานที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลจะขาดทุนหนักมากเพราะขายข้าวในราคาต่ำกว่าราคาตลาด
มาจากรายงานการปิดบัญชีของกระทรวงพาณิชย์ที่รมว.วราเทพนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ
ผู้เขียนพบว่าราคาข้าวที่ขายต่ำกว่าราคาตลาด คือราคาข้าวนาปี 2554/55 ที่ขายเฉลี่ย 14,435.71 บาทต่อตัน
ต่ำกว่าราคาขายส่งข้าวสารในตลาดกรุงเทพฯในเวลาเดียวกันที่เฉลี่ย 19,635 บาทต่อตัน
เนื่องจากมีต้นทุนค่าซื้อข้าวและต้นทุนดำเนินการ 29,605.52 บาทต่อตันข้าวสาร
จึงขาดทุนจริงตันละ 15,169.31 บาท
และสำหรับ ข้าวนาปรังปี 2555 พาณิชย์ขายเฉลี่ยเพียง12,839.45 บาทต่อตัน
เทียบกับราคาตลาด17,266 บาทต่อตัน และขาดทุนตันละ 11,781.61 บาท
ถ้าคิดเฉพาะข้าวที่ขายไปจริงจำนวน 3.62 ล้านตันข้าวสารในสองฤดู
มูลค่าการขาดทุนจริงคือ 49,561.10 ล้านบาท (ณ 31มกราคม 2556)
ผู้เขียนประมาณการว่าเฉพาะการขายข้าวราคาต่ำให้พ่อค้าบางรายที่เป็นพรรคพวก
ทำให้โครงการรับจำนำข้าวขาดทุนเพิ่มขึ้นอีก 30% ของภาระขาดทุนทั้งหมด...
นี่แหละคือเหตุผลแท้จริงที่รัฐบาลต้องปกปิดข้อมูลการข่ายข้าว ผู้เขียนเชื่อว่าเมื่อความจริงถูกเปิดเผยเมื่อไร
บรรดาข้าราชการที่มีส่วนในการขายข้าวและปกปิดข้อมูลเพื่อหวังลาภยศ มีหวังติดคุกกันหัวโต
คำถามข้อสุดท้าย คือ
การที่ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ปฏิเสธว่าไม่มีเงินรั่วไหล เพราะมีการโอนเงินโดยตรงให้ชาวนา
แท้จริงแล้วตัวเลขเงิน ที่ชาวนาได้รับจำนวน 2.1 แสนล้านบาทที่มรว.ปรีดิยาธรกล่าวถึงนั้น
หมายถึง “ส่วนต่างของมูลค่าข้าวที่เกษตรกรได้รับจากการขายข้าวให้โครงการรับจำนำข้าว
เปรียบเทียบกับมูลค่าของข้าวที่ชาวนาจะขายได้ในกรณีที่ไม่มีโครงการ”
มิใช่เงินที่รัฐบาลจ่ายออกไป
ตัวเลขนี้สอดคล้องกับที่ผู้เขียนประมาณการและนำเสนอในการสัมมนามหากาพย์จำนำข้าว
คือ ในการจำนำ 4 ฤดู(สองปี) ชาวนาได้รายได้ส่วนเพิ่มทั้งสิ้น 2.33 แสนล้านบาท
ฉะนั้นเงินรั่วไหลของโครงการมาจากไหน เพราะรัฐบาลก็โอนเงินเข้าบัญชีชาวนาโดยตรง
สิ่งที่ทำให้โครงการนี้มีเงินรั่วไหลจำนวนมากเกิดจากที่โรงสีบางแห่งกดราคาข้าว
โดยการคิดความชื้นที่สูงเกินจริงและหักสิ่งเจือปนในข้าวของชาวนามากกว่าปรกติ
ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ประชาชนควรรับทราบ (แม้รัฐมนตรีบางท่านจะไม่ยอมเข้าใจก็ตาม)
บทความนี้ไม่ได้หวัง และ คิดว่าคงไม่มีความหวังที่จะให้นักการเมืองไทยเข้าใจและยึดหลักบัญชีที่ถูกต้อง
แต่หวังว่าประชาชนจะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และเลือกคนที่พูดความจริงมาบริหารประเทศ
---------------------------------------------
โดย : นิพนธ์ พัวพงศกร,กำพล ปั้นตะกั่ว
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20131021/537726/ทีดีอาร์ไอตอบคำถาม4ข้อ-รัฐเจ๊งจำนำข้าว.html