หญิงสาวในชุดนอนตัวยาวสีครีมอ่อน กำลังนั่งมองธนบัตรในมือด้วยหัวใจหม่นลอย นึกถึงเหตุการณ์วันนั้นจับใจ ด้วยโชคชะตาอันใด ที่พลัดพาให้หล่อนพบเขา และด้วยเคราะห์กรรมอันใด ที่ทำให้หัวใจพลัดหลง มั่นคงในรักแค่เขาผู้เดียว ไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานแค่ไหน หรือแม้แต่ทราบแก่ใจดี ว่าเขาคนนั้นไม่มีวันสนใจหล่อนแม้ปรายหางตา
“พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว เราเป็นพี่น้องกันดีกว่า อย่างน้อยก็คบกันได้ยืดยาวกว่ามานั่งจีบกันนะ” น่านนทีเคยกล่าวไว้ แต่นั่นเป็นเพียงเหตุผลที่หล่อนยังคิดจะดันทุรังได้ สมัยนี้...ไอ้เรื่องจะคว้าหัวใจใครไม่ใช่เรื่องยาก ขนาดผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปด้วยการศึกษา ฐานะ ยังแอบย่องไปตีท้ายครัวชาวบ้าน โดยที่เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมได้มีให้เห็นถมเถ หากไอ้เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาหมาดๆ เนี่ยสิ
“พ่อขอห้ามไม่ให้ลูกไปคบค้าสมาคมกับไอ้น่านอะไรนั่น รู้ไหมว่ามันเป็นลูกเสี่ยอานนท์ และเสี่ยอานนท์เป็นอริทางธุรกิจของพ่อ!”
อัญญาละสายตาจากธนบัตรในมือ เหม่อมองออกนอกกระจกใสบานยาว บรรยากาศภายนอกอึมครึม ไม่ต่างจากหัวใจของหญิงสาวเท่าไรนัก เพียงไม่ถึงนาที ละอองฝนเริ่มโปรยปราย เกาะพราวนอกกระจกราวกับเกล็ดเพชร ก่อนจะถูกชะล้างลงมา เมื่อน้ำตาของนภาทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจดวงน้อยก็สะท้านทกพอๆ กัน
“คุณหนูค่ะ...ไม่คิดจะออกไปไหนบ้างหรอ?” ‘ป้านวล’ แม่ บ้านรุ่นเก่าก่อน ไต่ถามคุณหนูคนเดียวของบ้านด้วยความอาทร เนื่องจากอัญญาเก็บตัวเงียบ อยู่ในชุดนอนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตื่นขึ้นมาก็แค่ล้างหน้า แปรงฟัน โดยไม่คิดจะเปลี่ยนชุดไปไหน สำรับที่ยกขึ้นมาก็ปล่อยให้เย็นชืด ไม่แตะต้องสักคำ
“หนูไม่อยากไปไหน ไม่อยากออกไปเจอใคร โดยเฉพาะคุณพ่อ...” หญิงสาวทิ้งท้าย
“ไม่เอา...ไม่พูดแบบนั้นค่ะคุณหนู” คนที่นั่งอยู่บนพื้นพรม วางมือลงบนต้นขาของคนที่นั่งอยู่สูงกว่า
“ทำไมหนูต้องเกิดเป็นลูกเจ้าพ่อ ทำบาปทำกรรม ใครขวางทางก็เข่นฆ่า จะทำอะไรก็ต้องมีกฎเกณฑ์ ห้ามปรามไปเสียทุกอย่าง!” หล่อนควรยอมรับความจริงสักที ว่าธุรกิจของผู้เป็นบิดานั้น มีตื้นลึกหนาบางที่ไม่งดงามอย่างที่หล่อนไล่บอกใครต่อใคร ทั้งความเข้าข้างส่วนตัวที่เป็นบิดาผู้บังเกิดเกล้า และทั้งความที่มองโลกในแง่ดี
“อย่าพูดแบบนั้นสิค่ะคุณหนู” คนแก่ได้เพียงพร่ำปราม หาคำเถียงใดไม่ออก เพราะมันคือความจริง ก่อนจะว่าต่อ
“ยังไงท่านก็รักคุณหนูยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนะค่ะ ป้านวลยังจำได้เลย สมัยที่คุณหนูยังเด็ก คุณหนูซนมาก ตอนนั้นท่านพาไปเที่ยวบ้านในสวน คุณหนูแอบหนีไปวิ่งเล่นคนเดียว แล้วจู่ๆ ฝนฟ้าก็คะนองขึ้นมา คุณหนูวิ่งเข้าไปหลบในกระท่อมร้าง ร้องไห้จ้าอยู่คนเดียว คุณท่านวิ่งฝ่าฝน ลุยโคลนออกไปตามหาลูกด้วยตัวของท่านเอง ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันที่ท่านเหนื่อยมาก เพิ่งกลับจากประชุมด้วย ได้ยินเสียงคุณหนูร้องลั่นในกระท่อม ท่านก็รีบ...”
“พอแล้วป้านวล!” หญิงสาวปรามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับหยดน้ำตาที่หยาดแหมะลงบนหลังมือคนแก่ ซึ่งเส้นเอ็นผุดขึ้นตามวัยที่ล้าลง หากก็ไม่ได้แก่งั่กจนเดินไม่ไหน
ทำไมอัญญาจะจำวันนั้นไม่ได้ เมื่อถูกอุ้มเข้าสู่อ้อมอกที่คุ้นเคยดี ขาสองข้างเหนี่ยวรัดเอวบิดาไว้แน่น กลัวว่าจะตกลงไปบนพื้นดิน ซึ่งมีไส้เดือนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
“พ่ออยู่นี่แล้วลูก...” คำปลอบประโลมเพียงเท่านั้น ทำให้เสียงร้องแผดจ้ากลายเป็นสะอื้นอึกแทน ทั้งพ่อลูกกลับบ้านด้วยสภาพสะบักสะบอมหลังฝนหยุดตก โดยที่คนในบ้านวิ่งหาผ้าขนหนูให้นายกันวุ่นวาย ป้านวลรีบตรงเข้าไปอ้าแขน หวังจะอุ้มรับอัญญาต่อจากเฮียย้ง แต่เด็กหญิงกลับกอดคอบิดาไว้แน่นกว่าเดิม ซบหน้าลงบนอ้อมอก ไม่ยอมให้ใครแตะเนื้อต้องตัวทั้งสิ้น
อัญญาซาบซึ้งดีถึงความรักที่บิดาทุ่มเทให้ แต่...หนทางเดินของผู้เป็นบิดาช่างน่ากลัวและน่าเป็นห่วงยิ่งนัก ขัดกับการดำเนินชีวิตของอัญญาในแต่ละวัน ที่รักความสงบ เพื่อนฝูงก็น้อยคนนัก เนื่องจากฐานะความเป็นอยู่ กอปรกับเมื่อใครเขาทราบว่าหล่อนเป็นลูกใคร ก็ไม่อยากจะสุงสิงสมาคมด้วย ทั้งๆ ที่อัญญาเองพยายามญาติดีกับคนอื่นมากแค่ไหนก็เถอะ และหลากหลายหนที่โดนผู้คนเสียดแทงทางวาจา ยิ่งเห็นว่าหล่อนไม่สู้ก็ยิ่งเอาใหญ่ อัญญาไม่มีปากเสียงกับคนเหล่านั้น ‘ยอม’ เป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว ไม่ต่างจากหลายต่อหลายคนที่ ‘ยอม’ ให้ผู้เป็นบิดาของหญิงสาวรังควาญเช่นกัน
“หนูเหงา...” เสียงเปรยแผ่วเบากลืนกับเสียงฝนพรำข้างนอก
“อะไรนะคะคุณหนู?” คนเก่าแก่ของบ้าน ซึ่งเปรียบเสมือนแม่ เพื่อนปลอบใจ เพื่อนปรับทุกข์ และอีกหลากหลายสถานะตามที่คุณหนูของบ้านอยากให้เป็น ถามอัญญาซ้ำอีกครั้ง
“เหงา...”
“ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้างก็ดีนะคะ” อัญญาส่ายศีรษะช้าๆ ดวงตาเหม่อลอย
“หนูอยากไปกินข้าวกับพวกพี่น่าน หนูชอบ...พวกเค้าทำให้หนูหัวเราะได้”
“งั้นก็นัดพวกเขาสักวันสิคะคุณหนู” ป้านวลแนะอย่างคนที่ไม่รู้อะไรมาก่อน ทำให้อัญญาแสยะยิ้มเพียงนิดให้กับความน่าสมเพชของตนเอง
“ไม่รู้ว่าหนูจะได้เจอพวกเค้าอีกเมื่อไร” คนแก่ขมวดคิ้ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำลายการสนทนาทั้งปวง สักพักประตูแง้มออก พร้อมกับการปรากฏกายของเฮียย้ง นายใหญ่ของบ้าน อัญญาก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตาผู้เป็นบิดา ส่วนป้านวลค่อยๆ เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้สองพ่อลูกได้คุยกันตามประสา
“หนูโกรธพ่อรึเปล่าลูก ทำไมไม่ออกไปเจอหน้าพ่อเลย?”
“หนูไม่ค่อยสบายเท่าไรคะ” เฮียย้งโคลงศีรษะ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าขาวหมดจด ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา เคียงข้างกับอัญญา
“อัญ...พ่อเป็นห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้หนุ่มคนนั้น ผู้ชายคนอื่นมีเป็นหมื่นแสน คนดีๆ แบบลูกสาวพ่อ ไม่คู่ควรกับไอ้คนพรรค์นั้นหรอก ตัดใจเถอะลูก” เฮียย้งลูบผมสีดำขลับ ยาวประบ่าของบุตรสาว เฝ้าถามตนเองว่าด้วยเคราะห์กรรมอันใดที่ทำให้โลกกลมดิกยิ่งกว่าลูกฟุตบอลแบบนี้
“หนูก็...แค่อยู่กับพวกพี่เค้าแล้วมีความสุข เลยอยากไปไหนมาไหนด้วย เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องตัดใจ หนูทำให้พ่อได้อยู่แล้ว แต่...”
“ลูกจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พบปะ เจอหน้า หรือติดต่อใดๆ กับพวกมันทั้งสิ้น มันอันตรายนะลูก” อัญญาไม่เข้าใจว่า ‘อันตราย’ ที่ผู้เป็นบิดาหวั่น มันจะอันตรายสักแค่ไหน ทำไมต้องถึงขั้นขึ้นเสียงใส่ตนด้วย
“หนูทำตามคำสั่งของพ่อไม่ได้คะ!”
“อัญ!” เฮียย้งสบถชื่อบุตรสาวตนเองลั่นห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝนฟ้าคะนองก้องอย่างบ้าคลั่ง
ยามเย็นวันนี้ท้องฟ้าหม่นครึ้ม ไม่ต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกเย็น ศศินาปิดร้านเร็วกว่าวันอื่น ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดดลจิตดลใจให้อยากกลับบ้านจนอยู่ไม่ติดที่ หญิงสาวกดรีโมทคอนโทรล ปลดล็อคประตูรถ ก่อนที่รถเก๋งคันกลางเก่ากลางใหม่จะเคลื่อนตัวออกไป โดยที่มีกระบะโฟวิลคันสีดำแล่นตามติดๆ
เสียงเรียกโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสาวกดปุ่มรับ โดยที่มืออีกข้างยังคงควงพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ
“ว่าไงน่าน?” ศศินาทักคนปลายสาย
“น่านกำลังจะไปหานาที่บ้าน เมื่อกี้เข้าไปหาที่ร้าน เห็นร้านปิด เลยโทร. หา กะว่าจะชวนไปหาอะไรกินกัน”
“โอ๊ย!...งั้น ก็คลาดกันแค่นิดเดียวเองสิ นาก็เพิ่งออกจากร้านมา” น่านนทีเหยียบคันเร่ง แซงรถกระบะโฟวิลคันสีดำขึ้นไปอีกเลนส์ถนน ติดสัญญาณจราจรพอดี เห็นรถของศศินาจอดรอสัญญาณอยู่ข้างๆ จึงกดปุ่มวางสาย ก่อนจะเลื่อนกระจกรถลงพร้อมๆ กับอีกฝ่ายเช่นกัน
“อะไรจะบังเอิญขนาดนี้” ศศินาตะโกนจากในรถ น่านนทียิ้มตอบ
“เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนาก่อนก็แล้วกันนะ บางทีอาจจะชวนคุณตาออกมาด้วย” ชายหนุ่มกดสวิตซ์ เลื่อนบานกระจกขึ้น สัญญาณไฟจราจรเปิดทางให้พอดี ชายหนุ่มไม่ลืมมองกระจกหลัง ก่อนจะออกตัวรถ พบบุรุษสวมแว่นตาดำสองคน อยู่ในรถที่ต่อท้ายอย่างจัง น่านนทีขมวดคิ้วให้กับลักษณะของคนทั้งคู่ มองปราดเดียวก็รู้สึกแปร่งปร่าในสัญชาติญาณ
“คิดมากน่า...” เขาเปรยกับตนเอง หากก็ยอมให้รถคันนั้นแซงรถของเขาขึ้นไป ส่วนเขาขับตามไปติดๆ เมื่อถึงครึ่งทาง จวนจะถึงบ้านของศศินาแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าหญิงสาวถูกสะกดรอยตาม น่านนทีกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ‘ปืน!’ สิ่งแรกที่คิดได้ในวินาทีนั้น
กระบะโฟวิลคันสีดำที่นำหน้าเขาอยู่เร่งเครื่องรถ แซงรถของศศินาขึ้นไปขนาบข้าง ก่อนที่เสียงปืนจะดังลั่นถนน สุดท้ายคือเสียงโครมใหญ่
รถของศศินาพลิกคว่ำลงข้างทาง
“นา!” น่านนทีร้องเสียงหลง เบรกรถกะทันหัน ดึงปืนที่เก็บอยู่ใต้เบาะรถขึ้นมาจับไว้แน่น
รถคันข้างหน้าเบรกกะทันหันเช่นกัน ก่อนที่บุรุษสวมแว่นตาดำคนที่นั่งข้างคนขับจะลงมา แล้วเล็งปืนไปยังคนที่บาดเจ็บบนรถ
‘เปรี้ยง!’ เสียง ปืนสนั่นลั่นทั่วท้องถนนอีกครั้ง พร้อมกับบุรุษในชุดดำทรุดตัวลง ฟุบหน้าจมกองเลือด เสียงปืนดังลั่นติดต่อกันอีกสองสามนัด
น่านนทีวิ่งขึ้นไปมองคนที่ทำหน้าที่ขับรถ ซึ่งบัดนี้ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ถนนสายนี้ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ก็พอมีรถให้เห็นบ้างประปราย รถเพียงไม่กี่คันที่ผ่านไปมาต่างขับเลยไป ถึงแม้ใจจริงอยากรู้มากเพียงใดก็ตาม
“นา!” ชายหนุ่มสบถชื่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย รีบวิ่งไปยังรถที่นอนหงายท้องขึ้น เห็นล้อเด่นชัด ควันจากกระโปรงรถคลุ้งขึ้นสู่อากาศเบื้องบน ศศินาถูกยิงเข้าที่ต้นแขน นอนหมดสติอยู่ในรถ โชคดีที่หล่อนคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ ร่างจึงโดนล็อคติดกับตัวเบาะ ทำให้ไม่มีร่างกายส่วนไหนโดนกระทบกระแทก แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือต้นแขนที่ถูกยิง เนื่องจากเลือดสีแดงเข้มไหลออกมาไม่หยุด
“นา!” น่านนทีเปิดประตูรถเข้าไปปลดเข็มขัดนิรภัยออก ประครองหญิงสาวออกมาข้างนอก ศศินาเริ่มมีสติขึ้นบ้าง รู้สึกเจ็บร้าวตั้งแต่ต้นแขนลงมา
“น่าน...หนีไป”
“ไม่!” คำเดียว สั้นๆ ก่อนที่ร่างอ่อนปวกเปียกของหญิงสาวจะถูกช้อนขึ้นพาดบนไหล่กว้าง
เก๋งยุโรปคันสีดำพุ่งออกจากจุดเกิดเหตุราวกับจรวด จุดมุ่งหมายคือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ราเอล
ราตรีอับแสง (ตอนที่ 6)
“พี่มีคนที่ชอบอยู่แล้ว เราเป็นพี่น้องกันดีกว่า อย่างน้อยก็คบกันได้ยืดยาวกว่ามานั่งจีบกันนะ” น่านนทีเคยกล่าวไว้ แต่นั่นเป็นเพียงเหตุผลที่หล่อนยังคิดจะดันทุรังได้ สมัยนี้...ไอ้เรื่องจะคว้าหัวใจใครไม่ใช่เรื่องยาก ขนาดผู้หญิงที่เพียบพร้อมไปด้วยการศึกษา ฐานะ ยังแอบย่องไปตีท้ายครัวชาวบ้าน โดยที่เชิดหน้าชูตาอยู่ในสังคมได้มีให้เห็นถมเถ หากไอ้เรื่องที่เพิ่งได้รับรู้มาหมาดๆ เนี่ยสิ
“พ่อขอห้ามไม่ให้ลูกไปคบค้าสมาคมกับไอ้น่านอะไรนั่น รู้ไหมว่ามันเป็นลูกเสี่ยอานนท์ และเสี่ยอานนท์เป็นอริทางธุรกิจของพ่อ!”
อัญญาละสายตาจากธนบัตรในมือ เหม่อมองออกนอกกระจกใสบานยาว บรรยากาศภายนอกอึมครึม ไม่ต่างจากหัวใจของหญิงสาวเท่าไรนัก เพียงไม่ถึงนาที ละอองฝนเริ่มโปรยปราย เกาะพราวนอกกระจกราวกับเกล็ดเพชร ก่อนจะถูกชะล้างลงมา เมื่อน้ำตาของนภาทวีความแรงขึ้นเรื่อยๆ หัวใจดวงน้อยก็สะท้านทกพอๆ กัน
“คุณหนูค่ะ...ไม่คิดจะออกไปไหนบ้างหรอ?” ‘ป้านวล’ แม่ บ้านรุ่นเก่าก่อน ไต่ถามคุณหนูคนเดียวของบ้านด้วยความอาทร เนื่องจากอัญญาเก็บตัวเงียบ อยู่ในชุดนอนตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ตื่นขึ้นมาก็แค่ล้างหน้า แปรงฟัน โดยไม่คิดจะเปลี่ยนชุดไปไหน สำรับที่ยกขึ้นมาก็ปล่อยให้เย็นชืด ไม่แตะต้องสักคำ
“หนูไม่อยากไปไหน ไม่อยากออกไปเจอใคร โดยเฉพาะคุณพ่อ...” หญิงสาวทิ้งท้าย
“ไม่เอา...ไม่พูดแบบนั้นค่ะคุณหนู” คนที่นั่งอยู่บนพื้นพรม วางมือลงบนต้นขาของคนที่นั่งอยู่สูงกว่า
“ทำไมหนูต้องเกิดเป็นลูกเจ้าพ่อ ทำบาปทำกรรม ใครขวางทางก็เข่นฆ่า จะทำอะไรก็ต้องมีกฎเกณฑ์ ห้ามปรามไปเสียทุกอย่าง!” หล่อนควรยอมรับความจริงสักที ว่าธุรกิจของผู้เป็นบิดานั้น มีตื้นลึกหนาบางที่ไม่งดงามอย่างที่หล่อนไล่บอกใครต่อใคร ทั้งความเข้าข้างส่วนตัวที่เป็นบิดาผู้บังเกิดเกล้า และทั้งความที่มองโลกในแง่ดี
“อย่าพูดแบบนั้นสิค่ะคุณหนู” คนแก่ได้เพียงพร่ำปราม หาคำเถียงใดไม่ออก เพราะมันคือความจริง ก่อนจะว่าต่อ
“ยังไงท่านก็รักคุณหนูยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดนะค่ะ ป้านวลยังจำได้เลย สมัยที่คุณหนูยังเด็ก คุณหนูซนมาก ตอนนั้นท่านพาไปเที่ยวบ้านในสวน คุณหนูแอบหนีไปวิ่งเล่นคนเดียว แล้วจู่ๆ ฝนฟ้าก็คะนองขึ้นมา คุณหนูวิ่งเข้าไปหลบในกระท่อมร้าง ร้องไห้จ้าอยู่คนเดียว คุณท่านวิ่งฝ่าฝน ลุยโคลนออกไปตามหาลูกด้วยตัวของท่านเอง ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นวันที่ท่านเหนื่อยมาก เพิ่งกลับจากประชุมด้วย ได้ยินเสียงคุณหนูร้องลั่นในกระท่อม ท่านก็รีบ...”
“พอแล้วป้านวล!” หญิงสาวปรามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับหยดน้ำตาที่หยาดแหมะลงบนหลังมือคนแก่ ซึ่งเส้นเอ็นผุดขึ้นตามวัยที่ล้าลง หากก็ไม่ได้แก่งั่กจนเดินไม่ไหน
ทำไมอัญญาจะจำวันนั้นไม่ได้ เมื่อถูกอุ้มเข้าสู่อ้อมอกที่คุ้นเคยดี ขาสองข้างเหนี่ยวรัดเอวบิดาไว้แน่น กลัวว่าจะตกลงไปบนพื้นดิน ซึ่งมีไส้เดือนยั้วเยี้ยเต็มไปหมด
“พ่ออยู่นี่แล้วลูก...” คำปลอบประโลมเพียงเท่านั้น ทำให้เสียงร้องแผดจ้ากลายเป็นสะอื้นอึกแทน ทั้งพ่อลูกกลับบ้านด้วยสภาพสะบักสะบอมหลังฝนหยุดตก โดยที่คนในบ้านวิ่งหาผ้าขนหนูให้นายกันวุ่นวาย ป้านวลรีบตรงเข้าไปอ้าแขน หวังจะอุ้มรับอัญญาต่อจากเฮียย้ง แต่เด็กหญิงกลับกอดคอบิดาไว้แน่นกว่าเดิม ซบหน้าลงบนอ้อมอก ไม่ยอมให้ใครแตะเนื้อต้องตัวทั้งสิ้น
อัญญาซาบซึ้งดีถึงความรักที่บิดาทุ่มเทให้ แต่...หนทางเดินของผู้เป็นบิดาช่างน่ากลัวและน่าเป็นห่วงยิ่งนัก ขัดกับการดำเนินชีวิตของอัญญาในแต่ละวัน ที่รักความสงบ เพื่อนฝูงก็น้อยคนนัก เนื่องจากฐานะความเป็นอยู่ กอปรกับเมื่อใครเขาทราบว่าหล่อนเป็นลูกใคร ก็ไม่อยากจะสุงสิงสมาคมด้วย ทั้งๆ ที่อัญญาเองพยายามญาติดีกับคนอื่นมากแค่ไหนก็เถอะ และหลากหลายหนที่โดนผู้คนเสียดแทงทางวาจา ยิ่งเห็นว่าหล่อนไม่สู้ก็ยิ่งเอาใหญ่ อัญญาไม่มีปากเสียงกับคนเหล่านั้น ‘ยอม’ เป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียว ไม่ต่างจากหลายต่อหลายคนที่ ‘ยอม’ ให้ผู้เป็นบิดาของหญิงสาวรังควาญเช่นกัน
“หนูเหงา...” เสียงเปรยแผ่วเบากลืนกับเสียงฝนพรำข้างนอก
“อะไรนะคะคุณหนู?” คนเก่าแก่ของบ้าน ซึ่งเปรียบเสมือนแม่ เพื่อนปลอบใจ เพื่อนปรับทุกข์ และอีกหลากหลายสถานะตามที่คุณหนูของบ้านอยากให้เป็น ถามอัญญาซ้ำอีกครั้ง
“เหงา...”
“ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้างก็ดีนะคะ” อัญญาส่ายศีรษะช้าๆ ดวงตาเหม่อลอย
“หนูอยากไปกินข้าวกับพวกพี่น่าน หนูชอบ...พวกเค้าทำให้หนูหัวเราะได้”
“งั้นก็นัดพวกเขาสักวันสิคะคุณหนู” ป้านวลแนะอย่างคนที่ไม่รู้อะไรมาก่อน ทำให้อัญญาแสยะยิ้มเพียงนิดให้กับความน่าสมเพชของตนเอง
“ไม่รู้ว่าหนูจะได้เจอพวกเค้าอีกเมื่อไร” คนแก่ขมวดคิ้ว
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำลายการสนทนาทั้งปวง สักพักประตูแง้มออก พร้อมกับการปรากฏกายของเฮียย้ง นายใหญ่ของบ้าน อัญญาก้มหน้านิ่ง ไม่กล้าสบตาผู้เป็นบิดา ส่วนป้านวลค่อยๆ เดินออกจากห้องไปเงียบๆ ปล่อยให้สองพ่อลูกได้คุยกันตามประสา
“หนูโกรธพ่อรึเปล่าลูก ทำไมไม่ออกไปเจอหน้าพ่อเลย?”
“หนูไม่ค่อยสบายเท่าไรคะ” เฮียย้งโคลงศีรษะ สายตาจับจ้องที่ใบหน้าขาวหมดจด ก่อนจะนั่งลงบนโซฟา เคียงข้างกับอัญญา
“อัญ...พ่อเป็นห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับไอ้หนุ่มคนนั้น ผู้ชายคนอื่นมีเป็นหมื่นแสน คนดีๆ แบบลูกสาวพ่อ ไม่คู่ควรกับไอ้คนพรรค์นั้นหรอก ตัดใจเถอะลูก” เฮียย้งลูบผมสีดำขลับ ยาวประบ่าของบุตรสาว เฝ้าถามตนเองว่าด้วยเคราะห์กรรมอันใดที่ทำให้โลกกลมดิกยิ่งกว่าลูกฟุตบอลแบบนี้
“หนูก็...แค่อยู่กับพวกพี่เค้าแล้วมีความสุข เลยอยากไปไหนมาไหนด้วย เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องตัดใจ หนูทำให้พ่อได้อยู่แล้ว แต่...”
“ลูกจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พบปะ เจอหน้า หรือติดต่อใดๆ กับพวกมันทั้งสิ้น มันอันตรายนะลูก” อัญญาไม่เข้าใจว่า ‘อันตราย’ ที่ผู้เป็นบิดาหวั่น มันจะอันตรายสักแค่ไหน ทำไมต้องถึงขั้นขึ้นเสียงใส่ตนด้วย
“หนูทำตามคำสั่งของพ่อไม่ได้คะ!”
“อัญ!” เฮียย้งสบถชื่อบุตรสาวตนเองลั่นห้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะตกอยู่ในความเงียบ มีเพียงเสียงฝนฟ้าคะนองก้องอย่างบ้าคลั่ง
ยามเย็นวันนี้ท้องฟ้าหม่นครึ้ม ไม่ต่างจากหลายวันที่ผ่านมา ช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกเย็น ศศินาปิดร้านเร็วกว่าวันอื่น ไม่รู้ว่ามีสิ่งใดดลจิตดลใจให้อยากกลับบ้านจนอยู่ไม่ติดที่ หญิงสาวกดรีโมทคอนโทรล ปลดล็อคประตูรถ ก่อนที่รถเก๋งคันกลางเก่ากลางใหม่จะเคลื่อนตัวออกไป โดยที่มีกระบะโฟวิลคันสีดำแล่นตามติดๆ
เสียงเรียกโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสาวกดปุ่มรับ โดยที่มืออีกข้างยังคงควงพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวออกสู่ถนนใหญ
“ว่าไงน่าน?” ศศินาทักคนปลายสาย
“น่านกำลังจะไปหานาที่บ้าน เมื่อกี้เข้าไปหาที่ร้าน เห็นร้านปิด เลยโทร. หา กะว่าจะชวนไปหาอะไรกินกัน”
“โอ๊ย!...งั้น ก็คลาดกันแค่นิดเดียวเองสิ นาก็เพิ่งออกจากร้านมา” น่านนทีเหยียบคันเร่ง แซงรถกระบะโฟวิลคันสีดำขึ้นไปอีกเลนส์ถนน ติดสัญญาณจราจรพอดี เห็นรถของศศินาจอดรอสัญญาณอยู่ข้างๆ จึงกดปุ่มวางสาย ก่อนจะเลื่อนกระจกรถลงพร้อมๆ กับอีกฝ่ายเช่นกัน
“อะไรจะบังเอิญขนาดนี้” ศศินาตะโกนจากในรถ น่านนทียิ้มตอบ
“เดี๋ยวเจอกันที่บ้านนาก่อนก็แล้วกันนะ บางทีอาจจะชวนคุณตาออกมาด้วย” ชายหนุ่มกดสวิตซ์ เลื่อนบานกระจกขึ้น สัญญาณไฟจราจรเปิดทางให้พอดี ชายหนุ่มไม่ลืมมองกระจกหลัง ก่อนจะออกตัวรถ พบบุรุษสวมแว่นตาดำสองคน อยู่ในรถที่ต่อท้ายอย่างจัง น่านนทีขมวดคิ้วให้กับลักษณะของคนทั้งคู่ มองปราดเดียวก็รู้สึกแปร่งปร่าในสัญชาติญาณ
“คิดมากน่า...” เขาเปรยกับตนเอง หากก็ยอมให้รถคันนั้นแซงรถของเขาขึ้นไป ส่วนเขาขับตามไปติดๆ เมื่อถึงครึ่งทาง จวนจะถึงบ้านของศศินาแล้ว เขาจึงแน่ใจว่าหญิงสาวถูกสะกดรอยตาม น่านนทีกำพวงมาลัยรถไว้แน่น ‘ปืน!’ สิ่งแรกที่คิดได้ในวินาทีนั้น
กระบะโฟวิลคันสีดำที่นำหน้าเขาอยู่เร่งเครื่องรถ แซงรถของศศินาขึ้นไปขนาบข้าง ก่อนที่เสียงปืนจะดังลั่นถนน สุดท้ายคือเสียงโครมใหญ่
รถของศศินาพลิกคว่ำลงข้างทาง
“นา!” น่านนทีร้องเสียงหลง เบรกรถกะทันหัน ดึงปืนที่เก็บอยู่ใต้เบาะรถขึ้นมาจับไว้แน่น
รถคันข้างหน้าเบรกกะทันหันเช่นกัน ก่อนที่บุรุษสวมแว่นตาดำคนที่นั่งข้างคนขับจะลงมา แล้วเล็งปืนไปยังคนที่บาดเจ็บบนรถ
‘เปรี้ยง!’ เสียง ปืนสนั่นลั่นทั่วท้องถนนอีกครั้ง พร้อมกับบุรุษในชุดดำทรุดตัวลง ฟุบหน้าจมกองเลือด เสียงปืนดังลั่นติดต่อกันอีกสองสามนัด
น่านนทีวิ่งขึ้นไปมองคนที่ทำหน้าที่ขับรถ ซึ่งบัดนี้ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ถนนสายนี้ค่อนข้างเปลี่ยว แต่ก็พอมีรถให้เห็นบ้างประปราย รถเพียงไม่กี่คันที่ผ่านไปมาต่างขับเลยไป ถึงแม้ใจจริงอยากรู้มากเพียงใดก็ตาม
“นา!” ชายหนุ่มสบถชื่อหญิงสาวด้วยน้ำเสียงกระวนกระวาย รีบวิ่งไปยังรถที่นอนหงายท้องขึ้น เห็นล้อเด่นชัด ควันจากกระโปรงรถคลุ้งขึ้นสู่อากาศเบื้องบน ศศินาถูกยิงเข้าที่ต้นแขน นอนหมดสติอยู่ในรถ โชคดีที่หล่อนคาดเข็มขัดนิรภัยไว้ ร่างจึงโดนล็อคติดกับตัวเบาะ ทำให้ไม่มีร่างกายส่วนไหนโดนกระทบกระแทก แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือต้นแขนที่ถูกยิง เนื่องจากเลือดสีแดงเข้มไหลออกมาไม่หยุด
“นา!” น่านนทีเปิดประตูรถเข้าไปปลดเข็มขัดนิรภัยออก ประครองหญิงสาวออกมาข้างนอก ศศินาเริ่มมีสติขึ้นบ้าง รู้สึกเจ็บร้าวตั้งแต่ต้นแขนลงมา
“น่าน...หนีไป”
“ไม่!” คำเดียว สั้นๆ ก่อนที่ร่างอ่อนปวกเปียกของหญิงสาวจะถูกช้อนขึ้นพาดบนไหล่กว้าง
เก๋งยุโรปคันสีดำพุ่งออกจากจุดเกิดเหตุราวกับจรวด จุดมุ่งหมายคือโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด