“คุณแม่ไม่ต้องไปก็ได้มั้งครับ ผมส่งนิ่มแล้วจะเข้าออฟฟิศเลย…เอ่อ! ครับๆ เดี๋ยวผมจะวกไปรับแค่นี้ก่อนนะครับ”
อีกครั้งที่วิโรจน์เถียงไม่ชนะแม่จึงต้องย้อนกลับบ้านเพื่อรับแม่กับเมีย จากที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมารับลูกไปส่งแล้วคุยในเรื่องที่ค้างคาใจเขามาหลายวัน แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดเสีย สองพ่อลูกไม่ผูกพันต่างนั่งเงียบกระทั่งถึงคฤหาสน์ที่มียุพาพรกับเสาวรสยืนรออยู่พร้อมถุงใบโตที่เด็กรับใช้หิ้วไปยัดใส่กระโปรงหลังไว้
“แกไม่เห็นต้องลำบากขับไปรับแม่นิ่มเลยนี่ แม่สั่งนายเพิ่มไว้แล้ว” ขึ้นรถได้ก็ตำหนิลูกเป็นเรื่องแรก
“ผมเห็นคุณแม่ยังไม่ลงมาเลยไม่อยากกวน อีกอย่างผมก็คิดว่าจะรีบเข้าออฟฟิศเลยมีงานค้างอยู่หลายอย่าง” ลูกรีบแก้ตัวทันควัน แต่แม่กลับไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“ถ้าแกไม่อยากจะกวนฉันจริงๆ แกจะต้องไม่สร้างเรื่องจนทุกคนต้องมาเดือดร้อนกันหมดอย่างนี้ ทีหลังแกไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แม่กับเมียแกจะคิดให้เอง เพราะปล่อยให้แกคิดปล่อยให้แกทำตามใจมานาน ถึงต้องเสียทุกอย่างและนั่งให้ไอ้นั่นถอนหงอกอยู่นี่ไง” วิโรจน์เถียงไม่ออกอีกแล้วจึงเลือกที่จะเงียบ และก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกเลยกระทั่งถึงจุดหมาย
“ยัยมิวส่งเสื้อผ้ามาให้หลายชุด เดี๋ยวเข้าบ้านแล้วเอาไปลองนะแม่นิ่ม ฉันกับแม่รสจะได้ช่วยดูว่าใส่ตัวไหนได้บ้าง ตาโรจน์ก็ช่วยหิ้วกระเป๋าไปส่งแม่ด้วย เข้าออฟฟิศช้าหน่อยนายนั่นคงไม่ไล่ออกล่ะมั้ง”
ยุพาพรสั่งเสียงห้วนแล้วลงจากรถทันที ทั้งหลานและลูกต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากทำตามคำด้วยการเดินไปหาบ้านหลังน้อย โดยไม่มีใครสนใจจะเงยขึ้นไปมองตรงหน้าต่างของคฤหาสน์เลยว่ามีสายตาดุดันจับจ้องดูคนทั้งสี่อยู่ เพราะอยากจะรู้ว่าตราบาปที่เขาประทับไปบนเรือนร่างคุณหนูมิวนั้น
สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้คู่อริได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังเห็นสีหน้าท่าทางทุกคนเป็นปกติอยู่ หรือจะเป็นพวกเก็บอารมณ์เก่ง หรือคนพวกนี้ไม่รู้สึกหรือสาอะไรเลย จะเป็นไปได้ยังไงกัน หรือว่าแผนประหัดประหารของเขามันยังไม่หนักพอ คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวขณะเดินลงมาตามบันไดแล้วตรงไปหารถขับออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องเข้าประชุมจึงรอเยาะเย้ยคู่อริไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เวลาเขายังมีเหลือถมเถ
“แล้วเรื่องระหว่างเธอกับนายนั่นล่ะ เป็นยังไงบ้าง มีวี่แววว่ามันจะหลงเสน่ห์เธอบ้างหรือยัง หรือมัวแต่หนิมอายหรือทำตัวเป็นนางพิกุลทองอยู่ จะพูดจะจาอะไรออกมาแต่ละทีก็กลัวดอกพิกุลจะร่วง”
ยุพาพรที่กำลังนั่งดูสะใภ้เลือกชุดให้อยู่บนห้องรีบซักทันที กัณหาเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา นอกจากรับชุดเดินเข้าไปลองในห้องน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ออกมาหยุดยืนให้ย่าดู ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งงันพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่งโดยเฉพาะวิโรจน์ เมื่อชุดโชว์เนื้อหนังเผยให้เห็นรอยช้ำตามผิวขาวแทบจะทั่วตัวลูก
เสาวรสเกือบจะหลุดปากถามออกมา แต่หยุดไว้ได้ทันเมื่อแม่สามีสะกิดแขนก่อน แล้วตีหน้าปกติจ้องมองชุดที่หลานใส่ประหนึ่งไม่เห็นอะไร แล้วสั่งให้หอบชุดไม่ต่ำกว่าสิบเข้าไปลองอีก ซึ่งแต่ละชุดล้วนแล้วโชว์เนื้อหนังอย่างเปิดเผยทั้งสิ้น กัณหาไม่คิดจะใส่อยู่แล้ว
“เธอผิวขาวและสูงพอๆ กับยัยมิวใส่ชุดไหนก็สวย แปลว่าคงจะใส่ได้หมดนั่นล่ะ งั้นก็เก็บเข้าตู้เลย เอาไว้ใส่ตอนนายนั่นมาหาเพราะมันเซ็กซี่น่ามอง ผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่ชอบก็ให้มันรู้ไป เรากลับกันดีกว่าแม่รส พ่อโรจน์จะได้ไปทำงานสักที เห็นนั่งหงุดหงิดอยู่นานแล้ว”
กัณหาไม่คิดจะลงไปส่งใครนอกจากนั่งมองชุดที่ไม่คิดว่าจะหยิบขึ้นมาใส่ด้วยหัวใจเจ็บปวดยิ่ง กับการเฉยเมยของพ่อและย่าในรอยช้ำตามร่างกาย เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นยายได้เห็นคงไม่นิ่งเฉยแบบนี้แน่ อย่างน้อยๆ ก็คงจะต้องหายามาทาให้ แต่จะไปหวังอะไรจากคนที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาล่ะ
ที่มีค่าต่อพวกเขาก็เพียงแค่ต้องการให้มารับเคราะห์แทนคุณหนูมิวเท่านั้น ต่อให้เจ็บปางตายก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากใครเลย แค่นี้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก็พาลจะไหลออกมาจนต้องรีบหักห้ามเอาไว้ แล้วหันไปหางานที่ค้างอยู่เพราะมีแผนจะทำให้เสร็จวันนี้ จึงนั่งปักหลักกับหน้าจอกระทั่งเย็นย่ำ
แต่แล้วก็พบกับความประหลาดใจอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อมองผ่านกระจกใสออกไปเห็นพ่อเดินคู่มากับหญิงสาวอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ จะเดาว่าเป็นคุณหนูมิวก็ดูจะแก่เกินไป แต่กัณหาก็ไม่สนใจจะหาคำตอบ นอกจากเดินไปเปิดประตูให้เท่านั้น
“พ่อซื้อยามาให้ แล้วก็หาคนมาช่วยทาข้างหลังให้ด้วย นิ่มยุ่งอยู่หรือเปล่า”
กัณหาไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากเดินนำไปนั่งที่ชุดรับแขก หลอดยาในมือวิโรจน์ถูกยื่นให้กับสาวข้างกายเมื่อเดาเอาว่าที่ลูกเงียบนั่นหมายถึงยินยอมให้ช่วย ความสงสารแล่นมาจุกอกอีกครั้ง จนหัวใจผู้พ่อเต้นรัวและเร็ว เมื่อผิวกายภายใต้ร่มผ้าของลูกต่างเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำอยู่เต็มไปหมด
ประสบการณ์เรื่องผู้หญิงทำให้รู้ดีว่าแต่ละรอยได้มายังไง ลูกจะเจ็บกายเจ็บใจมากแค่ไหนกับการต้องมาเป็นแพะรับบาปอยู่ตอนนี้ และแม้คนเป็นแพะจะน้อยใจพ่อสักแค่ไหน แต่เมื่อเห็นแววตาของผู้พ่อที่แสดงออกมาว่าห่วงใย ก็ค่อยทำให้หัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาได้บ้างถึงจะน้อยนิดถ้าเทียบกับความเสียอกเสียใจที่ถูกทอดทิ้งก็ตามที
อาญาซาตาน-กลับมาพร้อมความเจ็บช้ำ(กันเกรา)
อีกครั้งที่วิโรจน์เถียงไม่ชนะแม่จึงต้องย้อนกลับบ้านเพื่อรับแม่กับเมีย จากที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะมารับลูกไปส่งแล้วคุยในเรื่องที่ค้างคาใจเขามาหลายวัน แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดเสีย สองพ่อลูกไม่ผูกพันต่างนั่งเงียบกระทั่งถึงคฤหาสน์ที่มียุพาพรกับเสาวรสยืนรออยู่พร้อมถุงใบโตที่เด็กรับใช้หิ้วไปยัดใส่กระโปรงหลังไว้
“แกไม่เห็นต้องลำบากขับไปรับแม่นิ่มเลยนี่ แม่สั่งนายเพิ่มไว้แล้ว” ขึ้นรถได้ก็ตำหนิลูกเป็นเรื่องแรก
“ผมเห็นคุณแม่ยังไม่ลงมาเลยไม่อยากกวน อีกอย่างผมก็คิดว่าจะรีบเข้าออฟฟิศเลยมีงานค้างอยู่หลายอย่าง” ลูกรีบแก้ตัวทันควัน แต่แม่กลับไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย
“ถ้าแกไม่อยากจะกวนฉันจริงๆ แกจะต้องไม่สร้างเรื่องจนทุกคนต้องมาเดือดร้อนกันหมดอย่างนี้ ทีหลังแกไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น แม่กับเมียแกจะคิดให้เอง เพราะปล่อยให้แกคิดปล่อยให้แกทำตามใจมานาน ถึงต้องเสียทุกอย่างและนั่งให้ไอ้นั่นถอนหงอกอยู่นี่ไง” วิโรจน์เถียงไม่ออกอีกแล้วจึงเลือกที่จะเงียบ และก็ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาอีกเลยกระทั่งถึงจุดหมาย
“ยัยมิวส่งเสื้อผ้ามาให้หลายชุด เดี๋ยวเข้าบ้านแล้วเอาไปลองนะแม่นิ่ม ฉันกับแม่รสจะได้ช่วยดูว่าใส่ตัวไหนได้บ้าง ตาโรจน์ก็ช่วยหิ้วกระเป๋าไปส่งแม่ด้วย เข้าออฟฟิศช้าหน่อยนายนั่นคงไม่ไล่ออกล่ะมั้ง”
ยุพาพรสั่งเสียงห้วนแล้วลงจากรถทันที ทั้งหลานและลูกต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมานอกจากทำตามคำด้วยการเดินไปหาบ้านหลังน้อย โดยไม่มีใครสนใจจะเงยขึ้นไปมองตรงหน้าต่างของคฤหาสน์เลยว่ามีสายตาดุดันจับจ้องดูคนทั้งสี่อยู่ เพราะอยากจะรู้ว่าตราบาปที่เขาประทับไปบนเรือนร่างคุณหนูมิวนั้น
สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้คู่อริได้มากน้อยแค่ไหน แต่ก็ยังเห็นสีหน้าท่าทางทุกคนเป็นปกติอยู่ หรือจะเป็นพวกเก็บอารมณ์เก่ง หรือคนพวกนี้ไม่รู้สึกหรือสาอะไรเลย จะเป็นไปได้ยังไงกัน หรือว่าแผนประหัดประหารของเขามันยังไม่หนักพอ คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในหัวขณะเดินลงมาตามบันไดแล้วตรงไปหารถขับออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะต้องเข้าประชุมจึงรอเยาะเย้ยคู่อริไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เวลาเขายังมีเหลือถมเถ
“แล้วเรื่องระหว่างเธอกับนายนั่นล่ะ เป็นยังไงบ้าง มีวี่แววว่ามันจะหลงเสน่ห์เธอบ้างหรือยัง หรือมัวแต่หนิมอายหรือทำตัวเป็นนางพิกุลทองอยู่ จะพูดจะจาอะไรออกมาแต่ละทีก็กลัวดอกพิกุลจะร่วง”
ยุพาพรที่กำลังนั่งดูสะใภ้เลือกชุดให้อยู่บนห้องรีบซักทันที กัณหาเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา นอกจากรับชุดเดินเข้าไปลองในห้องน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วก็ออกมาหยุดยืนให้ย่าดู ทำเอาทุกคนถึงกับนิ่งงันพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่งโดยเฉพาะวิโรจน์ เมื่อชุดโชว์เนื้อหนังเผยให้เห็นรอยช้ำตามผิวขาวแทบจะทั่วตัวลูก
เสาวรสเกือบจะหลุดปากถามออกมา แต่หยุดไว้ได้ทันเมื่อแม่สามีสะกิดแขนก่อน แล้วตีหน้าปกติจ้องมองชุดที่หลานใส่ประหนึ่งไม่เห็นอะไร แล้วสั่งให้หอบชุดไม่ต่ำกว่าสิบเข้าไปลองอีก ซึ่งแต่ละชุดล้วนแล้วโชว์เนื้อหนังอย่างเปิดเผยทั้งสิ้น กัณหาไม่คิดจะใส่อยู่แล้ว
“เธอผิวขาวและสูงพอๆ กับยัยมิวใส่ชุดไหนก็สวย แปลว่าคงจะใส่ได้หมดนั่นล่ะ งั้นก็เก็บเข้าตู้เลย เอาไว้ใส่ตอนนายนั่นมาหาเพราะมันเซ็กซี่น่ามอง ผู้ชายคนไหนเห็นแล้วไม่ชอบก็ให้มันรู้ไป เรากลับกันดีกว่าแม่รส พ่อโรจน์จะได้ไปทำงานสักที เห็นนั่งหงุดหงิดอยู่นานแล้ว”
กัณหาไม่คิดจะลงไปส่งใครนอกจากนั่งมองชุดที่ไม่คิดว่าจะหยิบขึ้นมาใส่ด้วยหัวใจเจ็บปวดยิ่ง กับการเฉยเมยของพ่อและย่าในรอยช้ำตามร่างกาย เพราะถ้าเปลี่ยนเป็นยายได้เห็นคงไม่นิ่งเฉยแบบนี้แน่ อย่างน้อยๆ ก็คงจะต้องหายามาทาให้ แต่จะไปหวังอะไรจากคนที่ไม่เคยเห็นเธออยู่ในสายตาล่ะ
ที่มีค่าต่อพวกเขาก็เพียงแค่ต้องการให้มารับเคราะห์แทนคุณหนูมิวเท่านั้น ต่อให้เจ็บปางตายก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากใครเลย แค่นี้น้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจก็พาลจะไหลออกมาจนต้องรีบหักห้ามเอาไว้ แล้วหันไปหางานที่ค้างอยู่เพราะมีแผนจะทำให้เสร็จวันนี้ จึงนั่งปักหลักกับหน้าจอกระทั่งเย็นย่ำ
แต่แล้วก็พบกับความประหลาดใจอย่างไม่เคยคาดคิดมาก่อน เมื่อมองผ่านกระจกใสออกไปเห็นพ่อเดินคู่มากับหญิงสาวอายุไม่น่าจะเกินสามสิบ จะเดาว่าเป็นคุณหนูมิวก็ดูจะแก่เกินไป แต่กัณหาก็ไม่สนใจจะหาคำตอบ นอกจากเดินไปเปิดประตูให้เท่านั้น
“พ่อซื้อยามาให้ แล้วก็หาคนมาช่วยทาข้างหลังให้ด้วย นิ่มยุ่งอยู่หรือเปล่า”
กัณหาไม่ได้พูดอะไรออกมานอกจากเดินนำไปนั่งที่ชุดรับแขก หลอดยาในมือวิโรจน์ถูกยื่นให้กับสาวข้างกายเมื่อเดาเอาว่าที่ลูกเงียบนั่นหมายถึงยินยอมให้ช่วย ความสงสารแล่นมาจุกอกอีกครั้ง จนหัวใจผู้พ่อเต้นรัวและเร็ว เมื่อผิวกายภายใต้ร่มผ้าของลูกต่างเต็มไปด้วยรอยเขียวช้ำอยู่เต็มไปหมด
ประสบการณ์เรื่องผู้หญิงทำให้รู้ดีว่าแต่ละรอยได้มายังไง ลูกจะเจ็บกายเจ็บใจมากแค่ไหนกับการต้องมาเป็นแพะรับบาปอยู่ตอนนี้ และแม้คนเป็นแพะจะน้อยใจพ่อสักแค่ไหน แต่เมื่อเห็นแววตาของผู้พ่อที่แสดงออกมาว่าห่วงใย ก็ค่อยทำให้หัวใจชุ่มชื้นขึ้นมาได้บ้างถึงจะน้อยนิดถ้าเทียบกับความเสียอกเสียใจที่ถูกทอดทิ้งก็ตามที