เรื่องสั้นแนวสยองขวัญ "เรื่อง หมอลำขอข้าว"

กระทู้สนทนา
หมอลำขอข้าว
โดย ปลายปากกา

    เสียงแคนบรรเลงเพลงลายแมงภู่ตอมดอกล่องมาตามลม ขณะที่ริมฝีปากของคนเป่าจรดอยู่กับเต้าแคน สองมือเคลื่อนขยับไปตามรูนับ เหนือลิ้นแคน บางครั้งก็เชื่องช้า บางครั้งก็ระรัวเร็วไปตามลายเพลง สายตาฝ้าฟางของชายชราวัยเจ็ดสิบ ทอดมองออกไปยังผืนนาร้อนแล้ง คันนาที่เคยมีหญ้าและผักกะแยงขึ้นเขียวสด บัดนี้เต็มไปด้วยหญ้าแห้งสีน้ำตาลไหม้ ผืนนากว้างไกลที่ชายชราเคยจับคันไถตามควายบักตู้ และถูกแทนที่ด้วยควายเหล็ก เคยหอบกล้าปักดำจนผืนนาเต็มไปด้วยต้นข้าวเขียวงาม เรียงเป็นระเบียบ บัดนี้มีเพียงพื้นดินแตกระแหง ไม่มีแม้กระทั่งปลาหมอ ปลาช่อนดิ้นกระแด่วๆ เพราะความร้อนแล้งได้คร่าชีวิตของพวกมันให้ตายลงไปนานแล้ว ดูเอาเถอะ นี่ก็เดือนแปด เลยวันเข้าพรรษามาสิบวันแล้ว เม็ดฝนสักหยดก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะโปรยลงมาสู่ผืนดินใต้ฟ้าบ้านนาจอกเลยแม้แต่หยดเดียว แม้ชาวบ้านจะจุดบั้งไฟขึ้นไปวิงวอนพญาแถนตั้งแต่เดือนห้า ไหว้ผีปู่ตาตั้งแต่เดือนหก ตามด้วยการไหว้ผีตาแฮกเฝ้าไร่นาครบครันแล้ว แต่ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย และตอนนี้ชาวบ้านนาจอกรุ่นหนุ่มสาวก็ลงไปทำงานโรงงานในกรุงเทพฯกันหมดแล้ว และมันชวนให้เขานึกถึงความทรงจำครั้งเก่า เมื่อครั้งที่ชายชรายังเป็นเพียงหนุ่มน้อยวัยไม่ถึงยี่สิบ และเนื่องจากในครั้งนั้นการเดินทางยังไม่สะดวกสบาย การเอาตัวรอดในปีนาแล้งเช่นนี้จึงแตกต่างจากปัจจุบันนี้อย่างสิ้นเชิง โดยหนุ่มฉกรรจ์แข็งแรง รูปร่างสูงใหญ่ก็จะตามนายฮ้อยเอาควายไปค้าที่เมืองล่าง แต่สำหรับทายาทหมอลำอย่างเขาก็มีทางเอาตัวรอดในอีกรูปแบบหนึ่ง นั่นคือ การรวบรวมสมัครพรรคพวกหมอลำ ไปแสดงหมอลำขอข้าวเปลือก ข้าวสาร อาหารแห้ง เรี่ยรายเงินบริจาค จากหมู่บ้านอื่นทั้งใกล้และไกล และสิ่งที่มักจะมาคู่กับการเดินทางไปยังต่างหมู่บ้านอันแปลกที่แปลกถิ่นก็คือ การพบเจอการต้อนรับจากหนุ่มเจ้าถิ่น ซึ่งจะมาเกี้ยวสาวหมอลำ โดยเฉพาะนางเอกหมอลำเสมอ จนบางครั้งบางทีก็มีปัญหาว่า นางเอกหมอลำสาวเกิดถูกตาต้องใจหนุ่มเจ้าถิ่นและหนีตามหนุ่มเจ้าถิ่นไปเสียอย่างนั้น ร้อนถึงหัวหน้าคณะหมอลำต้องรีบหานางเอกหน้าใหม่มาแสดงแทน และกว่าสี่สิบปีของการตระเวนไปแสดงหมอลำขอข้าว และคงไม่มีประสบการณ์ครั้งใดเป็นเรื่องราวประหลาดที่ไม่อาจหาเหตุผลใดๆ มาอธิบายได้ ดังเช่นเหตุการณ์ในครั้งนั้น…ที่เขาไม่มีวันลืมเลือน
    เมื่อสักยี่สิบปีที่แล้ว ชายชราซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงชายสูงวัย ซึ่งใครๆ ต่างเรียกเขาว่า “ลุงเซียงมา” ได้ไปเป็นหมอแคนประจำคณะหมอลำ “เสียงสวรรค์บันเทิงศิลป์” หนึ่งในคณะหมอลำชื่อเสียงลือเลื่องในแดนอีสานเหนือ ตระเวน “ลำขอข้าว” ในหมู่บ้านแถบเมืองพยัคฆ์เก่า หรือปัจจุบันก็คือ บริเวณหมู่บ้านซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอพยัคภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม...
    รถสองแถวสีแดงดูเก่าโกโรโกโส ผ่านแดด ลม ฝน มาหลายแรมปีเคลื่อนปุเลงไปตามถนนหนทางอย่างเอื่อยอาด ตัวรถถลอกปอกเปิกด้วยรอยขีดข่วนของกิ่งไม้จนเจ้าของรถอ่อนใจ เมื่อนึกถึงการไปเคาะสีในอู่ซ่อมรถ หลังคารถเขลอะด้วยสนิมซึ่งเป็นที่นั่งประจำสำหรับผู้โดยสารหนุ่มวัยอ่อนกว่าเขานั่งอยู่เต็มโดยไม่กลัวตกกันหน้าสลอนบ้างก็ยืนห้อยโหนอยู่ตรงท้ายรถดูน่าหวาดเสียว ด้านล่างทั้งเบาะที่นั่งด้านซ้ายและขวา เบียดเสียดด้วยกลุ่มหมอลำฝ่ายหญิงซึ่งมีทั้งผู้ใหญ่และวัยสาวนุ่งเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีเข้มกับผ้าซิ่นไหมทอมือลายขิตตามประสาเกษตรกรผู้ปักดำทำนาเป็นวิสัย ตรงกลางจัดวางเครื่องไฟ เครื่องดนตรี ทั้งกลอง พิณ แคน  และถุงผ้าฝ้ายทอมือบรรจุเครื่องแต่งกายของหมอลำจำพวก เสื้อเข้มขาบ เยียรบับ ตัดเย็บด้วยผ้ายกทอง เสื้อแขนยาว ผ้านุ่งจีบยกทอง สไบปักแพรวพราว และเครื่องประดับ ทั้งเครื่องสวมศีรษะ ตุ้มหู สร้อยคอ เครื่องประดับหน้าอก แหวน กำไลข้อมือ เครื่องประดับไหล่ สายสะพาย มงกุฎ จนตอนหลังของรถแออัดราวกับปลากระป๋อง ยิ่งเมื่อรถแล่นไปตามถนนลูกรังขรุขระโคลงไปเคลงมา ชาวคณะหมอลำก็โอนไปเอนมา บ้างก็หน้าคะมำตามด้วยเสียงวี้ดว้าย สบถเป็นระยะๆ น่าเวียนหัว
ฝุ่นสีแดงส้มตลบคลุ้งไล่หลังรถสองแถวมาติดๆ ย้อมรถทั้งคัน สีผม หน้าตา เสื้อผ้าของชาวคณะให้กลายเป็นสี เดียวกับมัน พาเอาผู้โดยสารทั้งหลายต้องคอยปัดผมเผ้า ยกมือครอบปากปิดจมูกเป็นการใหญ่ สองข้างถนนลูกรังทางตรงสลับกับทางโค้งคดเคี้ยวเป็นนาข้าวเขียวชอุ่ม ช่างแตกต่างจากผืนนาบ้านนาจอกราวไม่ได้อยู่ใต้ฟ้าผืนเดียวกัน ยิ่งเวลาผ่านไปผืนนาก็ยิ่งรกเรื้อด้วยป่าเบญจพรรณแซมสลับกับไร่นา หากทว่าไร่นานั้นมีพื้นที่น้อยกว่าป่าเบญจพรรณโดยรอบเสียอีก เหนือยอดไม้เต็ง รัง ต้นใหญ่นั้น ดวงตะวันยังคงแผดจ้า และไม่มีทีท่าว่าจะมีเมฆก้อนใหญ่น้อยก้อนใด หาญกล้ามาบดบังรัศมีร้อนแรงของเจ้าแห่งระบบสุริยะจักรวาลเลยแม้แต่น้อย พลอยให้ชาวคณะทุกคนบนรถยกแขนขึ้นปาดเหงื่อไปตามๆ กัน
    “แม่หนิ คือฮ่อนแท้ล่ะ” บักคง” มือพิณประจำคณะบ่นเป็นภาษาอีสานเนิบช้าอย่างสำเนียงลาวอุบล
    “แม่นแล้ว ปานได๋สิฮอดกะบ่ฮู้” “บักกะปอด” มือกลองประจำคณะสำทับอีกแรง แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่กับเพื่อนร่วมคณะบนหลังคารถคันเดียวกัน หากแสงแดดแผดจ้าลงมาสัมผัสผิวกายก็ทำให้เขารู้สึกว่าหลังของเขากำลังจะไหม้ หากความโชคร้ายก็ดูจะมาซ้ำเติมชาวคณะเสียงสวรรค์บันเทิงศิลป์ได้ควรแก่เวลาเสียจริงๆ เพราะแทนที่รถสองแถวจะแล่นต่อไปและจอดสนิทเมื่อถึงจุดหมาย มันกลับชักกระตุกดังครึกครึกราวกับคนลมบ้าหมูกำเริบ แล้วแน่นิ่งไปเฉยๆ “ลุงยูร” คนขับรถหัวล้าน คิ้วบาง ดวงตาเล็กหยี ร่างอ้วน พุงพลุ้ยจึงต้องก้าวลงมายืนเท้าสะเอวอยู่ข้างรถครู่หนึ่ง แกทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคออย่างไม่พอใจ แล้วเดินไปเปิดฝากระโปรงรถ ก่อนควันสีขาวจะพวยพุ่งออกมาจากส่วนที่เป็นหม้อน้ำ ส่งกลิ่นเหม็นไหม้คลุ้งไปทั่ว
    “เอ้า! เป็นอีหยังล่ะบาดหนิ” เขาบ่นกระปอดกระแปด สมองมืดแปดด้านเมื่อคิดไปว่า คงยากที่ใครสักคนจะออกไปตามหาช่างซ่อมรถจากหมู่บ้านข้างนอก จะช่วยกันเข็นรถทั้งคันไปเรื่อยๆ ก็ไม่รู้ว่าใกล้กับจุดที่รถเสียอยู่นี่จะมีหมู่บ้านอยู่หรือไม่
    “เฮาสิเฮ็ดจังได๋กันดีฮึ ลุงเซียง” “เด่นดวง เสียงสวรรค์” พระเอกหมอลำหนุ่ม คิ้วเข้ม ตาคม ริมฝีปากได้รูป จมูกไร้ดั้งอย่างลูกอีสานขนานแท้ ร่างสูงโปร่งสมชายชาตรีถามขึ้น
    “ลุงว่าเฮาไปพักเหนื่อยในฮ่มกันก่อนดีกว่า รอให้คนผ่านมาแล้วค่อยถามทางเขาว่าสิไปหาช่างได้จังได๋” ลุงเซียงมาพยักเพยิดไปทางต้นก้ามปูต้นใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาดูคล้ายร่มชอุ่มเขียว ชาวคณะมองหน้ากันอยู่ครู่ก็พยักหน้าเห็นตามที่ลุงเซียงมาว่า ต่างสละรถ เอาเสื่อกกไปปูนั่งอยู่ใต้ต้นก้ามปูนั่นเอง รออยู่พักใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีชาวบ้านสักคน หรือรถสักคันผ่านมาเลย มือพิณ หมอแคนก็ชวนกันบรรเลงเพลงลายเต้ยโขง หวังเรียกให้ชาวบ้านแถบนี้ได้ยินและตามเสียงพิณ เสียงแคนมาช่วยเหลือชาวคณะ โดยไม่มีใครทันได้สังเกตสิ่งรอบตัวเลยว่า ต้นไม้ใบหญ้ากำลังไหวพะเยิบพะยาบรุนแรงตามจังหวะเพลง ทั้งที่ไม่มีสายลมพัดมาเลยแม้เพียงแผ่วพลิ้ว ราวกับยินดีกับการบรรเลงเพลงพิณ ลายแคน และหากจะมีใครสักคนเงี่ยหูฟังรอบกายสักนิด ก็จะได้ยินเสียงกระซิบกระซาบของผู้คนมากมายดังมาจากรอบทิศทาง และหากจะมีใครสักคนมีตาทิพย์ สามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับที่อยู่อีกภพภูมิหนึ่งได้ละก็ คงจะเห็นว่าผืนดินโดยรอบ หรือแม้แต่ผืนดินที่ชาวคณะเหยียบย่างอยู่กำลังค่อยๆ แยกออกจนแลเห็นหลุมขนาดกว้างเท่าสระน้ำขนาดเล็ก ลึกประมาณ 10 เมตร ก่อนเงาร่างดำทะมึนจะค่อยๆ ลุกขึ้นมาทีละตนๆ แล้วเข้ามารุมล้อมชาวคณะหมอลำเอาไว้ พร้อมกับเสียงกระซิบกระซาบเปลี่ยนเป็นเสียงพูดคุยดังอื้ออึงฟังไม่ได้ศัพท์ เมื่อไม่มีทีท่าว่าจะมีใครผ่านมาจริงๆ ชาวคณะทุกคนก็ทยอยกันขนข้าวของขึ้นรถสองแถว จากนั้นก็มายืนออกันอยู่หลังรถ หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่ครู่ใหญ่ ชาวคณะก็ลงความเห็นกันว่า จะทิ้งรถสองแถวไว้ที่นี่ก่อน แล้วขนของพวกเครื่องดนตรี เครื่องแต่งตัวไปตายเอาดาบหน้า ด้วยความหวังว่าจะพบหมู่บ้าน หรือที่ที่เหมาะสำหรับการพักค้างแรม
ดวงตะวันลอยต่ำลงจนเลยยอดหญ้าไปแล้ว ท้องฟ้าสีครามเมื่อกลางวันค่อยๆ แรระบายด้วยสีเหลือง ส้ม ส้มแก่ และสีน้ำเงิน หมู่ดาวเริ่มเปล่งแสงแข่งรัศมีกระพริบพราวอยู่บนผืนฟ้า แม้ว่าทิวทัศน์รอบกายจะค่อยๆ สลัวรางลงทุกที หากสองเท้าของทุกคนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพัก ต่างยังคงตั้งหน้าตั้งตาเดินต่อไปเบื้องหน้า จนในที่สุดความหวังของชาวคณะทุกคนก็กลายเป็นจริงขึ้นมาได้ เมื่อต่างมองเห็นแสงไฟวับแวมมาจากทางทิศตะวันตกลอดทิวไม้มา
    “นั่นมันหมู่บ้านแม่นบ่” ลุงเซียงมาผู้หูตาฝ้าฟางกว่าใครเอ่ยถามชาวคณะรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง
    “แม่นแล้วล่ะ หมู่เฮาคงสิหาซ่างไปซ่อมรถได้แล้ว แถมยังมีหม่องลำขอข้าวนำ” บักคงมือพิณเอ่ย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยประกายแห่งความหวังว่าการแสดงในคำคืนนี้จะช่วยต่อชีวิตให้กับเขาและชาวคณะไปจนถึงพรุ่งนี้และอาทิตย์ต่อๆ ไปให้มีข้าวกินตลอดทั้งปี มีพริกแห้ง หอมแดง กระเทียม ไว้ “ตำแจ่ว” และหากโชคดีได้ปลาร้า ปลาย่างจากชาวบ้าน ชาวคณะก็จะซื้อข่า ตะไคร้ ใบมะกรูดมาไว้ทำแจ่วบองไว้กินนานๆ
    แล้วชาวคณะเสียงสวรรค์ บันเทิงศิลป์ ก็แทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะหลังจากเดินเลาะเลียบริมถนนลูกรังมาไม่ไกลนัก ทุกคนก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง บ้านแต่ละหลังสลัวรางในความมืด มีเพียงแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุลอดมาจากภายในบ้าน เผยให้เห็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงหลังกะทัดรัด หลังคาทรงจั่วมุงจากหรือหญ้าแฝก ผนังสานขัดแตะปูด้วยใบตองกุง หรือ ใบพลวง ใต้ถุนบ้านทำเป็นคอกเลี้ยงวัวควาย ประมาณด้วยสายตาแล้วไม่น่าจะเกินยี่สิบหลังคาเรือน บันไดบ้านแต่ละหลังสามารถยกขึ้นไปไว้บนบ้านได้ และแม้ว่าตะวันจะลับขอบฟ้ามานานเกือบชั่วโมงแล้ว หากชาวบ้านก็ยังคงลงจากเรือน พร้อมกับสนทนากันด้วยภาษาถิ่นอีสานฟังดูอ่อนหวาน ไพเราะราวกับฟังเสียงหมอลำเต้ยจังหวะเนิบช้า แต่ละคนต่างหาบคอนกระบุง ตะกร้า ใส่อะไรบางอย่างไว้บนบ่า ก้าวเดินไปตามถนนแคบๆ มุ่งหน้าสู่สถานที่แห่งหนึ่ง พลอยให้ชาวคณะเสียงสวรรค์บันเทิงศิลป์ต่างยืนจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยประกายตาสงสัยใคร่รู้ไม่ต่างกัน
    “ตามซุมนั่นไป” ลุงเซียงมาหันมาเอ่ยกับทุกคนเสียงดังฟังชัด ก่อนสองขาของทุกคนจะค่อยๆ ก้าวเดินตามชาวบ้านกลุ่มนั้นไป พร้อมกับหาบคอนข้าวของที่ขนลงมาจากรถสองแถวมาด้วย หนทางเบื้องหน้าแคบพอรถคันเดียวแล่นสวนกันได้นั้นตัดผ่านหมู่บ้าน ผ่านทุ่งนาเต็มไปด้วยต้นข้าวปักดำแล้ว แซมสลับกับป่าไม้เต็งรังสลัวรางใต้แสงจันทร์ในคืนเดือนหงาย เสียงกบเขียด ดังผสานกับแมลงกลางคืนกรีดปีกระงมและเสียงปลาซิว ปลาหมออาศัยอยู่ตามกอข้าวว่ายขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำดังจ๋อมแจ๋ม นานๆครั้งจึงจะได้ยินเสียงนกฮูกร้อง อุ้กอุ้ก กระพือปีกผับผับ ยิ่งไกลจากหมู่บ้านถนนดินก็ค่อยแปรเปลี่ยนเป็นทางเกวียนเล็กแคบ และไม้เต็งรังแน่นขนัดกว่าเมื่อแรก ก่อนทางเกวียนจะมาสิ้นสุดอยู่ตรงวัดแห่งหนึ่ง ธงทิวปักอยู่รายรอบกำแพงวัด ซุ้มประตูประดับธงหลากสี ศาลาการเปรียญและโบสถ์ชั้นเดียวประดับหลอดไฟสวยงาม ภาพอันประจักษ์แก่สายตาพาให้ชาวคณะทุกคนต่างหันมามองหน้ากัน ความตื่นเต้นดีใจฉายชัดในสีหน้าและแววตา ก่อนเด่นดวงจะอาสาเดินเข้าไปถามชาวบ้านคนหนึ่ง ที่กำลังเดินผ่านกลุ่มของพวกเขามาพอดีว่า
    “อ้ายๆ วัดนี่มีงานอีหยัง”
    “งานบุญห่อข้าวสากน่ะ” ชายสูงวัยนุ่งเสื้อม่อฮ่อมกับกางเกงขาก๊วย โพกศีรษะด้วยผ้าขาวม้าแถบขาวสลับกับน้ำเงินตอบ สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข แล้วถามต่อว่า
    “แล้วซุมเจ้าเป็นไผ มาจากไสกัน”
    “หมู่ข่อยมาจากบ้านนาจอกพุ้นแหล่ว หมู่ข่อยสิมาขอแสดงหมอลำขอข้าวในวัดนี้ บ่ฮู้ว่าสิขออนุญาตนำไผ” ลุงเซียงมาถาม
    “โอ๋! เดี๋ยวข่อยสิพาไปถามหลวงตากับลุงผู้ใหญ่เด้อ” ชาวบ้านตอบง่ายๆ พร้อมกับอาสาพาชาวคณะทุกคนมายังศาลาการเปรียญ ซึ่งเป็นอาคารคอนกรีตก่ออิฐถือปูน หลังคาทรงจั่วชั้นเดียวบนศาลามีหลวงตาชรา มัคทายก และชายวัยประมาณห้าสิบปี ท่าทางจะเป็นผู้ใหญ่บ้านนุ่งเสื้อม่อฮ่อมสีกรมท่ากับกางเกงสีดำกำลังนั่งสนทนากันเบาๆ
    “ว่าจังได๋ไอ้โก๋” มัคทายกวัยหกสิบปลายๆ นุ่งเสื้อกับกางเกงผ้าฝ้ายสีขาวสะอาดร้องทักขึ้น เมื่อเห็นว่าไอ้โก๋ ชายหนุ่มรุ่นน้องพาคนแปลกหน้าขึ้นศาลามากลุ่มใหญ่
    “คือว่า...ซุมนี่เป็นหมอลำขอข้าวน่ะ เขาว่าสิมาขอแสดงหมอลำในวัดบ้านเฮาคืนนี้ได้บ่” ไอ้โก๋เล่า
    “บ่ได้แสดงหมอลำอย่างเดียวเด้อครับ หมู่
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่