1
สิบปีต่อมา
@ ร้านเรนโบว์นมสด
“เฮ้อ~” เสียงถอนหายใจของฉันดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยหลังจากเข้ามานั่งในร้านนี้เป็นชั่วโมงแล้ว
“เฮ้อ~”
“แกเป็นอะไรของแกเนี่ย ฉันเห็นแกถอนหายใจเป็นชั่วโมงมาตั้งแต่เข้าร้านแล้วนะ” เสียงของยัยนัท เพื่อนสนิทฉันดังขึ้น
“ก็เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกแกนั่นแหละ เฮ้อ~” ว่าแล้วก็ขอถอนหายใจอีกสักรอบ
“เรื่อง?”
“ฉันต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษ” เมื่อฉันพูดจบ ยัยนัทก็ทำท่าตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้
“จริงเหรอ”
“อืม แม่บังคับให้ฉันไปเรียนน่ะ บอกตามตรงนะ ฉันไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอกอยากเรียนเกรดสิบเอ็ดที่เมืองไทยมากกว่า”
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกโรงเรียน ฉันนึกว่าจะได้อยู่บ้านมีชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนสาวฤดูร้อนทั่วไปซะอีก แต่จู่ๆแม่ก็ดันมาบอกให้ฉันไปเรียนต่อเมืองนอก ที่จริงแม่จะให้ฉันไปตั้งแต่ฉันอยู่เกรดเก้า(เท่ากับม.3ในเมืองไทย)แล้วแต่ตอนนั้นฉันก็แกล้งโกหกแม่ไปว่าติดสอบยาวแถมปิดเทอมยังต้องมาช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียนอีกแม่ถึงยอม ฉันเคยถามแม่แล้วว่าทำไมถึงอยากให้ฉันไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนัก ท่านก็จะบอกว่า
‘ลูกจะได้มีประสบการณ์และได้เรียนรู้วัฒนธรรม ภาษาที่แตกต่างกันเหมือนคนอื่นเขาบ้าง’
และพอมาครั้งนี้ฉันใช้แผนเดิมหลอกแม่อีกล่ะ แต่แม่ก็จับได้เพราะดันไปถามอาจารย์มาจนรู้ว่าฉันโกหกน่ะสิ ฉันกำลังจะปฏิเสธอยู่แล้วแต่แม่ก็มาขู่ว่า ถ้าฉันไม่ยอมไปเรียนต่อต่างประเทศก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รับประกาศนียบัตรจบม.6เลย แรงอ่ะ~ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงจำต้องยอมทำตามที่แม่บอกเพื่ออนาคตของฉันเอง
“ว่าแต่แกจะไปวันไหนล่ะ” ยัยนัทถาม
“พรุ่งนี้ -_-”
“พรุ่งนี้ แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอกฉันล่ะ ฉันตั้งตัวไม่ทันเลยนะ ”
“แล้วหลายวันมานี้แกเห็นว่าฉันว่างนักรึไงฮะ ไหนจะต้องจัดกระเป๋า ทำพาสปอร์ต บลาๆๆๆ”
“เออๆ รู้แล้วว่ายุ่ง แกไม่ต้องสาธยายขนาดนั้นก็ได้”
“อ้าว~แกอยากรู้ฉันก็เลยบอกรายละเอียดให้หมด ไม่ดีรึไง”
“เออ ”
“แล้วแกหาที่พักอยู่ที่พักในลอนดอนได้รึยัง”
“แม่บอกว่าจะให้ฉันไปพักอยู่กับครอบครัวน้าซินน่ะ”
“น้าซิน ? เพื่อนของพ่อแม่แกที่เคยอยู่บ้านติดกันตอนแกเด็กๆเนี่ยนะ”
“...อืม” ทุกคนคงยังไม่รู้ว่าหลังจากที่น้าภู(สามีน้าซิน)และน้าซินปิดบริษัทBolionในเมืองไทยไปแล้ว พวกเขาก็ย้ายไปตั้งบริษัทใหม่ที่อังกฤษ ทำให้บริษัทนี้เป็นอีกบริษัทที่มีชื่อเสียงมากในอังกฤษและมีผู้ร่วมหุ้นให้กับธุรกิจนี้เยอะมาก น้าซินตั้งชื่อบริษัทนี้ว่า ‘Justin castle’ ซึ่งบริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรและการออกแบบเครื่องประดับนานาชนิดที่ทำจากคริสตัล รู้สึกว่าธุรกิจใหม่ของพวกเขานี้จะดีกว่าตอนอยู่ที่เมืองไทยซะอีก มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้เลือกที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ลอนดอน คงเป็นเพราะที่นั่นมีแต่บริษัทที่สนับสนุนธุรกิจของน้าภูและน้าซินมั้ง พวกเขาจึงทำธุรกิจได้สบายโดยไม่มีคู่แข่งเลย
เอ้อ ฉันว่าชื่อบริษัทที่น้าซินตั้งขึ้นคงมาจากชื่อลูกบุญธรรมของเธอนั่นแหละ ฉันได้บอกไปรึยังว่าหลังจากที่พี่เคเสียไปได้ไม่กี่เดือนน้าซินและน้าภูได้อุปการะเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรมชื่อ ‘จัสติน’ ฉันคิดว่าน้าซินก็คงเหงาและยังคิดถึงพี่เคอยู่เหมือนกับฉันนั่นแหละ เท่าที่รู้มานายจัสตินอะไรนี่อายุก็น่าจะมากกว่าฉันปีนึงเหมือนพี่เค ทั้งหมดที่เล่ามาฉันก็แค่ได้ยินจากที่แม่เล่าให้ฟังเท่านั้น แต่ว่าพอคิดถึงพี่เคหัวใจของฉันก็ดูเหมือนจะเจ็บแปล๊บนิดๆ ทำไมฉันถึงลืมเขาไม่ได้นะอุตส่าห์สัญญากับตัวเอง นี่มันก็ผ่านมาสิบเอ็ดปีแล้วฉันน่าจะลืมผู้ชายคนนี้ไปได้แล้วนี่นา หรือว่า...เป็นเพราะความทรงจำดีๆระหว่างเราสองคนในวัยเด็กมันผูกพันจนแทบจะตัดกันไม่ขาดแล้วนะ
“นี่!ยัยหว้าๆ” เสียงของยัยนัทดังขึ้น ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์เมื่อกี้ไป
“หะ...หา เมื่อกี้แกว่าไงนะ” ฉันพูดขึ้น
“ฉันเรียกแกหลายรอบแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ปะ...เปล่า ฉันแค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ”
“อืม...แล้วแกจะไปอยู่ที่ลอนดอนนานแค่ไหนอ่ะ”
“ไม่รู้สิ ก็อาจจะเรียนจนจบเกรดสิบสองหรือไม่ก็...จนกว่าจะจบมหาวิทยาลัยที่นั่นเลยก็ได้” คงต้องแล้วแต่แม่อ่ะนะว่าจะให้ฉันกลับมาเมื่อไหร่
“นานขนาดนั้นเชียว งั้นฉันคงคิดถึงแกแย่น่ะสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ยังออนเฟสบุ๊คหรือเอ็มคุยกันได้นี่”
“นั่นสินะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะขอไปส่งแกที่สนามบินด้วยนะ”
“แน่นอนจ้ะเพื่อนรัก”
ฉันรักเพื่อนคนนี้ที่สุดเลย ถึงบางครั้งเราอาจจะกัดกันบ้างก็ตามแต่ยัยนี่ก็ยังเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่ฉันสนิทที่สุดเลยล่ะ
สนามบินสุวรรณภูมิ
05.30น.
“ฮึก...ฮือ แต่พอมาคิดอีกทีฉันก็ไม่อยากให้แกไปเลยอ่ะเพื่อน” ยัยนัทเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดเมื่อมาถึงสนามบิน ฉันจึงได้แต่กอดปลอบเพื่อนคนนี้เอาไว้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็บอกแล้วไงว่าคิดถึงก็ออนเอ็มหรือไม่ก็เฟสบุ๊คคุยกันได้ทุกเวลา” ฉันพูดปลอบยัยนัท
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ได้ยินเสียงแกอยู่ดีอ่ะ”
“โทรศัพท์ไง แต่ถ้าแกกลัวค่าโทรแพงก็คุยทางเว็บแคมได้ ”
“เออ>_<จริงด้วยนี่ ฉันก็ลืมไปเลย แหะๆ”
“แล้วแกก็ไม่ต้องกลัวนะว่าฉันจะไม่กลับมา”ฉันส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนรักที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เอ๋?”
“เพราะ...แม่กับพ่ออนุญาตให้ฉันกลับมาเมืองไทยได้ปีละสองครั้ง ”
“กรี๊ด~จริงอ่ะ” ยัยนัทรีบผละออกจากฉันก่อนจะกระโดดโลดเต้นใหญ่จนคนเกือบทั้งสนามบินเริ่มหันมามองทางนี้
“ลูกหว้า…มาให้พ่อกับแม่กอดหน่อยสิจ๊ะ” แม่พูด ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำตาที่กักเก็บไว้นานเริ่มไหลออกมา คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะที่ต้องจากครอบครัวตัวเองไปตั้งนานกว่าจะได้กลับมาเจกันอีก
“หนูคงคิดถึงพ่อกับแม่มากเลยล่ะค่ะ” ฉันพูดพลางกอดพ่อกับแม่แน่นกว่าเดิม
“ไม่ต้องร้องไห้หรอกจ้ะ ถ้าคิดถึงพ่อกับแม่เมื่อไหร่ก็โทรมาหาหรือส่งจดหมายมาก็ได้นี่จ๊ะ”
“แต่แม่คะ ที่จริงหนูไม่อยากไปเลย”
“เอ๊ะ!เรานี่ยังไงกัน แม่อุตส่าห์ส่งไปเรียนเพื่อหาประสบการณ์ให้ตัวเองจะได้ก้าวทันตามคนอื่นเขาบ้าง ดันมาบอกว่าไม่อยากไปซะได้ลูกคนนี้” แม่ทำสีหน้าไม่พอใจนิดก่อนจะตีแขนฉันเบาๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ก็แม่คาดหวังในตัวฉันมากเพราะฉันเป็นลูกคนเดียวของบ้านนี่นา
“ไปเถอะลูกหว้า เรียนแค่ไม่กี่ปีก็กลับแล้ว” พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
แค่ไม่กี่ปีของพ่อเนี่ยมันนานแค่ไหนคะ สี่ปี...ห้าปีหรือตลอดไปอ่ะ
”ก็ได้ค่ะ หนูจะไป” ฉันพูดออกไปอย่างเสียไม่ได้
[ประกาศ!ท่านผู้โดยสารที่จะบินไปอังกฤษ เครื่องจะออกภายในยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้วค่ะ]
หือ ยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้ว!
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวขึ้นเครื่องไม่ทันนะ” เมื่อแม่ว่าจบ ฉันก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่ทันที
“หนูไม่อยู่พ่อกับแม่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
“จ้ะ ลูกก็เหมือนกันนะ” แม่ยิ้มให้ฉัน
“ค่ะ หนูก็รักพ่อกับแม่นะ”
“พ่อกับแม่ก็รักลูก” พ่อพูดพลางลูบหัวฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ
“ยัยลูกหว้า” ยัยนัทรีบโผเข้ากอดฉันอีกครั้งโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ทีนี้ยัยนี่กอดฉันซะแน่นจนฉันแทบจะหายใจไม่ออกเลย นี่ฉันแค่ไปเรียนต่อต่างประเทศนะยะ ไม่ต้องทำเหมือนจะไม่ได้เจอฉันทั้งชาติก็ได้
“ยัยนัท...แกปล่อยก่อน ฉันจะขาดใจตายก็เพราะแกนั่นแหละ”
“อุ๊ย!โทษทีๆ” ยัยนัทรีบผละออกจากฉันทันทีก่อนที่ฉันจะตายจริงๆ
“ฮึก...โชคดีนะแก”
“อืม แกก็เหมือนกันนะ ฉันขออวยพรให้แกได้แฟนเร็วๆละกัน”
“บ้า!เวลาแบบนี้ยังจะมาล้อเล่นกันอีก” ยัยนัทตีหลังฉันเบาๆ
“งั้นฉันไปนะยัยนัท เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“อืม ว่างๆส่งเมลล์มาด้วยนะ”
“จ้ะเพื่อน” ฉันพูดพลางโบกมือลาเพื่อนที่สนิทมาตั้งแต่ป.4 ในขณะที่ยัยนี่ก็ยังร้องไห้ไม่หยุดเหมือนเดิมแหละ
“หนูต้องไปแล้วนะคะ สวัสดีค่ะพ่อแม่” ฉันหันไปลาพ่อกับแม่ พวกท่านส่งยิ้มให้ฉันก่อนที่ฉันจะรีบเดินเข้าไปในเกท
ลาก่อนเมืองไทย...
ลาก่อนทุกคน...
ลาก่อนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของฉัน...
Memory in loveความทรงจำรักเขย่าหัวใจยัยตัวดี (ตอนที่1) :คาร่า
สิบปีต่อมา
@ ร้านเรนโบว์นมสด
“เฮ้อ~” เสียงถอนหายใจของฉันดังขึ้นเป็นรอบที่ร้อยหลังจากเข้ามานั่งในร้านนี้เป็นชั่วโมงแล้ว
“เฮ้อ~”
“แกเป็นอะไรของแกเนี่ย ฉันเห็นแกถอนหายใจเป็นชั่วโมงมาตั้งแต่เข้าร้านแล้วนะ” เสียงของยัยนัท เพื่อนสนิทฉันดังขึ้น
“ก็เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกแกนั่นแหละ เฮ้อ~” ว่าแล้วก็ขอถอนหายใจอีกสักรอบ
“เรื่อง?”
“ฉันต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษ” เมื่อฉันพูดจบ ยัยนัทก็ทำท่าตกใจจนเกือบจะตกเก้าอี้
“จริงเหรอ”
“อืม แม่บังคับให้ฉันไปเรียนน่ะ บอกตามตรงนะ ฉันไม่ค่อยอยากไปเท่าไหร่หรอกอยากเรียนเกรดสิบเอ็ดที่เมืองไทยมากกว่า”
ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมใหญ่ของทุกโรงเรียน ฉันนึกว่าจะได้อยู่บ้านมีชีวิตที่เรียบง่ายเหมือนสาวฤดูร้อนทั่วไปซะอีก แต่จู่ๆแม่ก็ดันมาบอกให้ฉันไปเรียนต่อเมืองนอก ที่จริงแม่จะให้ฉันไปตั้งแต่ฉันอยู่เกรดเก้า(เท่ากับม.3ในเมืองไทย)แล้วแต่ตอนนั้นฉันก็แกล้งโกหกแม่ไปว่าติดสอบยาวแถมปิดเทอมยังต้องมาช่วยงานอาจารย์ที่โรงเรียนอีกแม่ถึงยอม ฉันเคยถามแม่แล้วว่าทำไมถึงอยากให้ฉันไปเรียนต่อที่ต่างประเทศนัก ท่านก็จะบอกว่า
‘ลูกจะได้มีประสบการณ์และได้เรียนรู้วัฒนธรรม ภาษาที่แตกต่างกันเหมือนคนอื่นเขาบ้าง’
และพอมาครั้งนี้ฉันใช้แผนเดิมหลอกแม่อีกล่ะ แต่แม่ก็จับได้เพราะดันไปถามอาจารย์มาจนรู้ว่าฉันโกหกน่ะสิ ฉันกำลังจะปฏิเสธอยู่แล้วแต่แม่ก็มาขู่ว่า ถ้าฉันไม่ยอมไปเรียนต่อต่างประเทศก็อย่าหวังเลยว่าจะได้รับประกาศนียบัตรจบม.6เลย แรงอ่ะ~ ด้วยเหตุนี้ฉันจึงจำต้องยอมทำตามที่แม่บอกเพื่ออนาคตของฉันเอง
“ว่าแต่แกจะไปวันไหนล่ะ” ยัยนัทถาม
“พรุ่งนี้ -_-”
“พรุ่งนี้ แล้วทำไมแกเพิ่งมาบอกฉันล่ะ ฉันตั้งตัวไม่ทันเลยนะ ”
“แล้วหลายวันมานี้แกเห็นว่าฉันว่างนักรึไงฮะ ไหนจะต้องจัดกระเป๋า ทำพาสปอร์ต บลาๆๆๆ”
“เออๆ รู้แล้วว่ายุ่ง แกไม่ต้องสาธยายขนาดนั้นก็ได้”
“อ้าว~แกอยากรู้ฉันก็เลยบอกรายละเอียดให้หมด ไม่ดีรึไง”
“เออ ”
“แล้วแกหาที่พักอยู่ที่พักในลอนดอนได้รึยัง”
“แม่บอกว่าจะให้ฉันไปพักอยู่กับครอบครัวน้าซินน่ะ”
“น้าซิน ? เพื่อนของพ่อแม่แกที่เคยอยู่บ้านติดกันตอนแกเด็กๆเนี่ยนะ”
“...อืม” ทุกคนคงยังไม่รู้ว่าหลังจากที่น้าภู(สามีน้าซิน)และน้าซินปิดบริษัทBolionในเมืองไทยไปแล้ว พวกเขาก็ย้ายไปตั้งบริษัทใหม่ที่อังกฤษ ทำให้บริษัทนี้เป็นอีกบริษัทที่มีชื่อเสียงมากในอังกฤษและมีผู้ร่วมหุ้นให้กับธุรกิจนี้เยอะมาก น้าซินตั้งชื่อบริษัทนี้ว่า ‘Justin castle’ ซึ่งบริษัทนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเพชรและการออกแบบเครื่องประดับนานาชนิดที่ทำจากคริสตัล รู้สึกว่าธุรกิจใหม่ของพวกเขานี้จะดีกว่าตอนอยู่ที่เมืองไทยซะอีก มิน่าล่ะพวกเขาถึงได้เลือกที่จะมาตั้งบริษัทใหม่ที่ลอนดอน คงเป็นเพราะที่นั่นมีแต่บริษัทที่สนับสนุนธุรกิจของน้าภูและน้าซินมั้ง พวกเขาจึงทำธุรกิจได้สบายโดยไม่มีคู่แข่งเลย
เอ้อ ฉันว่าชื่อบริษัทที่น้าซินตั้งขึ้นคงมาจากชื่อลูกบุญธรรมของเธอนั่นแหละ ฉันได้บอกไปรึยังว่าหลังจากที่พี่เคเสียไปได้ไม่กี่เดือนน้าซินและน้าภูได้อุปการะเด็กผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นลูกบุญธรรมชื่อ ‘จัสติน’ ฉันคิดว่าน้าซินก็คงเหงาและยังคิดถึงพี่เคอยู่เหมือนกับฉันนั่นแหละ เท่าที่รู้มานายจัสตินอะไรนี่อายุก็น่าจะมากกว่าฉันปีนึงเหมือนพี่เค ทั้งหมดที่เล่ามาฉันก็แค่ได้ยินจากที่แม่เล่าให้ฟังเท่านั้น แต่ว่าพอคิดถึงพี่เคหัวใจของฉันก็ดูเหมือนจะเจ็บแปล๊บนิดๆ ทำไมฉันถึงลืมเขาไม่ได้นะอุตส่าห์สัญญากับตัวเอง นี่มันก็ผ่านมาสิบเอ็ดปีแล้วฉันน่าจะลืมผู้ชายคนนี้ไปได้แล้วนี่นา หรือว่า...เป็นเพราะความทรงจำดีๆระหว่างเราสองคนในวัยเด็กมันผูกพันจนแทบจะตัดกันไม่ขาดแล้วนะ
“นี่!ยัยหว้าๆ” เสียงของยัยนัทดังขึ้น ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์เมื่อกี้ไป
“หะ...หา เมื่อกี้แกว่าไงนะ” ฉันพูดขึ้น
“ฉันเรียกแกหลายรอบแล้วนะ เป็นอะไรรึเปล่า”
“ปะ...เปล่า ฉันแค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ”
“อืม...แล้วแกจะไปอยู่ที่ลอนดอนนานแค่ไหนอ่ะ”
“ไม่รู้สิ ก็อาจจะเรียนจนจบเกรดสิบสองหรือไม่ก็...จนกว่าจะจบมหาวิทยาลัยที่นั่นเลยก็ได้” คงต้องแล้วแต่แม่อ่ะนะว่าจะให้ฉันกลับมาเมื่อไหร่
“นานขนาดนั้นเชียว งั้นฉันคงคิดถึงแกแย่น่ะสิ”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างน้อยก็ยังออนเฟสบุ๊คหรือเอ็มคุยกันได้นี่”
“นั่นสินะ งั้นพรุ่งนี้ฉันจะขอไปส่งแกที่สนามบินด้วยนะ”
“แน่นอนจ้ะเพื่อนรัก”
ฉันรักเพื่อนคนนี้ที่สุดเลย ถึงบางครั้งเราอาจจะกัดกันบ้างก็ตามแต่ยัยนี่ก็ยังเป็นเพื่อนผู้หญิงคนเดียวที่ฉันสนิทที่สุดเลยล่ะ
สนามบินสุวรรณภูมิ
05.30น.
“ฮึก...ฮือ แต่พอมาคิดอีกทีฉันก็ไม่อยากให้แกไปเลยอ่ะเพื่อน” ยัยนัทเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดเมื่อมาถึงสนามบิน ฉันจึงได้แต่กอดปลอบเพื่อนคนนี้เอาไว้
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็บอกแล้วไงว่าคิดถึงก็ออนเอ็มหรือไม่ก็เฟสบุ๊คคุยกันได้ทุกเวลา” ฉันพูดปลอบยัยนัท
“แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ได้ยินเสียงแกอยู่ดีอ่ะ”
“โทรศัพท์ไง แต่ถ้าแกกลัวค่าโทรแพงก็คุยทางเว็บแคมได้ ”
“เออ>_<จริงด้วยนี่ ฉันก็ลืมไปเลย แหะๆ”
“แล้วแกก็ไม่ต้องกลัวนะว่าฉันจะไม่กลับมา”ฉันส่งยิ้มบางๆให้เพื่อนรักที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“เอ๋?”
“เพราะ...แม่กับพ่ออนุญาตให้ฉันกลับมาเมืองไทยได้ปีละสองครั้ง ”
“กรี๊ด~จริงอ่ะ” ยัยนัทรีบผละออกจากฉันก่อนจะกระโดดโลดเต้นใหญ่จนคนเกือบทั้งสนามบินเริ่มหันมามองทางนี้
“ลูกหว้า…มาให้พ่อกับแม่กอดหน่อยสิจ๊ะ” แม่พูด ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปกอดพ่อกับแม่ที่ยืนอยู่ข้างๆ น้ำตาที่กักเก็บไว้นานเริ่มไหลออกมา คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันนะที่ต้องจากครอบครัวตัวเองไปตั้งนานกว่าจะได้กลับมาเจกันอีก
“หนูคงคิดถึงพ่อกับแม่มากเลยล่ะค่ะ” ฉันพูดพลางกอดพ่อกับแม่แน่นกว่าเดิม
“ไม่ต้องร้องไห้หรอกจ้ะ ถ้าคิดถึงพ่อกับแม่เมื่อไหร่ก็โทรมาหาหรือส่งจดหมายมาก็ได้นี่จ๊ะ”
“แต่แม่คะ ที่จริงหนูไม่อยากไปเลย”
“เอ๊ะ!เรานี่ยังไงกัน แม่อุตส่าห์ส่งไปเรียนเพื่อหาประสบการณ์ให้ตัวเองจะได้ก้าวทันตามคนอื่นเขาบ้าง ดันมาบอกว่าไม่อยากไปซะได้ลูกคนนี้” แม่ทำสีหน้าไม่พอใจนิดก่อนจะตีแขนฉันเบาๆ มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะ ก็แม่คาดหวังในตัวฉันมากเพราะฉันเป็นลูกคนเดียวของบ้านนี่นา
“ไปเถอะลูกหว้า เรียนแค่ไม่กี่ปีก็กลับแล้ว” พ่อเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
แค่ไม่กี่ปีของพ่อเนี่ยมันนานแค่ไหนคะ สี่ปี...ห้าปีหรือตลอดไปอ่ะ
”ก็ได้ค่ะ หนูจะไป” ฉันพูดออกไปอย่างเสียไม่ได้
[ประกาศ!ท่านผู้โดยสารที่จะบินไปอังกฤษ เครื่องจะออกภายในยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้วค่ะ]
หือ ยี่สิบนาทีข้างหน้านี้แล้ว!
“ไปเถอะลูก เดี๋ยวขึ้นเครื่องไม่ทันนะ” เมื่อแม่ว่าจบ ฉันก็รีบผละออกจากอ้อมกอดของพ่อกับแม่ทันที
“หนูไม่อยู่พ่อกับแม่ต้องดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
“จ้ะ ลูกก็เหมือนกันนะ” แม่ยิ้มให้ฉัน
“ค่ะ หนูก็รักพ่อกับแม่นะ”
“พ่อกับแม่ก็รักลูก” พ่อพูดพลางลูบหัวฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ
“ยัยลูกหว้า” ยัยนัทรีบโผเข้ากอดฉันอีกครั้งโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ทีนี้ยัยนี่กอดฉันซะแน่นจนฉันแทบจะหายใจไม่ออกเลย นี่ฉันแค่ไปเรียนต่อต่างประเทศนะยะ ไม่ต้องทำเหมือนจะไม่ได้เจอฉันทั้งชาติก็ได้
“ยัยนัท...แกปล่อยก่อน ฉันจะขาดใจตายก็เพราะแกนั่นแหละ”
“อุ๊ย!โทษทีๆ” ยัยนัทรีบผละออกจากฉันทันทีก่อนที่ฉันจะตายจริงๆ
“ฮึก...โชคดีนะแก”
“อืม แกก็เหมือนกันนะ ฉันขออวยพรให้แกได้แฟนเร็วๆละกัน”
“บ้า!เวลาแบบนี้ยังจะมาล้อเล่นกันอีก” ยัยนัทตีหลังฉันเบาๆ
“งั้นฉันไปนะยัยนัท เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“อืม ว่างๆส่งเมลล์มาด้วยนะ”
“จ้ะเพื่อน” ฉันพูดพลางโบกมือลาเพื่อนที่สนิทมาตั้งแต่ป.4 ในขณะที่ยัยนี่ก็ยังร้องไห้ไม่หยุดเหมือนเดิมแหละ
“หนูต้องไปแล้วนะคะ สวัสดีค่ะพ่อแม่” ฉันหันไปลาพ่อกับแม่ พวกท่านส่งยิ้มให้ฉันก่อนที่ฉันจะรีบเดินเข้าไปในเกท
ลาก่อนเมืองไทย...
ลาก่อนทุกคน...
ลาก่อนชีวิตที่แสนเรียบง่ายของฉัน...