เครียดมาก เกลียดแม่ตัวเอง

เรามีเรื่องเครียดที่ทนไม่ไหวแล้ว ขอเล่า ขอให้รู้สึกว่ามีคนรับรู้เรื่องราวความทุกข์ของเรา
เรื่องของเรื่องคือแม่ชอบด่า ชอบว่า แต่สิ่งที่แม่ว่า ไม่ใช่สิ่งที่เราทำผิดค่ะ
เริ่มเลยนะคะ
ตอนเป็นเด็ก อยู่ ป.1 แม่ก็ว่าเราว่าหน้าตาขี้เหร่ หางานทำไม่ได้หรอก ไม่เหมือนน้อง
น้องสวย ไม่ต้องเรียนสูงๆ หรอก เดี๋ยวก็หาผัวรวยให้ผัวเลี้ยง
แม่พูดย้ำกับเราบ่อยมาก และตอนนั้นเราเพิ่งอยู่ ป.1
เราเป็นเด็กเรียน ตั้งใจเรียนค่ะ ก็คิดมาตลอดว่า หน้าตาเกี่ยวอะไรกับการทำงาน
ตอนเด็กเราเรียนได้เกรดสี่หมด ยกเว้นวิชาพละ เพราะไม่เก่งเลย ได้แค่ 3
แต่แม่กลับพูดว่า ทำสี่หมดก็ไม่ได้
คิดดูหัวใจเด็กประถมสิคะ จะเจ็บช้ำแค่ไหน วาดหวังว่าแม่จะชื่นชม แต่กลับได้ตรงกันข้ามเลย
ตอนเด็กพ่อเราไม่ทำงานที่ต่างประเทศค่ะ แม่อยู่กับลูกสามคน
พี่ชายก็จะขี้แยติดแม่ตลอด น้องก็ยังเล็ก แม่ก็ต้องคอยดูแล
ไปไหนแม่จะเอาพี่กับน้องไปด้วยตลอด แต่เราต้องอยู่เฝ้าบ้านทุกครั้ง
เวลานอนแม่ก็จะนอนตรงกลาง มีพี่กับน้องขนาบข้าง ส่วนเรานอนริมสุดค่ะ
ทุกคืนเราจะนอนติดริมหน้าต่าง แล้วก็จะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ข้าง เวลาลมพัดกิ่งไม้ไหวมีเสียงใบไม้เสียดสีกัน
เรากลัวมาก เราหลับไปด้วยความรู้สึกกลัวตลอด มันมืดๆ ไหวๆ เป็นเงาๆ ค่ะ
มีครั้งนึงได้นอนใกล้แม่ อยากกอดแม่แต่ไม่กล้า ไม่คุ้นเคย
คิดดูถึงความรู้สึกของเด็กประถมสิคะ ไม่กล้ากอดแม่ตัวเอง
ตอนเด็กเราไม่เคยเรียกร้องอะไรจากแม่เลย จะเป็นเด็กเงียบๆ มีแค่ครั้งเดียว คืออยากได้ตุ๊กตาบาร์บี้ก็บอกแม่
แม่บอกให้เรียนให้ได้เลขตัวเดียว ซึ่งปกติเราได้อยู่แล้ว
แต่กับน้องเรียนแย่มาก ผลสอบออกมาได้เกือบโหล่ แม่ก็จะซื้อเสื้อผ้า กระโปรงฟูๆ ให้ เพราะสอบไม่ได้ที่โหล่
พี่กับน้องจะชอบคลอเคลียกอดแม่ตลอด มีครั้งหนึ่งน้องกอดแม่อยู่ เราก็เลยเข้าไปบ้าง จะกอดแม่
ก็จะดึงตัวน้องออกมา แม่ก็ว่าว่าเราเป็นเด็กขี้อิจฉา ความรู้สึกในวันนั้นมันยังติดอยู่ในใจจนวันนี้
แต่วันนี้เราไม่อยากอยู่กับแม่แล้ว อยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง อยากมีครอบครัวของตัวเอง
ทุกวันนี้แม่อยากให้เราไปอยู่ด้วย แต่มันสายไปแล้ว เราไม่ต้องการแม่แล้ว
เรากับแม่จะอยู่กับเงียบๆ ค่ะ ไม่คุยกัน แม่จะคุยเล่นกับพี่กับน้องตลอด แต่ไม่คุยกับเรา
แม่กับพี่ชายสนิทกันมาก ขนาดพี่โตเป็นหนุ่มแล้ว สิบกว่าขวบ แม่ยังเดินเข้าไปในห้องน้ำตอนพี่อาบน้ำได้เลย
พอจบประถมเราก็มาเรียนที่กรุงเทพค่ะ ก็อยู่หอพักเป็นหอพักหญิง
แม่ให้เงินเราใช้แบบน้อยมากๆ เราอยู่มัธยม ได้ค่ากินใช้แค่ 2000 ค่าหอ 600 นี่ประมาณยี่สิบปีมาแล้วค่ะ
แต่ตอนนั้นก็ถือว่าน้อยมากๆ เพราะต้องกินอยู่ค่ารถ ค่าใช้จ่ายส่วนตัวทุกอย่าง เราก็อยู่แบบกระเบียดกระเสียนมาตลอด
อยู่หอก็ไม่เคยดูทีวี ไม่มีทีวีให้ดู คุยกะใครก็ไม่รู้เรื่อง
พอเราเอ็นท์ เราจำได้บาดแผลในใจเราคือเราไม่ได้ไปรับน้องที่สนามจุ๊บ เพราะก่อนหน้านี้แม่ให้เราสมัครราชภัชไว้ค่ะ เพราะกลัวเอ็นท์ไม่ติด
ซึ่งสอบราชภัชตรงกับวันประกาศผล ซึ่งเราได้รับผลทางไปรษย์แล้วว่าสอบได้ แต่แม่ก็ให้ไปสอบอีกเพราะกลัวว่าเราจะตกสัมภาษณ์
แม่บอกว่าถ้าสัมภาษณ์ไม่ผ่านจะทำยังไง ทั้งๆ ที่มีน้อยมากที่จะไม่ผ่าน เค้าก็สัมภาษณ์ไปงั้นแหละ ถ้าไม่ผิดปกติจริงๆ หรือด่าอาจารย์เค้าก็ต้องให้ผ่านอยู่แล้ว แม่ทำให้เราไม่ได้ไปรับน้องสนามจุ๊บ ซึ่งมันมีครั้งเดียวในชีวิต ความรู้สึกแบบนั้นอารมณ์แบบนั้น ที่เค้าว่ากันว่าวัยรุ่นมีครั้งเดียว แม่สร้างแต่ความวิตกกังวลให้เราตลอด
พอเราเข้ามหาลัยแม่ก็ให้เงินใช้ 3000 ซึ่งค่าห้องขึ้นมาเป็น 800 เราต้องกินใช้ทุกอย่าง ซึ้อตำราเรียน ค่าใช้จ่ายในมหาลัยก็เยอะ
เพื่อนชวนไปเดินเล่นห้าง ไปกินฟิซซ่าฮัท เราเคยไปจ่ายทีนึงก็ 70 กว่าบาท เรารู้สึกว่ามันเงินที่เราจะใช้ได้วันนึงเลยนะ ตั้งแต่นั้นมาเพื่อนชวนเราก็ไม่ไป พอหนสองหน เพื่อนก็เลิกชวนแล้ว เราก็เลยไม่มีกลุ่มเพื่อน เหมือนตัวคนเดียวมาตลอดที่เรียนมหาลัย
สมัยเรียนมหาลัยเพื่อนเค้าก็อาร์พาร์ทเม้นแล้วหารกันอยุ่กัน มีทีวี ตู้เย็น วิทยุ ใช้ครบทุกอย่าง แต่เราอยู่หอพัก มีแต่เตียง ตู้ พัดลม แค่นั้นจริงๆ
ที่หอไม่อนุญาตให้มีเครื่องใช้ไฟฟ้าอะไรเลย เป็นบ้านไม้แบบเรือนแถวแล้วก็ซอยเป็นห้องเล็กๆ เอาไม่อัดกั้น ติดมุ้งลวดด้านบน แต่หอที่เราอยู่ดีนะ สะอาดปลอดภัย เลือกคนอยู่ ต้องคนเรียบร้อย ไม่มีสมบัติเยอะ จะมาอยู่แบบอาร์พาร์ทเม้นไม่ได้
เราไม่เคยเดินห้างเลย ห้างนี่เหมือนเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากในสายตาของเรา เวิล์ดเทรด สมัยนั้น กับพวกเซ็นทรัล เราไม่เคยเดินเลยนะ
ไปแต่ตั้งฮั่วเส็งบางลำพู เราเพิ่งจะกล้าเดิน ctw เมื่อ 2-3 ปีมานี่เอง เหมือนมันเป็นอะไรที่ดูยิ่งใหญ่มาก ไม่กล้าไปเดินอ่ะ ทั้งผู้คน และร้านค้า
รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นบ้านนอกเข้ากรุงยังไงก็ไม่รู้ ไม่มั่นใจที่จะไปเดิน ทั้งที่อยู่กรุงเทพมาตั้งนานหลายปี
เราเพิ่งได้กิน KFC เมื่อเรียนจบทำงานแล้ว สเวนเซ่น ก็กินตอนปี 4 ตกใจมาก ไอติมอะไรถ้วยนึงต่ำสุด 50 บาท กินแล้วเครียดเลย
คือเราไม่เคยใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย เรามีเด็กวัยเดียวกันที่หอพัก ตกเย็นก็มาคุยและ วันนี้กินสเวนเซ่น กินโน้น กินนี่ ซื้อเสื้อผ้าจัสปาว AIIZ มาอวดเราแทบทุกวัน มีกันสองคนพี่น้อง ค่าห้องเดือนละไม่ถึงพัน แต่สองคนนี้ใช้เงินรวมกันเดือนละหมื่นกว่าบาท แล้วโทรขอเพิ่มครั้งละ 3000 - 4000 ตลอด ต้องมายืมเงินเราทุกครั้งระหว่างรอแม่โอนเงินให้ แต่ตอนนี้สองคนนั้นได้ดีไปหมดแล้ว เรียนจบ ป.โท มีการงานทำบริษัทใหญ่โต มีเพื่อนฝูง มีสังคม มีความมั่นใจในตัวเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนเก่งเลย เราต้องสอนการบ้านตลอด แต่สุดท้ายเค้ากลับได้ดีกว่าเรา
เราโตมาแบบเงียบๆ เช้าไปทำงาน เย็นกับหอ ไม่เคยแวะไปที่ไหนเลย ชีวิตมีอยู่แค่นี้ ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
พอเราเรียนจบทำงานแม่ก็มาพูดให้กังวลอีกว่า ไม่ผ่านโปรหรอก ใครมันจะให้ผ่าน มันอยากจ้างแต่เด็กๆ เงินเดือนถูก มันไม่ให้ผ่านโปรแล้วก็หาเด็กมาทำใหม่ ดูความคิดแม่เราสิคะ สร้างความหวาดหวั่นให้เราตลอด เรากลัวไม่ผ่านงานมากๆ ทุกวันตกเย็นเราจะรู้สึกโล่งอกว่าไม่ได้ไล่ออกจากงานแล้ว แม่ไม่รู้หรอกว่าสร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้เราเท่าไหร่
แล้วบ้านเราอยู่กับแบบไม่เคยไปไหน ไม่เคยไปเที่ยวพักผ่อนต่างจังหวัดกับเลย แม่จะมองว่าต้องอยู่แต่ในบ้าน ออกนอกบ้านทำแต่เรื่องไม่ดี
เราเป็นคนชอบดูหนังมาก แต่สมัยเรียนเราไม่เคยไปดูเลย เพราะเงินไม่พอ แต่จะคอยติดตามข่าวตลอด จนเครียดมาก เพระทุกครั้งที่ดูข่าวจากหนังสือพิมพ์ก็จะคิดว่า เมื่อไหร่จะได้ดู จนไม่อยากเครียดแล้ว เราเลิกตามข่าวหนังตั้งแต่อยู่ ม. 4 พอเข้ามหาลัยเพื่อนเค้าไปดูหนังแล้วมาคุยกัน เราคุยกะเค้าไม่รู้เรื่อง เราโตมาแบบอยู่คนเดียวว เพราะไม่รู้จะพูดอะไรกับใคร เราเรียนจบมาแบบไม่มีเพื่อนเลย
พอเรียนจบแม่จะให้เรากลับบ้าน แม่บอกจะให้มาทำงานร้านฟิซซ่าฮัท แม่บอกเด็กที่โรงเรียนแม่ทำกันเยอะแยะ แม่ทำงานธุรการอยู่โรงเรียนพาณิชย์ค่ะ เราแบบโห แม่จะเคยสร้างความภูมิใจให้เราสักครั้งไหม เอาเราไปเปรียบเทียบกับเด็กพาณิชย์ เราซึ่งจบปริญญาตรี มหาลัยระดับต้นของประเทศไทย ให้ไปทำงานแบบนั้น ไม่ได้ดูถูกแต่มันไม่ใช่ที่ของเรา เราไม่ไป แม่ก็ด่าว่าหัวสูง แม่เคยรู้รึเปล่าว่าจบมาระดับนี้เค้าต้องทำงานแบบไหนทำงานอะไร
เราเป็นเด็กที่เอาแต่เรียนไม่เคยทำตัวเหลวไหลเลย พอเรียนจบ เราเริ่มสมัครงาน เริ่มรู้สึกเหมือนเป็นผู้ใหญ่ เราก็ทาแป้งฝุ่นบางๆ ทาปากบางๆ กลับบ้าน เพื่อแต่งหน้าให้ชิน แม่ก็ด่าว่าเราใจแตก ทั้งที่น้องเรา เรียนพาณิชย์ แต่งหน้าทาปากเขียนคิ้ว ตั้งแต่อยู่ปี 1 แต่แม่ไม่เคยว่าน้องเลย
เราเคยแต่งตัวกลับบ้าน ใส่เสื้อเชิ๊ตแขนยาวเข้ารูป กางเกงผ้า แบบคนทำงานทั่วไป แม่บอกให้ไปเปลี่ยนชุด ไม่งั้นไม่ต้องมาเดินกับชั้นแต่งตัวเหมือนโสเภณี แล้วแม่ก็เอาเสื้อผ้าแม่มาให้ใส่ อธิบายไม่ถูกค่าแต่เป็นเสื้อผ้าแนวคนแก่ ตัวใหญ่ๆ โคร่งๆ สไตล์คุณนายในทีวีใส่กันค่ะ แล้วก็มาด่าว่าเราแก่ ใส่อะไรก็ดูแก่
แต่น้องเรา ย้อมสีผม ทาเล็บสีดำ แม่ไม่ว่า แต่เรากลับมองว่าน้องเราแหละเหมือนโสเภณี ผมทองๆ ปากแดง เล็บดำ
แม่ทำให้เรารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง เราไม่ใช่คนแต่งตัวตามแฟชั่นอยุ่แล้ว แต่ก็อยากสวย อยากทาปากอ่อนๆ ไรบ้าง แม่ก็ว่าเราตลอด
แต่กับน้องไม่เคยว่าเลย แม่เคยมากรุงเทพตอนเราจะไปทำงาน เราใส่กระโปรงสั้นเสมอเข่า แม่บอกว่าเรานุ่งกระโปรงสั้น พอเราใส่กระโปรงยาวถึงตะตุ่ม คนที่ทำงานว่าเราแต่งตัวเชย คือสิ่งที่เราทำมันปกติ แต่แม่จะด่าจะว่าไม่ดีตลอด ซึ่งสิ่งที่แม่มองว่าดี คนปกติเค้าไม่ทำกัน
แล้วแม่เราเป็นพวกเห็นเงินเป็นเรื่องใหญ่มาก ทำงานเก็บเงิน ทำงานเก็บเงิน ชีวิตเค้ามีแต่แบบนี้
บ้านเราไม่เคยกินข้าวนอกบ้านเลย แม่บอกมันเปลือง ทั้งที่บ้านเรามีฐานะ แม่ทำงานบริษัทเอกชน (ก่อนจะมาเป็นธุรการ รร.) เป็นบริษัทใหญ่ในจังหวัด ใครได้ทำก็เรียกได้ว่ามีฐานะทางการเงินและทางสังคมของที่นั่นเลยแหละ ไม่ใช่แม่ค้า ไม่ใช่พวกหาเช้ากินค่ำปากกัดตืนถืบ แต่แม่ก็ไม่เคยไปไหนเลย มีวันหยุดก็อยู่แต่บ้าน เก็บเงินไว้
แล้วเรื่องของเรื่องก็คือ พอเราเรียนจบก็ย้ายจากหอพักมาอยู่อาร์พาร์ทเม้น ซึ่งไม่ได้อยู่หรูหราหรือแพงเลย อยู่แบบปกติทั่วๆ ไป ที่คนทำงานอยู่กัน ไม่ได้อยู่เดือนละ 4000 - 5000 เลย แม่ก็ว่าไฮโซ ต้องอยู่แบบมีห้องน้ำในตัว เราซื้อของเข้าห้องก็ว่า ว่าใช่บ้าน จะซื้อทำไม ทีวีตู้เย็น ทั้งๆ ที่คนปกติใครๆ เค้าก็มีกัน มีมากกว่าเราอีก  แม่สร้างความกดดันให้เรา ให้เรารู้สึกว่าเราเป็นคนไม่ดี เราผิด ทั้งๆ ที่เรื่องที่เราทำมันเป็นเรื่องปกติ
เราไม่เคยหรูหราฟู่ฟ่า ไม่ใช้ของเบรนแนม ไม่กินกาแฟยี่ห้อดัง แต่แม่ก็ด่าว่าเราใช้เงินเปลื่องตลอด ซึ่งเราไม่ได้ใช้อะไรเลย แต่งตัวแต่งหน้าก็ไม่ได้แต่ง
กลับบ้านไปทีนึง หรือโทรหาแม่ทีนึงแม่ก็จะด่าว่าใช้เงินเปลื่องไม่รู้จักเก็บเงิน เอาแต่เที่ยว ดูหนัง คือด่าเราตลอด เรารู้สึกไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากยุ่งกับผู้หญิงคนนี้ เกลียดมันอยากให้มันตายๆ ไปไวๆ จะได้ไม่มีคนมาคอยด่าให้เสียดแทงใจเรา
แต่น้องเราอยู่อาร์พาร์ทเม้น กับแฟน แม่ก็ไม่เห็นว่าไร แม่ไม่เคยบังคับให้น้องไปอยู่หอหญิงราคาถูกๆ เหมือนเราเลย
ล่าสุดตั้งแต่สงกรานต์มาจนเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา เรากลับบ้าน มา 2- 3 หน เพราะมีวันหยุดเยอะ แม่พูดแต่เรื่องห่อข้าวไปกินตลอด ซึ่งปกติเราก็ทำกับข้าวง่ายๆ พวกผัดผัก ไข่เจียวไปกินอยู่แล้ว แต่แม่ก็จะว่า ว่าขี้เกียจ มักง่าย รักสบาย ไม่อยากเก็บล้าง ซื้อกิน ใช้เงินฟุ่มเฟื่อย ซึ่งเราทำงานที่ผ่านมามีคนเอาข้าวไปกินน้อยมาก แล้วที่ปัจจุบันก็มีเราคนเดียวที่เอาข้าวไปกิน ทุกคนมีแต่พูดว่า ทำกินทำไม ให้เหนื่อย ซื้อกินสบายกว่า เราก็ไม่ว่าไร เพราะเราชอบทำกับข้าว อีกอย่างก็ประหยัดด้วย แต่เราไม่ได้เคร่งเคียดว่าต้องห่อข้าวนะ ซื้อกินไม่ได้แบบแม่ วันไหนเหนื่อยๆ หรืออยากกินอะไรแปลกๆ บ้าง เราก็ซื้อกินเอา ตั้งแต่สงกรานต์จนวันหยุดที่ผ่านมา แม่พูดเรื่องห่อข้าวตลอด ห่อข้าวมันดีโง้นงี้ แกมันไม่รู้จักประหยัด คือเราเครียดอ่ะ เราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่เคยเอาเงินไปเที่ยวกินเหล้า สำมะเลเทเมา แต่แม่ด่าเราแบบไม่มีดี
น้องเราก็เหมือนกัน ตั้งแต่แต่งงานจนเลิกกับแฟน ก็ยิ่งแต่งตัวเก่งขึ้นใส่สายเดี่ยว แขนกุด กางเกงขาสั้น กลับบ้านตลอด แม่ก็ไม่เคยว่า มันเห็นตำตาหลายทีไงตั้งแต่สงกรานต์ มาแล้วไม่ด่าไม่ว่า น้องแต่งตัวแบบนี้กลับบ้านตลอด ออกไปข้างนอกก็แต่งแบบนี้ แต่ไม่ไม่ด่าไม่ว่าสักคำ
ตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว น้องซื้อเครื่องสำอางค์ใช้ แม่ก็ไม่เคยว่าว่าสิ้นเปลือง นี่น้องเรามีทุกอย่าง รองพื้น แป้งทาหน้า ลิปติก ที่ทาตา ดัดขนตา
เดือนๆ นึง ซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางค์ไม่รู้เท่าไหร่ แม่ก็ไม่เห็นว่าเลย แต่มาด่าเราเรื่องห่อข้าวตลอด
เรื่องมอเตอร์ไซค์ก็เหมือนกัน คือเราเป็นคนที่ไม่นั่งมอเตอร์ไซค์เลย เพราะมองว่าเปลือง เดินเข้าซอย ไกลแค่ไหนเราเดินเอาตลอด ไปไหนมาไหนถ้าไม่ไปไกลๆ จริงๆ เราเดินตลอด รถเมล์ยังไม่ขึ้นเลย เราเดินจากสีลมไปสาทรตลอด ไม่เคยนั่งรถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์เลย แม่ด่า ด่าแบบไม่รู้ความจริง ว่าเรา รักสบาย ขี้เกียจ ไม่รู้จักเดิน ไม่รู้จักประหยัด ทั้งๆที่ความเป็นจริงเราเดินตลอด แล้วการนั่งมอเตอร์ไซค์ก็เป็นเรื่องปกติของคนกรุงเทพ
อ่านต่อตรง คห. นะคะ พื้นที่หมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่