ปั่นจักรยานไปดูสถานการณ์น้ำที่บางโฉมศรี

ความจริงแล้วตั้งใจว่า   วันนี้ตอนเช้าจะปั่นไปไหว้หลวงพ่อเจ็ก วัดระนาม หนึ่งใน 9 เกจิของเมืองสิงห์  แต่เนื่องจากลูกชายบอกว่าจะมีเพื่อนมาทำรายงานที่บ้าน 3 คน  พ่อไปรับที่ท่ารถหน่อยสิ   เลยต้องเลื่อนมาปั่นตอนเย็นแทน  ตั้งใจจะออกสักสี่โมงเย็น  มัวหานู่นหานี่  เลยไปจน 16.45 น. ถึงได้ฤกษ์ออกจากบ้าน  ปั่นเลาะริมแม่น้ำเจ้าพระยามาทาง สนง.เทศบาล  เห็นติดตั้งเครื่องสูบน้ำ วางท่อข้ามถนน รถราวิ่งไม่ได้  ทั้งๆที่มีระบบสูบน้ำด้วยไฟฟ้ามูลค่าหลายล้านบาท  แต่ไม่ใช้  ผ่านไปทีไรเห็นแต่เครื่องสูบน้ำบุโรทั่ง ใช้น้ำมันดีเซล เดินเครื่องอยู่ทุกที  ไม่รู้เหมือนกันว่าไอ้หลายล้านบาทนั้น  มันทำงานได้สักแสนสองแสนหรือเปล่า

     ปั่นผ่านเทศบาลข้ามสะพานแม่น้ำเจ้าพระยา   มีคนตกปลากันเยอะ  วิวสวยระดับน้ำเต็มลำน้ำพอดี  เขื่อนหน้าเทศบาลยังเหลือระดับอีกกว่าสองเมตรน้ำจึงจะล้น  ปั่นไปถึงแยกไกรสรณราชสีห์  เลี้ยวซ้ายวิ่งเลาะคลองไปทางอินทร์บุรี  เวลาห้าโมงกว่าแล้วไม่น่าจะไปถึงวัดระนามได้  เลยเปลี่ยนเป้าหมายใหม่  เอาแค่บางโฉมศรีพอ  ปั่นเลาะคลองยามเย็น อากาศดี  ตอนแรกฟ้ามืดเหมือนฝนจะลง  แต่ไม่กลัวเตรียมถุงพลาสติกมาใส่โทรศัพท์แล้ว   ปั่นผ่าน อบต.บางมัญ  อบต.โพกรวม  เข้าบ้านไร่  ถึงอินทร์บุรีประมาณหกโมงเย็น   ถนนสายที่วิ่งผ่านมานั้น  เรื่มมีชาวบ้าน ชาวช่อง  มาปลูกเพิงพักกันบ้างแล้ว ยิ่งช่วง อบต.ท่างามยิ่งมีเยอะ แสดงว่าชาวบ้านเองก็ไม่ไว้วางใจพายุผีเสื้อลูกนี้เหมือนกัน  ชาวบ้านจะมาสร้างเพิงพักอาศัยกินอยู่หลับนอน  เอาคนแก่ ผู้หญิง เด็กๆ คนป่วย มาอาศัยนอนที่เพิงพัก  ส่วนผู้ชายต้องเฝ้าบ้าน เพราะห่วงทรัพย์สิน  โจรมันเอากระทั่งไม้กระดานบ้านเรือน  เพราะฉะนั้นเพิงพักต้องใกล้บ้านให้มากที่สุด  บางคนเอาสีมาพ่นที่ถนนจองไว้ก็มี

   ปั่นมาเรื่อยผ่านวัดกำแพง วัดนี้ให้หวยแม่นได้ข่าวว่าถูกมาสามงวดติดๆ  งวดที่สี่ตามฟอร์มกินเรียบเหมือนเดิม   พูดถึงหวยแล้วให้เจ็บใจนัก สมัยท่านทักษิณปราบเรียบราบคาบไปแล้ว  ทั้งยาบ้าทั้งหวยเถื่อน   ผมเกิดมาเคยซื้อล็อตเตอรรี่ใบละ 80 บาท ในสมัยท่านทักษิณเท่านั้น  หลังจากนั้นไม่เคยมีอีกเลย ทักษิณจะเลวจะชั่วอย่างไรผมไม่รู้ เพราะผมไม่เคยเห็นแบบจังๆ  หรือมีหลักฐานแบบจะๆ  แต่เรื่องการปราบยาบ้านี่ มันสุดแสนที่จะติดตราตรึงใจผม ต่อให้ร้อยอภิสิทธิ์  พันชวน หลีกภัย  ก็ไม่มีทางทำได้  สำหรับนายกยิ่งลักษณ์ แม้จะจับได้ทีแสนทีละล้านเม็ด  แต่การแพร่ระบาดก็ยังรุนแรง  เพราะรากฐานของพวกนี้มันสานเกาะเกี่ยวกันเกินกว่าจะปราบได้ด้วยกฏหมายธรรมดาแล้ว  ต้องเล่นแบบพิเศษๆสักสองสามพันศพ  รับรองจะเงียบสนิทเลย  ยิ่งไอ้พวกอยู่ในคุกยิ่งดีใหญ่  เอาแบบเงียบๆหลับตายไปเองยิ่งดี

    ปั่นมาจนถึงประตูน้ำบางโฉมศรีจนได้  ประตูนี้เองที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ของน้ำ  ประตูนี้กั้นคลองเชียงรากที่เชื่อมต่อมาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งน้ำเข้าทุ่งนาฝั่งตะวันออกของสายเอเซีย  ซึ่งเชื่อมไปถึง ท่าวุ้ง บ้านหมี่  ตาคลี  จนถึงอยุธยา วังน้อย โรจนะ   ประตูนี้พังเมื่อปี 54  หลังจากที่ก่อนหน้านั้นก็เกือบพังมาหลายทีแล้ว  ปี54ก่อนที่ประตูจะพัง  ที่บริเวณนี้จะเป็นจุดเฝ้าระวังน้ำ  มีทหาร ชาวบ้านจากลพบุรี  มาคอยเฝ้าประตูนี้ 24 ชม. อาวุธครบมือ  ชาวลพบุรีรู้ดีว่าถ้าประตูนี้พัง ลพบุรีจมน้ำแน่ โดยเฉพาะ อ.ท่าวุ้ง บ้านหมี่  ตอนนั้นสิงห์บุรีวิกฤติหนัก ระดับน้ำสูงท่วมแทบจะทุกอำเภอ ไม่ต้องนับ เมือง  อินทร์บุรี  พรหมบุรี  แม้กระทั้งท่าช้าง บางระจัน  รวมถึงอำเภอที่ดอนที่สุดที่ชาวบ้านบางระจันเลือกเป็นชัยภูมิในการต่อสู้กับพม่า อย่าง อ.ค่ายบางระจันยังพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วยในตำบลที่อยู่ติดแม่น้ำน้อย  ตอนนั้นกลางคืนผมเดินดูน้ำที่ริมเขื่อนหน้าเทศบาลแทบทุกวัน  เห็นน้ำแล้วคิดว่าเขตเศรษฐกิจของสิงห์บุรีไม่รอดแน่  จึงพากันอพยพครอบครัวไปอาศัยอยู่ที่ตึกแถวที่สายเอเซีย  ลำบากมากน้ำก็ไม่ค่อยไหล ต้องขับรถไปอาบน้ำตามปั๊มน้ำมัน อาหารการกินก็ขาดแคลน
   
      แต่พอประตูบางโฉมศรีพัง มวลน้ำมหาศาลก็ไหลบ่าลงทุ่ง  เป็นเหตุให้ ลพบุรีและอยุธยาทั้งเมือง จมบาดาลทันที  สิงห์บุรีในเขตเมืองรอด อ่างทองพลอยถูกหวยรอดไปด้วยกัน ระดับน้ำลดลงวันเดียวเกือบ 50 ซม.  ตอนนั้นคนลพบุรีเกลียดคนสิงห์บุรีมาก  เขาเข้าใจว่าคนสิงห์ไปพังประตูน้ำบางโฉมศรี  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  ไม่มีใครไปพังหรอกครับมันพังเอง ทั้งทหารทั้งชายฉกรรจ์เฝ้าทั้งวันทั้งคืน  ถ้าจะพังคงมีการยิงกันบ้าง  และอีกประเด็นก็คือน้ำที่บ่าลงทุ่งนั้นมิได้มาจากบางโฉมศรีที่เดียว  ที่ชัยนาทก็หลายจุด

    บริเวณประตูน้ำบางโฉมศรีวันนี้ การก่อสร้างยังไม่เสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์  แต่ก็น่าจะมากกว่าแปดสิบแล้ว  มีรถของกรมชลจอดอยู่หลายสิบคัน   ตอนผมไปหกโมงกว่าคนงานยังไม่เลิกงาน คงทำโอแข่งกับน้ำที่จะมาเพิ่มอีก  ประตูบางโฉมศรีวันนี้ แข็งแรง  แน่นหนา ไมน่าที่จะพังง่ายๆอีกแล้ว  ผมยืนดูอยู่พักหนึ่งก็ต้องรีบกลับเพราะเกือบจะทุ่มหนึ่งแล้ว  ความจริงวัดระนามก็ไปอีกไม่ไกล ไม่น่าจะเกิน 10 กม. แต่ต้องวันหลังแล้ว  ขากลับปั่นกลับมาทั้งมืดๆ  ทางเปลี่ยวบ้าง มีคนอพยพหนีน้ำมานอนข้างถนนบ้าง  สรุปแล้วไม่น่ากลัวเท่าไหร่ กลับถึงบ้านเกือบสองทุ่มใช้เวลาปั่นเกือบสาม ชม. ระยะทาง 50 กม.เฉลี่ย 18.4  แม็กซ 27  เผาไป 600 แคลอรี่  ก่อนจบขอฝากคำพูดของแม่ค้าที่ผมแวะซื้อสปอนเซอร์กินจากแผงลอยข้างทางที่แกอพยพขึ้นอาศัยในภาวะแบบนี้  ผมบอกแกว่าศาลรับฟ้องจากพรรค ปชป. ให้ล้มโครงการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล  แกบอกว่า[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่