ทรรศนะสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิในอินเดีย ที่แตกต่างจากทรรศนะเรื่องกรรมและสังสารวัฏในพุทธปรัชญาเถรวาท
ทรรศนะสัสสตทิฏฐิ
แนวความคิดแบบสัสสตทิฏฐิที่เชื่อว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ (อัตถิกทิฏฐิ) เป็นความเชื่อว่า ภายในตัวมนุษย์มีแก่นสารที่เป็นอมตะไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย แก่นสารที่ว่านี้จะดำรงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่ามนุษย์นั้นจะตายไปก็ตาม ทรรศนะแบบสัสสตทิฏฐิเชื่อว่า มนุษย์มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ ส่วนแรกคือร่างกายเป็นสสาร และส่วนที่สองคือแก่นสารที่เป็นอมตะ ร่างกายที่เป็นสสารเปลี่ยนแปลงได้ไปตามกาลเวลา แต่แก่นสารที่เป็นอมตะนั้นหาได้ตายไปพร้อมกับร่างกายไม่ แก่นสารที่ว่านี้จะเป็นตัวไปสร้างภพใหม่ต่อไป การตายไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต
สัสสตทิฏฐิมักมองมนุษย์ในแง่ที่เป็นแก่นสารที่เป็นอมตะ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวนำไปสู่การอธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ แก่นสารที่เป็นอมตะนี้เรียกชื่อแตกต่างกันไป ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า อาตมัน ศาสนาเชนเรียกว่า ชีวะ นักปรัชญาตะวันตกเรียกว่า วิญาณ (soul) อย่างไรก็ตาม ซึ่งอาจจะเรียกต่างกัน แต่ความหมายอันเดียวกันคือ เป็นแก่นสารที่เป็นอมตะไม่รู้จักตาย ในสมัยพุทธกาลศาสนาที่มีแนวความคิดแบบสัสสตทิฏฐิที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาเชน
ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่า มนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ร่างกายและอาตมัน ร่างกายนั้นเป็นสสาร ส่วนอาตมันเป็นอสสาร ทั้ง 2 ส่วนนี้มีความแตกต่างกัน ร่างกายเป็นสสารที่รู้จักการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย แต่อาตมันนั้นเป็นอมตะไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่ามนุษย์จะตายไปก็ตาม ร่างกายเท่านั้นตาย แต่อาตมันตัวนี้จะดำเนินการสร้างภพใหม่ชาติใหม่เหมือนคนถอดเสื้อชุดเก่าแล้วสวมเสื้อชุดใหม่
ศาสนาเชนเชื่อว่า มนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนแรกคือร่างกายส่วนที่สองคือชีวะ ร่างกายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แต่ชีวะเป็นอมตะไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย ชีวะตัวนี้เป็นแก่นสารเป็นตัวถาวร และมีอยู่เองตามธรรมชาติไม่มีผู้สร้าง ชีวะของเชนจึงแตกต่างจากอาตมันของพราหมณ์ อาตมันของพราหมณ์นั้นมีผู้สร้าง ดังนั้น เชนจึงไม่นับถือพระเจ้า แต่แนวความคิดของ เชน ชีวะเป็นตัวเดียวกันที่ไปสร้างภพใหม่ชาติใหม่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้แนวความคิดของเชนกลายเป็นทรรศนะสัสสตทิฏฐิด้วย
ทรรศนะสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิในอินเดีย
ทรรศนะสัสสตทิฏฐิ
แนวความคิดแบบสัสสตทิฏฐิที่เชื่อว่า สิ่งทั้งปวงมีอยู่ (อัตถิกทิฏฐิ) เป็นความเชื่อว่า ภายในตัวมนุษย์มีแก่นสารที่เป็นอมตะไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย แก่นสารที่ว่านี้จะดำรงอยู่ตลอดเวลา แม้ว่ามนุษย์นั้นจะตายไปก็ตาม ทรรศนะแบบสัสสตทิฏฐิเชื่อว่า มนุษย์มีส่วนประกอบ 2 ส่วนคือ ส่วนแรกคือร่างกายเป็นสสาร และส่วนที่สองคือแก่นสารที่เป็นอมตะ ร่างกายที่เป็นสสารเปลี่ยนแปลงได้ไปตามกาลเวลา แต่แก่นสารที่เป็นอมตะนั้นหาได้ตายไปพร้อมกับร่างกายไม่ แก่นสารที่ว่านี้จะเป็นตัวไปสร้างภพใหม่ต่อไป การตายไม่ใช่จุดสุดท้ายของชีวิต
สัสสตทิฏฐิมักมองมนุษย์ในแง่ที่เป็นแก่นสารที่เป็นอมตะ ซึ่งสิ่งนี้จะเป็นตัวนำไปสู่การอธิบายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่ แก่นสารที่เป็นอมตะนี้เรียกชื่อแตกต่างกันไป ศาสนาพราหมณ์เรียกว่า อาตมัน ศาสนาเชนเรียกว่า ชีวะ นักปรัชญาตะวันตกเรียกว่า วิญาณ (soul) อย่างไรก็ตาม ซึ่งอาจจะเรียกต่างกัน แต่ความหมายอันเดียวกันคือ เป็นแก่นสารที่เป็นอมตะไม่รู้จักตาย ในสมัยพุทธกาลศาสนาที่มีแนวความคิดแบบสัสสตทิฏฐิที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ และศาสนาเชน
ศาสนาพราหมณ์เชื่อว่า มนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ร่างกายและอาตมัน ร่างกายนั้นเป็นสสาร ส่วนอาตมันเป็นอสสาร ทั้ง 2 ส่วนนี้มีความแตกต่างกัน ร่างกายเป็นสสารที่รู้จักการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย แต่อาตมันนั้นเป็นอมตะไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงถึงแม้ว่ามนุษย์จะตายไปก็ตาม ร่างกายเท่านั้นตาย แต่อาตมันตัวนี้จะดำเนินการสร้างภพใหม่ชาติใหม่เหมือนคนถอดเสื้อชุดเก่าแล้วสวมเสื้อชุดใหม่
ศาสนาเชนเชื่อว่า มนุษย์ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนแรกคือร่างกายส่วนที่สองคือชีวะ ร่างกายเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แต่ชีวะเป็นอมตะไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงเสื่อมสลาย ชีวะตัวนี้เป็นแก่นสารเป็นตัวถาวร และมีอยู่เองตามธรรมชาติไม่มีผู้สร้าง ชีวะของเชนจึงแตกต่างจากอาตมันของพราหมณ์ อาตมันของพราหมณ์นั้นมีผู้สร้าง ดังนั้น เชนจึงไม่นับถือพระเจ้า แต่แนวความคิดของ เชน ชีวะเป็นตัวเดียวกันที่ไปสร้างภพใหม่ชาติใหม่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จึงทำให้แนวความคิดของเชนกลายเป็นทรรศนะสัสสตทิฏฐิด้วย