Memory in loveความทรงจำรักเขย่าหัวใจยัยตัวดี (ตอนที่1) :คาร่า

กระทู้สนทนา
1

สิบปีต่อมา
@ ร้านเรนโบว์นมสด
“เฮ้อ~”  เสียงถอนหายใจของฉันดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยหลังจากเข้ามานั่งในร้านนี้เป็นชั่วโมงแล้ว
“เฮ้อ~”
“แกเป็นอะไรของแกเนี่ย ฉันเห็นแกถอนหายใจเป็นชั่วโมงมาตั้งแต่เข้าร้านแล้วนะ”  เสียงของยัยนัท เพื่อนสนิทฉันดังขึ้น
“ก็เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกแกนั่นแหละ เฮ้อ~”  ว่าแล้วก็ขอถอนหายใจอีกสักรอบ
“เรื่อง?”
“ฉันต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษ”  เมื่อฉันพูดจบ ยัยนัทก็ทำท่าตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้
“จริงเหรอ”
“อืม แม่บังคับให้ฉันไปเรียนน่ะ บอกตามตรงนะ ฉันไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอกอยากเรียนเกรดสิบเอ็ดที่เมืองไทยมากกว่า”
         ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกโรงเรียน ฉันนึกว่าจะได้อยู่บ้านมีชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนสาวฤดูร้อนทั่วไปซะอีก แต่จู่ๆแม่ก็ดันมาบอกให้ฉันไปเรียนต่อเมืองนอก ที่จริงแม่จะให้ฉันไปตั้งแต่ฉันอยู่เกรดเก้า(เท่ากับม.3ในเมืองไทย)แล้วแต่ตอนนั้นฉันก็แกล้งโกหกแม่ไปว่าติดสอบยาวแถมปิดเทอมยังต้องมาช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียนอีกแม่ถึงยอม ฉันเคยถามแม่แล้วว่าทำไมถึงอยากให้ฉันไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนัก ท่านก็จะบอกว่า
‘ลูกจะได้มีประสบการณ์และได้เรียนรู้วัฒนธรรม ภาษาที่แตกต่างกันเหมือนคนอื่นเขาบ้าง’
และพอมาครั้งนี้ฉันใช้แผนเดิมหลอกแม่อีกล่ะ แต่แม่ก็จับได้เพราะดันไปถามอาจารย์มาจนรู้ว่าฉันโกหกน่ะสิ ฉันกำลังจะปฏิเสธอยู่แล้วแต่แม่ก็มาขู่ว่า ถ้าฉันไม่ยอมไปเรียนต่อต่างประเทศก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รับประกาศนียบัตรจบม.6เลย แรงอ่ะ~ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงจำต้องยอมทำตามที่แม่บอกเพื่ออนาคตของฉันเอง
“ว่าแต่แกจะไปวันไหนล่ะ”  ยัยนัทถาม
“พรุ่งนี้ -_-”
“พรุ่งนี้ แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอกฉันล่ะ ฉันตั้งตัวไม่ทันเลยนะ ”
“แล้วหลายวันมานี้แกเห็นว่าฉันว่างนักรึไงฮะ ไหนจะต้องจัดกระเป๋า ทำพาสปอร์ต บลาๆๆๆ”
“เออๆ รู้แล้วว่ายุ่ง แกไม่ต้องสาธยายขนาดนั้นก็ได้”
“อ้าว~แกอยากรู้ฉันก็เลยบอกรายละเอียดให้หมด ไม่ดีรึไง”
“เออ ”
“แล้วแกหาที่พักอยู่ที่พักในลอนดอนได้รึยัง”
“แม่บอกว่าจะให้ฉันไปพักอยู่กับครอบครัวน้าซินน่ะ”
“น้าซิน ? เพื่อนของพ่อแม่แกที่เคยอยู่บ้านติดกันตอนแกเด็กๆเนี่ยนะ”
“...อืม”  ทุกคนคงยังไม่รู้ว่าหลังจากที่น้าภู(สามีน้าซิน)และน้าซินปิดบริษัทBolionในเมืองไทยไปแล้ว พวกเขาก็ย้ายไปตั้งบริษัทใหม่ที่อังกฤษ ทำให้บริษัทนี้เป็นอีกบริษัทที่มีชื่อเสียงมากในอังกฤษและมีผู้ร่วมหุ้นให้กับธุรกิจนี้เยอะมาก น้าซินตั้งชื่อบริษัทนี้ว่า  ‘Justin castle’  ซึ่งบริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรและการออกแบบเครื่องประดับนานาชนิดที่ทำจากคริสตัล รู้สึกว่าธุรกิจใหม่ของพวกเขานี้จะดีกว่าตอนอยู่ที่เมืองไทยซะอีก มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้เลือกที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ลอนดอน คงเป็นเพราะที่นั่นมีแต่บริษัทที่สนับสนุนธุรกิจของน้าภูและน้าซินมั้ง พวกเขาจึงทำธุรกิจได้สบายโดยไม่มีคู่แข่งเลย
เอ้อ  ฉันว่าชื่อบริษัทที่น้าซินตั้งขึ้นคงมาจากชื่อลูกบุญธรรมของเธอนั่นแหละ ฉันได้บอกไปรึยังว่าหลังจากที่พี่เคเสียไปได้ไม่กี่เดือนน้าซินและน้าภูได้อุปการะเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรมชื่อ ‘จัสติน’ ฉันคิดว่าน้าซินก็คงเหงาและยังคิดถึงพี่เคอยู่เหมือนกับฉันนั่นแหละ เท่าที่รู้มานายจัสตินอะไรนี่อายุก็น่าจะมากกว่าฉันปีนึงเหมือนพี่เค ทั้งหมดที่เล่ามาฉันก็แค่ได้ยินจากที่แม่เล่าให้ฟังเท่านั้น  แต่ว่าพอคิดถึงพี่เคหัวใจของฉันก็ดูเหมือนจะเจ็บแปล๊บนิดๆ ทำไมฉันถึงลืมเขาไม่ได้นะอุตส่าห์สัญญากับตัวเอง นี่มันก็ผ่านมาสิบเอ็ดปีแล้วฉันน่าจะลืมผู้ชายคนนี้ไปได้แล้วนี่นา หรือว่า...เป็นเพราะความทรงจำดีๆระหว่างเราสองคนในวัยเด็กมันผูกพันจนแทบจะตัดกันไม่ขาดแล้วนะ
“นี่!ยัยหว้าๆ”  เสียงของยัยนัทดังขึ้น ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์เมื่อกี้ไป
“หะ...หา เมื่อกี้แกว่าไงนะ”  ฉันพูดขึ้น
“ฉันเรียกแกหลายรอบแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ปะ...เปล่า ฉันแค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ”
“อืม...แล้วแกจะไปอยู่ที่ลอนดอนนานแค่ไหนอ่ะ”
“ไม่รู้สิ ก็อาจจะเรียนจนจบเกรดสิบสองหรือไม่ก็...จนกว่าจะจบมหาวิทยาลัยที่นั่นเลยก็ได้”  คงต้องแล้วแต่แม่อ่ะนะว่าจะให้ฉันกลับมาเมื่อไหร่
“นานขนาดนั้นเชียว งั้นฉันคงคิดถึงแกแย่น่ะสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ยังออนเฟสบุ๊คหรือเอ็มคุยกันได้นี่”
“นั่นสินะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะขอไปส่งแกที่สนามบินด้วยนะ”
“แน่นอนจ้ะเพื่อนรัก”
ฉันรักเพื่อนคนนี้ที่สุดเลย ถึงบางครั้งเราอาจจะกัดกันบ้างก็ตามแต่ยัยนี่ก็ยังเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่ฉันสนิทที่สุดเลยล่ะ

สนามบินสุวรรณภูมิ
05.30น.
“ฮึก...ฮือ แต่พอมาคิดอีกทีฉันก็ไม่อยากให้แกไปเลยอ่ะเพื่อน”  ยัยนัทเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดเมื่อมาถึงสนามบิน ฉันจึงได้แต่กอดปลอบเพื่อนคนนี้เอาไว้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็บอกแล้วไงว่าคิดถึงก็ออนเอ็มหรือไม่ก็เฟสบุ๊คคุยกันได้ทุกเวลา”  ฉันพูดปลอบยัยนัท
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ได้ยินเสียงแกอยู่ดีอ่ะ”
“โทรศัพท์ไง แต่ถ้าแกกลัวค่าโทรแพงก็คุยทางเว็บแคมได้ ”
“เออ>_<จริงด้วยนี่ ฉันก็ลืมไปเลย แหะๆ”
“แล้วแกก็ไม่ต้องกลัวนะว่าฉันจะไม่กลับมา”ฉันส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนรักที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เอ๋?”
“เพราะ...แม่กับพ่ออนุญาตให้ฉันกลับมาเมืองไทยได้ปีละสองครั้ง ”
“กรี๊ด~จริงอ่ะ”  ยัยนัทรีบผละออกจากฉันก่อนจะกระโดดโลดเต้นใหญ่จนคนเกือบทั้งสนามบินเริ่มหันมามองทางนี้
“ลูกหว้า…มาให้พ่อกับแม่กอดหน่อยสิจ๊ะ”  แม่พูด ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำตาที่กักเก็บไว้นานเริ่มไหลออกมา คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะที่ต้องจากครอบครัวตัวเองไปตั้งนานกว่าจะได้กลับมาเจกันอีก
“หนูคงคิดถึงพ่อกับแม่มากเลยล่ะค่ะ”  ฉันพูดพลางกอดพ่อกับแม่แน่นกว่าเดิม
“ไม่ต้องร้องไห้หรอกจ้ะ ถ้าคิดถึงพ่อกับแม่เมื่อไหร่ก็โทรมาหาหรือส่งจดหมายมาก็ได้นี่จ๊ะ”
“แต่แม่คะ ที่จริงหนูไม่อยากไปเลย”
“เอ๊ะ!เรานี่ยังไงกัน แม่อุตส่าห์ส่งไปเรียนเพื่อหาประสบการณ์ให้ตัวเองจะได้ก้าวทันตามคนอื่นเขาบ้าง ดันมาบอกว่าไม่อยากไปซะได้ลูกคนนี้”  แม่ทำสีหน้าไม่พอใจนิดก่อนจะตีแขนฉันเบาๆ  มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ก็แม่คาดหวังในตัวฉันมากเพราะฉันเป็นลูกคนเดียวของบ้านนี่นา
“ไปเถอะลูกหว้า เรียนแค่ไม่กี่ปีก็กลับแล้ว”  พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
แค่ไม่กี่ปีของพ่อเนี่ยมันนานแค่ไหนคะ สี่ปี...ห้าปีหรือตลอดไปอ่ะ
    ”ก็ได้ค่ะ หนูจะไป”  ฉันพูดออกไปอย่างเสียไม่ได้
[ประกาศ!ท่านผู้โดยสารที่จะบินไปอังกฤษ เครื่องจะออกภายในยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้วค่ะ]
หือ ยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้ว!
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวขึ้นเครื่องไม่ทันนะ”  เมื่อแม่ว่าจบ ฉันก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่ทันที
“หนูไม่อยู่พ่อกับแม่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
“จ้ะ ลูกก็เหมือนกันนะ”  แม่ยิ้มให้ฉัน
“ค่ะ หนูก็รักพ่อกับแม่นะ”
“พ่อกับแม่ก็รักลูก”  พ่อพูดพลางลูบหัวฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ
“ยัยลูกหว้า”  ยัยนัทรีบโผเข้ากอดฉันอีกครั้งโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ทีนี้ยัยนี่กอดฉันซะแน่นจนฉันแทบจะหายใจไม่ออกเลย นี่ฉันแค่ไปเรียนต่อต่างประเทศนะยะ ไม่ต้องทำเหมือนจะไม่ได้เจอฉันทั้งชาติก็ได้
“ยัยนัท...แกปล่อยก่อน ฉันจะขาดใจตายก็เพราะแกนั่นแหละ”
“อุ๊ย!โทษทีๆ”  ยัยนัทรีบผละออกจากฉันทันทีก่อนที่ฉันจะตายจริงๆ
“ฮึก...โชคดีนะแก”
“อืม แกก็เหมือนกันนะ ฉันขออวยพรให้แกได้แฟนเร็วๆละกัน”
“บ้า!เวลาแบบนี้ยังจะมาล้อเล่นกันอีก”  ยัยนัทตีหลังฉันเบาๆ
“งั้นฉันไปนะยัยนัท เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“อืม ว่างๆส่งเมลล์มาด้วยนะ”
“จ้ะเพื่อน”  ฉันพูดพลางโบกมือลาเพื่อนที่สนิทมาตั้งแต่ป.4 ในขณะที่ยัยนี่ก็ยังร้องไห้ไม่หยุดเหมือนเดิมแหละ
“หนูต้องไปแล้วนะคะ สวัสดีค่ะพ่อแม่”  ฉันหันไปลาพ่อกับแม่ พวกท่านส่งยิ้มให้ฉันก่อนที่ฉันจะรีบเดินเข้าไปในเกท
ลาก่อนเมืองไทย...
ลาก่อนทุกคน...
ลาก่อนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของฉัน...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่