คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๙
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
[๑๗๑๒] พระราชมารดาของเรา คือ นางจิญจมานวิกา พระราชบิดาของเรา คือ
พระเทวทัต พญานาค คือ พระอานนท์บัณฑิต และเทวดา คือ
พระสารีบุตร พระราชบุตรในกาลนั้น คือ เราตถาคต ท่านทั้งหลาย
จงจำชาดกไว้อย่างนี้เถิด.
จบ มหาปทุมชาดกที่ ๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=27&A=6718&w=%A8%D4%AD%A8
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อรรถกถา มหาปทุมชาดก
ว่าด้วย มหาปทุมกุมาร
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงพระปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาทิฏฺ ฐา ปรโต โทสํ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ครั้งปฐมโพธิกาล เมื่อพระสาวกของพระทศพลมีมากขึ้น เทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิหาประมาณไม่ได้ คุณสมุทัยของพระศาสดาได้แผ่ไปทั่ว ลาภสักการะได้เกิดขึ้นมามากมาย
พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เหมือนหิ่งห้อยเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงพากันเที่ยวยืนในระหว่างถนน ชักชวนคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าผู้เดียวเมื่อไร แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายพระสมณโคดมมีผลมาก แม้ที่ถวายแก่พวกเราก็มีผลมากเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงทำทานแก่พวกเราบ้าง ดังนี้ ก็ไม่ได้ลาภสักการะ.
จึงประชุมลับหารือกันว่า พวกเราใช้อุบายอย่างไรดีหนอ จึงจะสร้างความผิดของพระสมณโคดมขึ้นในหมู่มนุษย์ แล้วทำลาภสักการะให้ได้.
ครั้งนั้น ในพระนครสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่งชื่อจิญจมาณวิกา มีรูปร่างงามเลิศดุจเทพอัปสร มีรัศมีซ่านออกจากร่างของนาง. เดียรถีย์คนหนึ่งมีความคิดกล้า ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราพึงอาศัยนางจิญจมาณวิกาสร้างความผิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้. พวกเดียรถีย์ต่างรับว่าอุบายของท่านเข้าที.
ครั้งนั้นนางจิญจมาณวิกามาสู่อารามเดียรถีย์ ไหว้แล้วยืนอยู่ พวกเดียรถีย์มิได้พูดกับนาง. นางจึงคิดว่า เรามีความผิดอย่างไรหนอ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ ดังนี้ถึงสามครั้ง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีความผิดอย่างไรหนอ เหตุไร ท่านทั้งหลายจึงไม่พูดกับดิฉัน.
พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่าพระสมณโคดมเบียดเบียนพวกเรา เที่ยวทำให้พวกเราเสื่อมลาภสักการะ.
ดิฉันไม่รู้ เจ้าข้า ก็ดิฉันควรจะทำอย่างไรในเรื่องนี้.
ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาหาความสุขแก่พวกเรา จงใช้ตัวของเจ้าสร้างความไม่ดีขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้.
นางรับว่า ดีละเจ้าข้า เรื่องนี้เป็นภาระของดิฉัน ขอท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย แล้วหลีกไป
โดยที่นางเป็นผู้ฉลาดในมายาหญิง ตั้งแต่นั้นมา เวลาชาวพระนครสาวัตถีฟังธรรมกถา แล้วออกจากพระเชตวัน นางห่มผ้าสีดังแมลงค่อมทอง ถือของหอมแลดอกไม้เป็นต้น เดินตรงไปพระเชตวัน เมื่อมีคนถามว่าจะไปไหนเวลานี้ ก็กล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยที่เป็นที่ไปของฉันสำหรับท่าน แล้วก็เข้าอารามเดียรถีย์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ พระเชตวัน.
ครั้นเวลาเช้า เมื่อพวกอุบาสกออกจากพระนครเพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นางก็ทำเป็นอยู่ในพระเชตวันแล้วเข้าพระนคร เมื่อมีใครถามว่าท่านอยู่ที่ไหน นางก็กล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ของเราสำหรับท่าน.
ครั้นล่วงไปเดือนสองเดือน ถูกถามอีก นางก็กล่าวว่า ฉันอยู่ร่วมคันธกุฎีกับพระสมณโคดมในพระเชตวัน ได้ทำความสงสัยแก่พวกปุถุชนว่า นางจิญจมาณวิกาพูดนี้ จริงหรือไม่หนอ.
ครั้นล่วงไปสามสี่เดือน นางก็เอาผ้าขี้ริ้วมาพันท้องทำเป็นหญิงมีท้อง เอาผ้าแดงคลุมข้างบน ทำให้พวกอันธพาลเชื่อว่า มีท้องกับพระสมณโคดม.
ครั้นล่วงไปแปดเก้าเดือน นางก็เอาไม้วงกลมผูกไว้ที่ท้องเอาผ้าคลุมข้างบน ให้พวกเดียรถีย์เอาไม้คางโคทุบหลังมือหลังเท้าให้บวมมีอินทรีย์ลำบาก.
ครั้นเวลาเย็น เมื่อพระตถาคตนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่ตกแต่งไว้ นางไปธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์พระตถาคต เหมือนหญิงที่พยายามเอาก้อนคูถขว้างดวงจันทร์ ด่าพระตถาคตในท่ามกลางบริษัททีเดียวว่า แน่ะมหาสมณะ ท่านแสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของท่านไพเราะ ริมฝีปากสนิทดี แต่ฉันมีท้องเพราะท่าน เวลานี้ก็ครบกำหนดแล้ว ท่านยังไม่เตรียมเรือนคลอดแก่ฉัน เนยใสและน้ำมันเป็นต้นก็ยังไม่มี เมื่อท่านไม่ทำเอง ก็ไม่บอกแก่อุปัฏฐากของตนคนใดคนหนึ่ง เช่นพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา ว่าจงช่วยทำสิ่งที่ควรทำแก่นางจิญจมาณวิกานี้ ท่านรู้จักแต่อภิรมย์เท่านั้น ไม่รู้จักบริหารครรภ์.
พระตถาคตได้ทรงสดับดังนั้น จึงหยุดธรรมกถามีอาการดุจพระยาสีหะ ทรงบันลือพระสุรสีหนาทว่า น้องหญิง ฉันกับเธอสองคนเท่านั้น รู้คำที่เธอกล่าวว่า จริงหรือไม่จริง. นางจิญจมานวิกากล่าวว่า ถูกแล้ว พระสมณะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะท่านกับฉันรู้กัน.
ขณะนั้น ภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน. ท้าวสักกะพิจารณาดู ก็ทรงทราบว่า นางจิญจมาณวิกาด่าพระตถาคต ด้วยเรื่องไม่เป็นจริง จึงทรงดำริว่า จักชำระเรื่องนี้ แล้วเสด็จมากับเทพบุตรสี่องค์ เทพบุตรเหล่านั้นแปลงเพศเป็นลูกหนู เข้าไปกัดเชือกผูกไม้วงกลมพร้อมกัน ได้มีลมพัดเปิดผ้าคลุมขึ้น ไม้วงกลมตกลงถูกหลังเท้านางจิญจมาณวิกา ปลายเท้าทั้งสองแตก.
พวกมนุษย์เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า อีกาลกรรณี ด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และช่วยกันถ่มน้ำลายรดศีรษะ ถือก้อนดินท่อนไม้ขับออกจากพระเชตวัน พอนางจิญจมาณวิกาได้พ้นครองจักษุพระตถาคต แผ่นดินใหญ่แยกเป็นช่อง เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจี โอบอุ้มนางจิญจมาณวิกา เหมือนกับห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้ไว้ จมลงไปในอเวจี.
ลาภสักการะของอัญเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป แต่ของพระทศพลเจริญยิ่งขึ้นเหลือประมาณ.
วันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอัครทักษิไณยบุคคลอันโอฬาร ด้วยเรื่องไม่จริง ถึงความพินาศใหญ่.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่นางจิญจมาณวิกานี้ด่าเรา ด้วยเรื่องไม่จริง แล้วถึงความพินาศ แม้ในกาลก่อน นางก็ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริงแล้วถึงความพินาศเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต พระญาติทั้งหลายถวายพระนามพระโพธิสัตว์ว่า ปทุมกุมาร เพราะมีพระพักตร์แลดูเหมือนดอกบัวบาน.
พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นเจริญวัยแล้วไปเรียนศิลปวิทยาทั้งปวงสำเร็จแล้วกลับมา. ลำดับนั้น พระชนนีของพระองค์สิ้นพระชนม์ พระราชาได้แต่งตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส.
ต่อมา พระราชาเสด็จไปปราบปัจจันตประเทศที่กำเริบขึ้น รับสั่งกะพระอัครมเหสีว่า น้องรัก เธอจงอยู่ที่นี้แหละ ฉันจะไปปราบปัจจันตประเทศ. พระนางทูลว่า หม่อมฉันจะไม่อยู่ที่นี่ จักขอโดยเสด็จด้วย. พระองค์ตรัสโทษในสนามรบให้ฟัง แล้วตรัสว่า เธอจงอย่ากระวนกระวาย อยู่จนกว่าฉันจะมา ฉันจะสั่งปทุมกุมารมิให้ลืมกิจการที่ควรกระทำแก่เธอ ดังนี้ แล้วทรงกระทำตามที่ตรัส แล้วเสด็จไปขับไล่ปัจจามิตร ทำชนบทให้สงบราบคาบแล้วเสด็จกลับมาตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร.
พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระชนกเสด็จมา จึงให้ประดับพระนครตกแต่งพระราชมณเฑียร แล้วไปสำนักพระอัครมเหสีแต่พระองค์เดียว พระอัครมเหสีเห็นรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตรักใคร่. พระโพธิสัตว์ถวายบังคมพระนางแล้ว ทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าประสงค์สิ่งใดหม่อมฉันจะทำถวาย.
ลำดับนั้น พระนางตรัสว่า เธออย่าเรียกฉันว่าแม่ เสด็จลุกขึ้นจูงมือพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า เธอจงขึ้นบนพระที่เถิด.
ทูลถามว่า เพื่ออะไร.
ตรัสว่า เราทั้งสองจักรื่นรมย์ด้วยความยินดีในกิเลส ชั่วเวลาที่พระราชายังไม่เสด็จมา.
ข้าแต่พระแม่เจ้า เสด็จแม่เป็นแม่ของหม่อมฉันด้วย ยังมีพระสามีอยู่ด้วย ขึ้นชื่อว่าหญิงที่มีผู้หวงแหน หม่อมฉันไม่เคยทำลายอินทรีย์แลดูด้วยอำนาจกิเลสเลย หม่อมฉันจักทำกรรมที่เศร้าหมองถึงเพียงนี้กับพระแม่อย่างไรได้.
พระนางได้ตรัสถึงสองสามครั้ง เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนา พระนางจึงตรัสว่า เจ้าจะไม่ทำตามคำของเราหรือ.
ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันทำไม่ได้.
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักกราบทูลแด่พระราชาอย่างนี้ แล้วให้ตัดศีรษะของท่านเสีย.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า จงทำตามชอบของพระแม่เจ้าเถิด ได้ทำให้พระนางละอายพระทัยแล้วหลีกไป.
พระนางมีความสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า ถ้ากุมารนี้ไปกราบทูลพระบิดาก่อนเรา เราคงไม่รอดชีวิต เราจักกราบทูลเสียก่อน ทรงดำริเช่นนี้แล้ว ไม่เสวยกระยาหาร ทรงนุ่งห่มผ้าเศร้าหมอง แสดงรอยเล็บที่พระสรีระ แล้วให้สัญญาแก่พวกหญิงคนใช้ว่า เมื่อพระราชาตรัสถามว่า พระเทวีเสด็จไปไหน ท่านทั้งหลายทูลว่า เป็นไข้ แล้วก็ลวงว่าเป็นไข้บรรทมอยู่.
พระราชาทรงทำประทักษิณพระนคร แล้วเสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ เมื่อไม่เห็นเทวี จึงตรัสถามว่า พระเทวีไปไหน ทรงสดับว่าเป็นไข้ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี พระน้องไม่สบายไปหรือ. พระนางทำเป็นไม่ได้ยินดำรัสพระราชา แม้ถูกถามถึงสองสามครั้ง ก็นิ่งเสีย. พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี เหตุไรจึงไม่พูดกับฉัน.
พระนางทูลว่า บรรดาหญิงที่มีสามีแล้วไม่มีใครเขาเป็นเหมือนหม่อมฉัน.
พระราชาตรัสถามว่า ใครเบียดเบียนพระน้องหรือ จงบอกพี่เร็ว พี่จักตัดหัวมันเสีย.
พระนางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงตั้งใครรักษาพระนครแล้วเสด็จไป.
ตรัสว่า ตั้งเจ้าปทุมกุมารโอรสของเรา.
พระนางทูลว่า ปทุมกุมารมาที่อยู่ของหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันจะกล่าวว่า แน่ะพ่อ เจ้าอย่าทำอย่างนี้ ฉันเป็นแม่ของเจ้า ปทุมกุมารกล่าวว่า นอกจากเรา คนอื่นชื่อว่าเป็นพระราชาไม่มี เราจักให้พระนางอยู่ในพระราชฐาน รื่นรมย์กันด้วยความยินดีแห่งกิเลส แล้วจับมวยผมของหม่อมฉันทิ้งไปมา เมื่อหม่อมฉันไม่ยอมทำตามคำของตน ก็ทุบตีแล้วออกไป.
พระราชาไม่ทรงพิจารณาก่อน ทรงพระพิโรธดังอสรพิษ รับสั่งพวกราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไปมัดปทุมกุมารนำมา.
พวกราชบุรุษพากันไปวังปทุมกุมาร เหมือนอย่างกะแห่ไปเต็มเมือง จับปทุมกุมารทุบตีแล้วมัดมือไพล่หลังอย่างมั่นคง เอาโซ่คล้องคอกระทำเป็นนักโทษประหารชีวิต ทุบตีพลางนำไปพลาง.
พระโพธิสัตว์คิดว่า นี้เป็นการกระทำของเทวี จึงเดินบ่นมาว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญทั้งหลาย เรามิได้ประทุษร้ายพระราชา เราไม่มีความผิดเลย.
ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันเอิกเกริกกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาเชื่อคำผู้หญิง รับสั่งให้ฆ่าพระมหาปทุมกุมาร ประชุมกันกลิ้งเกลือกแทบเท้าพระกุมารร่ำไรรำพันด้วยเสียงดังว่า ข้าแต่นาย กรรมนี้ไม่สมควรแก่ท่านเลย.
ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑
[๑๗๑๒] พระราชมารดาของเรา คือ นางจิญจมานวิกา พระราชบิดาของเรา คือ
พระเทวทัต พญานาค คือ พระอานนท์บัณฑิต และเทวดา คือ
พระสารีบุตร พระราชบุตรในกาลนั้น คือ เราตถาคต ท่านทั้งหลาย
จงจำชาดกไว้อย่างนี้เถิด.
จบ มหาปทุมชาดกที่ ๙.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=27&A=6718&w=%A8%D4%AD%A8
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อรรถกถา มหาปทุมชาดก
ว่าด้วย มหาปทุมกุมาร
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหาร ทรงพระปรารภนางจิญจมาณวิกา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า นาทิฏฺ ฐา ปรโต โทสํ ดังนี้.
ความพิสดารว่า ครั้งปฐมโพธิกาล เมื่อพระสาวกของพระทศพลมีมากขึ้น เทวดาและมนุษย์หยั่งลงสู่อริยภูมิหาประมาณไม่ได้ คุณสมุทัยของพระศาสดาได้แผ่ไปทั่ว ลาภสักการะได้เกิดขึ้นมามากมาย
พวกเดียรถีย์เสื่อมลาภสักการะ เหมือนหิ่งห้อยเวลาพระอาทิตย์ขึ้น จึงพากันเที่ยวยืนในระหว่างถนน ชักชวนคนทั้งหลายอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นพระพุทธเจ้าผู้เดียวเมื่อไร แม้พวกเราก็เป็นพระพุทธเจ้า ทานที่ถวายพระสมณโคดมมีผลมาก แม้ที่ถวายแก่พวกเราก็มีผลมากเหมือนกัน ขอท่านทั้งหลายจงทำทานแก่พวกเราบ้าง ดังนี้ ก็ไม่ได้ลาภสักการะ.
จึงประชุมลับหารือกันว่า พวกเราใช้อุบายอย่างไรดีหนอ จึงจะสร้างความผิดของพระสมณโคดมขึ้นในหมู่มนุษย์ แล้วทำลาภสักการะให้ได้.
ครั้งนั้น ในพระนครสาวัตถี มีนางปริพาชิกาคนหนึ่งชื่อจิญจมาณวิกา มีรูปร่างงามเลิศดุจเทพอัปสร มีรัศมีซ่านออกจากร่างของนาง. เดียรถีย์คนหนึ่งมีความคิดกล้า ได้กล่าวอย่างนี้ว่า พวกเราพึงอาศัยนางจิญจมาณวิกาสร้างความผิดขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้. พวกเดียรถีย์ต่างรับว่าอุบายของท่านเข้าที.
ครั้งนั้นนางจิญจมาณวิกามาสู่อารามเดียรถีย์ ไหว้แล้วยืนอยู่ พวกเดียรถีย์มิได้พูดกับนาง. นางจึงคิดว่า เรามีความผิดอย่างไรหนอ แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันไหว้ ดังนี้ถึงสามครั้ง แล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย ดิฉันมีความผิดอย่างไรหนอ เหตุไร ท่านทั้งหลายจึงไม่พูดกับดิฉัน.
พวกเดียรถีย์กล่าวว่า ดูก่อนน้องหญิง เจ้าไม่รู้ดอกหรือว่าพระสมณโคดมเบียดเบียนพวกเรา เที่ยวทำให้พวกเราเสื่อมลาภสักการะ.
ดิฉันไม่รู้ เจ้าข้า ก็ดิฉันควรจะทำอย่างไรในเรื่องนี้.
ดูก่อนน้องหญิง ถ้าเจ้าปรารถนาหาความสุขแก่พวกเรา จงใช้ตัวของเจ้าสร้างความไม่ดีขึ้นแก่พระสมณโคดม ทำลาภสักการะให้.
นางรับว่า ดีละเจ้าข้า เรื่องนี้เป็นภาระของดิฉัน ขอท่านทั้งหลายอย่าวิตกไปเลย แล้วหลีกไป
โดยที่นางเป็นผู้ฉลาดในมายาหญิง ตั้งแต่นั้นมา เวลาชาวพระนครสาวัตถีฟังธรรมกถา แล้วออกจากพระเชตวัน นางห่มผ้าสีดังแมลงค่อมทอง ถือของหอมแลดอกไม้เป็นต้น เดินตรงไปพระเชตวัน เมื่อมีคนถามว่าจะไปไหนเวลานี้ ก็กล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยที่เป็นที่ไปของฉันสำหรับท่าน แล้วก็เข้าอารามเดียรถีย์ซึ่งอยู่ใกล้ๆ พระเชตวัน.
ครั้นเวลาเช้า เมื่อพวกอุบาสกออกจากพระนครเพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นางก็ทำเป็นอยู่ในพระเชตวันแล้วเข้าพระนคร เมื่อมีใครถามว่าท่านอยู่ที่ไหน นางก็กล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยการอยู่ของเราสำหรับท่าน.
ครั้นล่วงไปเดือนสองเดือน ถูกถามอีก นางก็กล่าวว่า ฉันอยู่ร่วมคันธกุฎีกับพระสมณโคดมในพระเชตวัน ได้ทำความสงสัยแก่พวกปุถุชนว่า นางจิญจมาณวิกาพูดนี้ จริงหรือไม่หนอ.
ครั้นล่วงไปสามสี่เดือน นางก็เอาผ้าขี้ริ้วมาพันท้องทำเป็นหญิงมีท้อง เอาผ้าแดงคลุมข้างบน ทำให้พวกอันธพาลเชื่อว่า มีท้องกับพระสมณโคดม.
ครั้นล่วงไปแปดเก้าเดือน นางก็เอาไม้วงกลมผูกไว้ที่ท้องเอาผ้าคลุมข้างบน ให้พวกเดียรถีย์เอาไม้คางโคทุบหลังมือหลังเท้าให้บวมมีอินทรีย์ลำบาก.
ครั้นเวลาเย็น เมื่อพระตถาคตนั่งแสดงธรรมบนธรรมาสน์ที่ตกแต่งไว้ นางไปธรรมสภา ยืนตรงพระพักตร์พระตถาคต เหมือนหญิงที่พยายามเอาก้อนคูถขว้างดวงจันทร์ ด่าพระตถาคตในท่ามกลางบริษัททีเดียวว่า แน่ะมหาสมณะ ท่านแสดงธรรมแก่มหาชน เสียงของท่านไพเราะ ริมฝีปากสนิทดี แต่ฉันมีท้องเพราะท่าน เวลานี้ก็ครบกำหนดแล้ว ท่านยังไม่เตรียมเรือนคลอดแก่ฉัน เนยใสและน้ำมันเป็นต้นก็ยังไม่มี เมื่อท่านไม่ทำเอง ก็ไม่บอกแก่อุปัฏฐากของตนคนใดคนหนึ่ง เช่นพระเจ้าโกศล อนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา ว่าจงช่วยทำสิ่งที่ควรทำแก่นางจิญจมาณวิกานี้ ท่านรู้จักแต่อภิรมย์เท่านั้น ไม่รู้จักบริหารครรภ์.
พระตถาคตได้ทรงสดับดังนั้น จึงหยุดธรรมกถามีอาการดุจพระยาสีหะ ทรงบันลือพระสุรสีหนาทว่า น้องหญิง ฉันกับเธอสองคนเท่านั้น รู้คำที่เธอกล่าวว่า จริงหรือไม่จริง. นางจิญจมานวิกากล่าวว่า ถูกแล้ว พระสมณะ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะท่านกับฉันรู้กัน.
ขณะนั้น ภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน. ท้าวสักกะพิจารณาดู ก็ทรงทราบว่า นางจิญจมาณวิกาด่าพระตถาคต ด้วยเรื่องไม่เป็นจริง จึงทรงดำริว่า จักชำระเรื่องนี้ แล้วเสด็จมากับเทพบุตรสี่องค์ เทพบุตรเหล่านั้นแปลงเพศเป็นลูกหนู เข้าไปกัดเชือกผูกไม้วงกลมพร้อมกัน ได้มีลมพัดเปิดผ้าคลุมขึ้น ไม้วงกลมตกลงถูกหลังเท้านางจิญจมาณวิกา ปลายเท้าทั้งสองแตก.
พวกมนุษย์เห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า อีกาลกรรณี ด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และช่วยกันถ่มน้ำลายรดศีรษะ ถือก้อนดินท่อนไม้ขับออกจากพระเชตวัน พอนางจิญจมาณวิกาได้พ้นครองจักษุพระตถาคต แผ่นดินใหญ่แยกเป็นช่อง เปลวไฟพลุ่งขึ้นจากอเวจี โอบอุ้มนางจิญจมาณวิกา เหมือนกับห่มผ้ากัมพลที่ตระกูลให้ไว้ จมลงไปในอเวจี.
ลาภสักการะของอัญเดียรถีย์ทั้งหลายก็เสื่อมไป แต่ของพระทศพลเจริญยิ่งขึ้นเหลือประมาณ.
วันรุ่งขึ้น ภิกษุทั้งหลายยกเรื่องขึ้นสนทนาในธรรมสภาว่า
ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย นางจิญจมาณวิกาด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นอัครทักษิไณยบุคคลอันโอฬาร ด้วยเรื่องไม่จริง ถึงความพินาศใหญ่.
พระศาสดาเสด็จมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เธอทั้งหลายนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร. เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่นางจิญจมาณวิกานี้ด่าเรา ด้วยเรื่องไม่จริง แล้วถึงความพินาศ แม้ในกาลก่อน นางก็ด่าเราด้วยเรื่องไม่จริงแล้วถึงความพินาศเหมือนกัน แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัสเล่าดังต่อไปนี้.
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์เกิดในครรภ์พระอัครมเหสีของพระเจ้าพรหมทัต พระญาติทั้งหลายถวายพระนามพระโพธิสัตว์ว่า ปทุมกุมาร เพราะมีพระพักตร์แลดูเหมือนดอกบัวบาน.
พระโพธิสัตว์นั้น ครั้นเจริญวัยแล้วไปเรียนศิลปวิทยาทั้งปวงสำเร็จแล้วกลับมา. ลำดับนั้น พระชนนีของพระองค์สิ้นพระชนม์ พระราชาได้แต่งตั้งหญิงอื่นเป็นอัครมเหสี แล้วพระราชทานตำแหน่งอุปราชแก่พระโอรส.
ต่อมา พระราชาเสด็จไปปราบปัจจันตประเทศที่กำเริบขึ้น รับสั่งกะพระอัครมเหสีว่า น้องรัก เธอจงอยู่ที่นี้แหละ ฉันจะไปปราบปัจจันตประเทศ. พระนางทูลว่า หม่อมฉันจะไม่อยู่ที่นี่ จักขอโดยเสด็จด้วย. พระองค์ตรัสโทษในสนามรบให้ฟัง แล้วตรัสว่า เธอจงอย่ากระวนกระวาย อยู่จนกว่าฉันจะมา ฉันจะสั่งปทุมกุมารมิให้ลืมกิจการที่ควรกระทำแก่เธอ ดังนี้ แล้วทรงกระทำตามที่ตรัส แล้วเสด็จไปขับไล่ปัจจามิตร ทำชนบทให้สงบราบคาบแล้วเสด็จกลับมาตั้งค่ายพักอยู่นอกพระนคร.
พระโพธิสัตว์ทราบว่า พระชนกเสด็จมา จึงให้ประดับพระนครตกแต่งพระราชมณเฑียร แล้วไปสำนักพระอัครมเหสีแต่พระองค์เดียว พระอัครมเหสีเห็นรูปสมบัติของพระโพธิสัตว์ ก็มีจิตรักใคร่. พระโพธิสัตว์ถวายบังคมพระนางแล้ว ทูลถามว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า พระแม่เจ้าประสงค์สิ่งใดหม่อมฉันจะทำถวาย.
ลำดับนั้น พระนางตรัสว่า เธออย่าเรียกฉันว่าแม่ เสด็จลุกขึ้นจูงมือพระโพธิสัตว์ ตรัสว่า เธอจงขึ้นบนพระที่เถิด.
ทูลถามว่า เพื่ออะไร.
ตรัสว่า เราทั้งสองจักรื่นรมย์ด้วยความยินดีในกิเลส ชั่วเวลาที่พระราชายังไม่เสด็จมา.
ข้าแต่พระแม่เจ้า เสด็จแม่เป็นแม่ของหม่อมฉันด้วย ยังมีพระสามีอยู่ด้วย ขึ้นชื่อว่าหญิงที่มีผู้หวงแหน หม่อมฉันไม่เคยทำลายอินทรีย์แลดูด้วยอำนาจกิเลสเลย หม่อมฉันจักทำกรรมที่เศร้าหมองถึงเพียงนี้กับพระแม่อย่างไรได้.
พระนางได้ตรัสถึงสองสามครั้ง เมื่อพระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนา พระนางจึงตรัสว่า เจ้าจะไม่ทำตามคำของเราหรือ.
ทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า หม่อมฉันทำไม่ได้.
ตรัสว่า ถ้าเช่นนั้น เราจักกราบทูลแด่พระราชาอย่างนี้ แล้วให้ตัดศีรษะของท่านเสีย.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า จงทำตามชอบของพระแม่เจ้าเถิด ได้ทำให้พระนางละอายพระทัยแล้วหลีกไป.
พระนางมีความสะดุ้งกลัว ทรงดำริว่า ถ้ากุมารนี้ไปกราบทูลพระบิดาก่อนเรา เราคงไม่รอดชีวิต เราจักกราบทูลเสียก่อน ทรงดำริเช่นนี้แล้ว ไม่เสวยกระยาหาร ทรงนุ่งห่มผ้าเศร้าหมอง แสดงรอยเล็บที่พระสรีระ แล้วให้สัญญาแก่พวกหญิงคนใช้ว่า เมื่อพระราชาตรัสถามว่า พระเทวีเสด็จไปไหน ท่านทั้งหลายทูลว่า เป็นไข้ แล้วก็ลวงว่าเป็นไข้บรรทมอยู่.
พระราชาทรงทำประทักษิณพระนคร แล้วเสด็จขึ้นพระราชนิเวศน์ เมื่อไม่เห็นเทวี จึงตรัสถามว่า พระเทวีไปไหน ทรงสดับว่าเป็นไข้ จึงเสด็จเข้าห้องบรรทม ตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี พระน้องไม่สบายไปหรือ. พระนางทำเป็นไม่ได้ยินดำรัสพระราชา แม้ถูกถามถึงสองสามครั้ง ก็นิ่งเสีย. พระราชาตรัสถามว่า แน่ะพระเทวี เหตุไรจึงไม่พูดกับฉัน.
พระนางทูลว่า บรรดาหญิงที่มีสามีแล้วไม่มีใครเขาเป็นเหมือนหม่อมฉัน.
พระราชาตรัสถามว่า ใครเบียดเบียนพระน้องหรือ จงบอกพี่เร็ว พี่จักตัดหัวมันเสีย.
พระนางทูลว่า ข้าแต่พระมหาราช พระองค์ทรงตั้งใครรักษาพระนครแล้วเสด็จไป.
ตรัสว่า ตั้งเจ้าปทุมกุมารโอรสของเรา.
พระนางทูลว่า ปทุมกุมารมาที่อยู่ของหม่อมฉัน แม้หม่อมฉันจะกล่าวว่า แน่ะพ่อ เจ้าอย่าทำอย่างนี้ ฉันเป็นแม่ของเจ้า ปทุมกุมารกล่าวว่า นอกจากเรา คนอื่นชื่อว่าเป็นพระราชาไม่มี เราจักให้พระนางอยู่ในพระราชฐาน รื่นรมย์กันด้วยความยินดีแห่งกิเลส แล้วจับมวยผมของหม่อมฉันทิ้งไปมา เมื่อหม่อมฉันไม่ยอมทำตามคำของตน ก็ทุบตีแล้วออกไป.
พระราชาไม่ทรงพิจารณาก่อน ทรงพระพิโรธดังอสรพิษ รับสั่งพวกราชบุรุษว่า พวกเจ้าจงไปมัดปทุมกุมารนำมา.
พวกราชบุรุษพากันไปวังปทุมกุมาร เหมือนอย่างกะแห่ไปเต็มเมือง จับปทุมกุมารทุบตีแล้วมัดมือไพล่หลังอย่างมั่นคง เอาโซ่คล้องคอกระทำเป็นนักโทษประหารชีวิต ทุบตีพลางนำไปพลาง.
พระโพธิสัตว์คิดว่า นี้เป็นการกระทำของเทวี จึงเดินบ่นมาว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญทั้งหลาย เรามิได้ประทุษร้ายพระราชา เราไม่มีความผิดเลย.
ชาวพระนครทั้งสิ้นพากันเอิกเกริกกล่าวว่า ได้ยินว่า พระราชาเชื่อคำผู้หญิง รับสั่งให้ฆ่าพระมหาปทุมกุมาร ประชุมกันกลิ้งเกลือกแทบเท้าพระกุมารร่ำไรรำพันด้วยเสียงดังว่า ข้าแต่นาย กรรมนี้ไม่สมควรแก่ท่านเลย.
▼ กำลังโหลดข้อมูล... ▼
แสดงความคิดเห็น
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
อยากทราบว่าในสมัยพุทธกาลมีบุรุษและสตรีผู้ใดที่เคยกล่าวกล่าวร้ายให้ร้ายพระพุทธเจ้า แล้วได้รับกรรมทันทีบ้างครับ