สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
มันเป็นความเห็นแก่ตัวของแม่คุณ
เคยเจอครอบครัวหนึ่ง ไม่ยอมให้ลูกแต่งงาน เพื่อจะเก็บไว้ดูแลตอนแก่
่
พอเข้ามหาวิทยาลัย พอรู้ว่ามีแฟน ก็หาเรื่องให้ลาออกมาอยู่บ้านเฉยๆ
ปากก็บอกเป็นห่วงลูก แต่ดูก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ฝ่ายลูกก็โง่ ยอมลาออกจากมหาวิทยาลัย เลิกกับแฟนที่รักกัน
ตอนนี้ แม่ของครอบครัวนั้นตายแล้ว ลูกไม่มีทางไป น่าสงสารมาก
ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาเข้าใจตรงจุดนี้ว่า พ่อแม่ ก็เ็ห็นแก่ตัว เลยกำหนดไว้ว่า เมื่อลูกพ้น 18 พ่อแม่ ไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายชีวิตลูก
ไม่ต้องอ้างความเป็นพ่อแม่ เพราะเป็นคนทำให้ชีวิตหนึ่งเกิดมาก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ
ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศ ไม่เจอเพื่อนหลายเดือน ถามมันว่า พ่อแม่สบายดีเหรอ ฝรั่งมันงงกับคำถาม แทนที่จะถามว่ามันสบายดีเหรอ
คุณอายุ 35 แล้ว ถ้าไม่ตัดสินใจมีคู่ อีกสองสามปี คุณจะโสดไปตลอดชีวิต ถ้าคุณเสียชีวิตตอน 70 มันจะเป็นครึ่งชีวิตที่เหงา และว้าเหว่มาก
ถ้าแม่รักคุณจริง ต้องยอมให้คุณแต่งงานไปแล้ว เพราะรู้ว่า อีกครึ่งชีวิตหลังจากที่ตัวเองตายไป ลูกจะเหงาขนาดไหน แต่แม่ ที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ มีมากมาย
เคยเจอครอบครัวหนึ่ง ไม่ยอมให้ลูกแต่งงาน เพื่อจะเก็บไว้ดูแลตอนแก่
่
พอเข้ามหาวิทยาลัย พอรู้ว่ามีแฟน ก็หาเรื่องให้ลาออกมาอยู่บ้านเฉยๆ
ปากก็บอกเป็นห่วงลูก แต่ดูก็รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ฝ่ายลูกก็โง่ ยอมลาออกจากมหาวิทยาลัย เลิกกับแฟนที่รักกัน
ตอนนี้ แม่ของครอบครัวนั้นตายแล้ว ลูกไม่มีทางไป น่าสงสารมาก
ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขาเข้าใจตรงจุดนี้ว่า พ่อแม่ ก็เ็ห็นแก่ตัว เลยกำหนดไว้ว่า เมื่อลูกพ้น 18 พ่อแม่ ไม่มีสิทธิไปก้าวก่ายชีวิตลูก
ไม่ต้องอ้างความเป็นพ่อแม่ เพราะเป็นคนทำให้ชีวิตหนึ่งเกิดมาก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ถือว่าเป็นบุญคุณ
ตอนเรียนอยู่ต่างประเทศ ไม่เจอเพื่อนหลายเดือน ถามมันว่า พ่อแม่สบายดีเหรอ ฝรั่งมันงงกับคำถาม แทนที่จะถามว่ามันสบายดีเหรอ
คุณอายุ 35 แล้ว ถ้าไม่ตัดสินใจมีคู่ อีกสองสามปี คุณจะโสดไปตลอดชีวิต ถ้าคุณเสียชีวิตตอน 70 มันจะเป็นครึ่งชีวิตที่เหงา และว้าเหว่มาก
ถ้าแม่รักคุณจริง ต้องยอมให้คุณแต่งงานไปแล้ว เพราะรู้ว่า อีกครึ่งชีวิตหลังจากที่ตัวเองตายไป ลูกจะเหงาขนาดไหน แต่แม่ ที่เห็นแก่ตัวแบบนี้ มีมากมาย
ความคิดเห็นที่ 28
ขอแสดงความนับถือค่ะ เพราะดูเหมือนคุณเป็นคนเดียวในบ้านที่ยังมีเยื่อใยกับคุณแม่และทำหน้าที่ที่คุณพึงกระทำในฐานะลูก
คิดว่ามีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ได้ 2 อย่าง คือจัดการกับตัวคุณเอง กับจัดการกับตัวคุณเเม่
1. เอาเรื่องตัวคุณเเม่ก่อนนะคะ มีความเห็นที่ไม่ค่อยเหมือนคหข้างบนเท่าไรนักมาเสนอค่ะ
ตัวเองรู้จักคนที่มีประสบการณ์คล้ายๆกัน แตกต่างบ้างที่รายละเอียด ประเด็นก็คืออาการของคุณแม่คุณ ‘อาจ’ เป็นอาการที่เกิดจากการป่วย ที่เกี่ยวกับ 2 เรื่องนี้ค่ะ
ก. เกิดเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง (menopause) หรือ
ข. เกิดเมื่อเริ่มเข้าสู่ปัญหาโรคทางสมอง เช่น dementia
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคุณแม่เป็นเช่นว่านี้หรือไม่ หมอเฉพาะทาง (นรีเวช) และ/หรือหมอทางสมอง (neurological doctor) เท่านั้น จะเป็นผู้ตรวจและตัดสินได้
ขอเตือนว่า อย่าไปพบแพทย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่กล่าวถึงข้างบน เพราะหมอที่รักษาเรื่องอื่น อาจจะไม่คุ้นเคยกับอาการที่ว่านี้ มีคนรู้จักที่มีอาการไม่ต่างจากที่คุณเล่ามามากนัก แต่ปัญหาก็คือ เขาไปปรึกษาหมอ (รักษาเบาหวาน) ที่คุ้นเคยเละรักษา (เบาหวาน) กันมานานและเก่งมาก แต่คุณหมอไม่เอะใจเลย กลับบอกว่าไม่เป็นอะไรหรอก บอกลูกประมาณว่า ให้พาแม่เข้าวัดให้มากขึ้น กว่าจะมารักษาหมอเฉพาะทางได้ อาการอื่นๆก็ตามมาแล้ว ถ้าเป็นสองโรค(หรือโรคใดโรคหนึ่ง) นี้จริง อาการที่ว่านี้หายหรือดีขึ้นได้ด้วยการรักษาที่ถูกต้อง มันเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเลยค่ะ
ขอแนะนำว่าคุณอาจจะต้องไปพบหมอเฉพาะทางที่ว่านี้ด้วยตัวเอง โดยต้องไม่เอาคุณแม่ของคุณไปก่อน เดี๋ยวเกิด drama และคุณหมอที่เก่งๆ ท่านจะมีวิธีแนะนำว่า คุณจะต้องทำอย่างไรต่อไป เช่นมีวิธีพูดให้คุณแม่คุณไปพบหมอเฉพาะทาง
อย่าลืมว่า ถ้าคุณแม่เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งนี้จริง ท่านไม่ได้เป็นโรคบ้าหรือประสาท (mentally ill) นะคะ แต่ท่านเป็นโรคทางสมองหรือแค่ฮอโมนผู้หญิงเริ่มขาดนั่นเอง
สุดท้ายอยากบอกว่า ความรักของแม่ส่วนมากแล้วเป็น unconditioned love ค่ะ ปากท่านว่าอย่างโง้นอย่างงี้ แต่สุดท้ายไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร คนเป็นแม่ส่วนมากก็ยังหวังแต่สิ่งดีๆให้เกิดกับคุณ
2. จัดการกับเรื่องตัวคุณ
ตัวเองคิดว่า .... อย่าแต่งงานเพราะต้องการหนีอะไรๆ
judgment ของคุณอาจจะเสีย และทำให้กระบวนการตัดสินใจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ถ้าจะเเต่งงาน มันควรด้วยเหตุผลอื่นอีกเยอะเเยะ อย่าเอาเรื่องคุณเเม่มาเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจ
อ้อ….มีหนังเรื่อง Joy Luck Club ที่อยากแนะนำให้ดูด้วยนะคะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ลูกที่มีลักษณะคล้ายๆกัน (รู้สึกเป็นกันทั่วโลก จะมากจะน้อยก็ต่างกันไปบ้าง)
เอาใจช่วยค่ะ
คิดว่ามีวิธีจัดการกับเรื่องนี้ได้ 2 อย่าง คือจัดการกับตัวคุณเอง กับจัดการกับตัวคุณเเม่
1. เอาเรื่องตัวคุณเเม่ก่อนนะคะ มีความเห็นที่ไม่ค่อยเหมือนคหข้างบนเท่าไรนักมาเสนอค่ะ
ตัวเองรู้จักคนที่มีประสบการณ์คล้ายๆกัน แตกต่างบ้างที่รายละเอียด ประเด็นก็คืออาการของคุณแม่คุณ ‘อาจ’ เป็นอาการที่เกิดจากการป่วย ที่เกี่ยวกับ 2 เรื่องนี้ค่ะ
ก. เกิดเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน หรือวัยทอง (menopause) หรือ
ข. เกิดเมื่อเริ่มเข้าสู่ปัญหาโรคทางสมอง เช่น dementia
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าคุณแม่เป็นเช่นว่านี้หรือไม่ หมอเฉพาะทาง (นรีเวช) และ/หรือหมอทางสมอง (neurological doctor) เท่านั้น จะเป็นผู้ตรวจและตัดสินได้
ขอเตือนว่า อย่าไปพบแพทย์ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่กล่าวถึงข้างบน เพราะหมอที่รักษาเรื่องอื่น อาจจะไม่คุ้นเคยกับอาการที่ว่านี้ มีคนรู้จักที่มีอาการไม่ต่างจากที่คุณเล่ามามากนัก แต่ปัญหาก็คือ เขาไปปรึกษาหมอ (รักษาเบาหวาน) ที่คุ้นเคยเละรักษา (เบาหวาน) กันมานานและเก่งมาก แต่คุณหมอไม่เอะใจเลย กลับบอกว่าไม่เป็นอะไรหรอก บอกลูกประมาณว่า ให้พาแม่เข้าวัดให้มากขึ้น กว่าจะมารักษาหมอเฉพาะทางได้ อาการอื่นๆก็ตามมาแล้ว ถ้าเป็นสองโรค(หรือโรคใดโรคหนึ่ง) นี้จริง อาการที่ว่านี้หายหรือดีขึ้นได้ด้วยการรักษาที่ถูกต้อง มันเปลี่ยนไปราวกับคนละคนเลยค่ะ
ขอแนะนำว่าคุณอาจจะต้องไปพบหมอเฉพาะทางที่ว่านี้ด้วยตัวเอง โดยต้องไม่เอาคุณแม่ของคุณไปก่อน เดี๋ยวเกิด drama และคุณหมอที่เก่งๆ ท่านจะมีวิธีแนะนำว่า คุณจะต้องทำอย่างไรต่อไป เช่นมีวิธีพูดให้คุณแม่คุณไปพบหมอเฉพาะทาง
อย่าลืมว่า ถ้าคุณแม่เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งนี้จริง ท่านไม่ได้เป็นโรคบ้าหรือประสาท (mentally ill) นะคะ แต่ท่านเป็นโรคทางสมองหรือแค่ฮอโมนผู้หญิงเริ่มขาดนั่นเอง
สุดท้ายอยากบอกว่า ความรักของแม่ส่วนมากแล้วเป็น unconditioned love ค่ะ ปากท่านว่าอย่างโง้นอย่างงี้ แต่สุดท้ายไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร คนเป็นแม่ส่วนมากก็ยังหวังแต่สิ่งดีๆให้เกิดกับคุณ
2. จัดการกับเรื่องตัวคุณ
ตัวเองคิดว่า .... อย่าแต่งงานเพราะต้องการหนีอะไรๆ
judgment ของคุณอาจจะเสีย และทำให้กระบวนการตัดสินใจไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ถ้าจะเเต่งงาน มันควรด้วยเหตุผลอื่นอีกเยอะเเยะ อย่าเอาเรื่องคุณเเม่มาเป็นประเด็นหลักในการตัดสินใจ
อ้อ….มีหนังเรื่อง Joy Luck Club ที่อยากแนะนำให้ดูด้วยนะคะ มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่ลูกที่มีลักษณะคล้ายๆกัน (รู้สึกเป็นกันทั่วโลก จะมากจะน้อยก็ต่างกันไปบ้าง)
เอาใจช่วยค่ะ
แสดงความคิดเห็น
เหนื่อยใจกับแม่มากค่ะ ทำอย่างไรดีคะ
เป็นปัญหาเรื่องแม่เราเองค่ะ เรายังอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ค่ะ เราอายุ 35 แล้วนะคะ ไม่ใช่เด็กๆ แล้วล่ะ เราขออย่างเดียวนะคะ อย่าบอกเราแค่ว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ แม่ก็เห็นเราเป็นเด็ก เราเหนื่อยมากแล้วค่ะ คือ เราเข้ากับแม่ไม่ค่อยได้ค่ะ จริงๆ เรามีพี่ชายหนึ่งคน แต่พี่ก็แยกออกไปอยู่เองแล้วค่ะ เพราะเบื่อที่บ้าน กลับมาเยี่ยมเป็นบางที เราก็อยากไปนะคะ แต่ก็ห่วงที่บ้านค่ะ เราอยากจะได้คำแนะนำว่าควรจะรับมืออย่างไรดี อยากถามผู้รู้ค่ะ เราก็ไม่กล้าไปหาจิตแพทย์นะคะ แต่เราเครียดมากๆ แล้ว บางทีก็เหนื่อย อยากร้องไห้ บางทีก็รู้สึกฉุนเฉียว วนๆ ไปเพราะทะเลาะกับแม่นี่แหละค่ะ ปัญหาคือ แม่เราจุกจิกมากๆ ค่ะ และทุกอย่างในบ้านหรือการดำเนินชีวิต แม่จะอยากให้เป็นแบบที่เค้าต้องการค่ะ
- เราทำงานแล้วและทุกเย็นแม่จะโทรมาถามว่าจะเลิกงานกี่โมง กลับบ้านเลยนะ แม่จะไม่พอใจถ้าเราไปกินข้าวกับเพื่อน วันไหนเราไป แค่สองทุ่มแม่ก็จะโทรตามแล้ว วันอาทิตย์เค้าก็อยากให้เราพาเค้าไปเที่ยว ไปกินข้าว บางทีก็ลากเราไปทานข้าวกับกลุ่มเพื่อนเค้าค่ะ
- ที่บ้านจะต้องเป็นระเบียบตามที่แม่ต้องการ วางของผิดที่ก็จะโดนว่า หรือบางทีของหายไปเลยค่ะ แม่ทิ้งไปเลย บอกว่าก็อยากมาวางทิ้งไว้ตรงนั้นทำไหม เป็นแบบนี้แม้กระทั่งของในห้องเรา ทะเลาะกันหลายครั้งมากๆ แล้ว ตอนนี้เค้าไม่ทิ้งค่ะ แต่เค้าก็ยังย้ายของในห้องเราอยู่ดี หาไม่ค่อยจะเจอเลย
- ถ้าเค้าไม่เจอเราหรือเค้ามีอะไรจะบอก บางทีเค้าไม่พูด แต่เค้าจะมีกระดานที่เค้าคอยเขียนโน๊ต เป็นกระดานที่ติดอยู่หลังประตู เวลาปิดก็จะเป็นหมด เค้าจะเขียนพวก อย่าทำนั่น อย่าทำนี่ ให้ทำนั่น ให้ทำนี่ เขียนมันทุกอย่างเลยค่ะ เช่น ให้เช็ดกระจกด้วย โดยวิธีเช็ดจะต้องทำแบบนี้นะ หรือวันก่อนเห็นเราปิดหน้าต่าง ปิดไม่ถูกวิธี เราควรจะปิดแบบนี้ หรือของกินที่เราซื้อมา เค้าก็จะบอกว่าไม่มีประโยชน์นะ อย่ากินโดยเฉพาะของถูกๆ หรือทำไมซื้อของชิ้นนี้มา สิ้นเปลืองเงิน แต่มันเป็นของที่เราใช้นะคะ และเราใช้เงินตัวเอง หรือทำไมใส่กนน.ผ้าแบบนี้ ผ้าไม่ดีเลย คือทุกเรื่องเลยค่ะ ทุกวันต้องมีอะไรเขียนไว้ บางทีกระดานไม่พอ เค้าก็จะมาแปะกระดาษเพิ่มตามจุดต่างๆ
- เค้าไม่พอใจหากเราจะมีแฟน เค้าจะไม่พูดอะไรกับแฟนเรา รับไหว้และก็ถามคำตอบคำ หลังจากนั้นเค้าก็จะมาคอยบอกเราว่า คนนั้นไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เราเลิกซะนะ ถ้าเราไม่พูดกับเค้า เค้าจะแปะกระดาษค่ะบอกให้เราเลิก แล้วก็ทำปั้นปึ่งกับแฟนเราเหมือนเดิม บางคนก็ทนไม่ได้ จนบางทีเรารู้สึกว่า เราอยากมีครอบครัวมากๆ ค่ะ เราอยากแต่งงาน เราจะได้แยกบ้านออกไป แต่เราก็เลิกกับแฟนไปหมดแล้วนะคะ บางคนเค้าก็ทนไม่ได้ค่ะที่แม่ไม่ชอบและแสดงท่าทีชัดเจนแบบนั้น
- พออีกที แม่ก็จะบอกว่าเราไมไม่หาแฟนรวยๆ การงานดี มีหน้ามีตา แต่งงานกัน อายุไม่น้อยแล้ว เมื่อไหร่จะมีหลานซักที เราไปหาได้ที่ไหนคะเนี่ยแบบนี้ แล้วคนที่เราคบ ไม่ดีตรงไหนเหรอคะ เราคบแล้วเราสบายใจ แต่แม่มาเซ้าซี้ให้เราเลิกตลอด แล้วก็มาบอกให้เราแต่งงานได้แล้ว
- แม่บังคับให้เรารับศีลค่ะ โดยที่เราก็เฉยๆ ตามใจ ใจเราแค่รู้สึกว่าเราทำดี เราช่วยเหลือคนอื่น ไม่เบียดเบียนใครก็น่าจะพอแล้ว เราเลยตามใจแม่ค่ะ แต่บางทีที่แม่รู้ว่าเราไปไหว้พระกับแฟนหรือเพื่อน แม่จะว่าเราค่ะ แม่ไม่พอใจมากๆ ว่าเราเป็นคนบาปที่ไปกราบไหว้พระอื่นนอกศาสนา ไม่เจอตัวแต่เจอรูปที่เราไปเที่ยววัดมา แม่ก็จะเขียนโน๊ตด่าค่ะ จนต้องซ่อนรูปบ้างอะไรบ้าง กลัวไปหมด เราไม่รู้ว่าเราควรจะพูดอะไรกลับไปไหม ว่าเราไม่ได้เคร่งเลย ตอนนั้นเราก็รับศีลแค่เพราะแม่บังคับ หรือเฉยๆ ไปดี เราแค่เฉยๆ เรื่องการนับถือศาสนาค่ะ อย่าว่าเราเลยนะ
- แม่ชอบมาถามว่าอายุขนาดนี้แล้ว ทำงานมาก็ตั้งนาน เมื่อไหร่จะเป็นเจ้าคนนายคน ได้เลื่อนตำแหน่ง ได้เงินเดือนสูงๆ เราว่าเราก็พอใจในเงินเดือนตัวเองนะคะ ไม่ได้สูงมากแต่เราก็อยู่สบาย พูดเหมือนได้ทุกอย่างมาง่ายๆ เลยค่ะ
ขอประมาณนี้ก่อนนะคะ เราอึดอัดมากจริงๆ ค่ะ ใจเราอยากแยกออกไปบ้างเหมือนพี่ชายนะคะ เผื่อจะสบายใจขึ้น เพราะทุกวันนี้ ก็ทะเลาะกันบ่อยเหมือนกัน ถ้าเราไม่ว่าอะไรเค้าก็จะไม่หยุดค่ะ แต่พอเราทะเลาะด้วย เค้าก็จะหยุดบ้าง แต่ก็จะเป็นแบบเลิกคุยกันซักพักนะคะ ชีวิตมันเลยวนเวียนเป็นแบบนี้ จนเราเหนื่อยมากๆ ค่ะ ชีวิตออกจะสั้น ทำไมเราขอมีความสุขบ้างจะผิดไหม ถ้าจะทิ้งเค้าไปเช่าบ้านอยู่เอง
แต่พ่อเราก็ไม่ค่อยอยู่บ้านนี่ค่ะ พ่อเราจะอยู่อีกบ้านนึง ทำสวนค่ะ แยกไปอยู่เงียบๆ จริงๆ ก็เบื่อแม่เหมือนกัน สองเดือนพ่อเราก็กลับมาอยู่ด้วย 2-3วันค่ะ แล้วก็ไปดูสวนต่อ เราก็เลยรู้สึกว่าแม่ก็อยู่บ้านคนเดียวเหมือนกัน แต่เค้าก็จะมีกลุ่มเพื่อนเค้านะคะ และก็ไปเยี่ยมคุณตาคุณยายบ่อยๆ ค่ะ เราไม่รู้จะทำยังไงดี ทะเลาะกันมากๆ ก็อยากจะออกไปมากๆ แต่พอใจเย็นลงก็ทิ้งแม่ไม่ลง แต่กลายเป็นว่าทุกอาทิตย์มันก็จะมีเรื่องให้หงุดหงิดตลอด อย่าอะไรเลยค่ะ เจอโน๊ตแทบทุกวันก็เหนื่อยแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งคือ เราเพิ่งคบกับแฟนค่ะ คบได้หกเดือนแล้วค่ะ เราคิดว่าเค้าเป็นคนดีนะคะ แต่เรายังไม่แน่ใจ อยากคบให้นานกว่านี้ แต่แฟนเราเค้าบอกว่าอยู่ด้วยกันไหม ย้ายมาอยู่ก็ได้ หรือแต่งงานก็ได้ เค้าชอบเราจริงๆ และเข้าใจเรื่องแม่ค่ะ ย้ายมาอยู่ แม่คงไม่ชอบ แต่จะแต่งเหรอคะ เรายังไม่แน่ใจเลย เรารู้สึกว่าปัญหาใหญ่ในชีวิตของเราตอนนี้คือแม่ค่ะ เราก็อยากหนีปัญหาด้วยการไปแต่งกับแฟน แต่เรายังไม่มั่นใจตัวเค้า และไม่รู้ว่าหนีปัญหาด้วยวิธีนี้จะดีหรือเปล่า
ขอโทษนะคะ บ่นมาซะยาวเลย เครียดมากจริงๆ นะคะในทุกๆ วัน ขอบคุณค่ะ