รูปคือร่างกายไม่เที่ยงนี่คิดว่าทุกคนคงจะเห็นได้
และก็จะมีความคิดต่อได้เป็น 2 ทาง
1. เมื่อร่างกายไม่เที่ยง ก็จะพยายามเสพสุขจากร่างกายนี้ให้เต็มที่ก่อนตาย เช่น กินๆๆ ให้เต็มที่ ตายแล้วไม่ใช่ได้กิน เป็นต้น
2. เมื่อร่างกายไม่เที่ยง ก็จะเห็นว่า ทุกข์ ทรมานเหลือเกินกับร่างกายนี้ เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวเป็นนั่น เป็นนี่
ผมก็เคยมีความคิดเช่นทางที่ 1 ว่ารีบเสพสุขกับร่างกายดีกว่า
พระพุทธองค์ก็เลยบอกว่า ความสุข ความทุกข์ที่ได้รับ นี่ มันก็ไม่เที่ยงนะ สุขเท่าไหร่นี่เดี๋ยวก็หายไป
กินเท่าไหร่ ก็สุขได้ไม่นาน เสพกามเท่าไหร่ ก็สุขได้ไม่นาน บางคนถึงได้อ้วนเอาเพราะเสพสุขกับการกิน ที่ไม่เที่ยง จึงกินเรื่อยๆ
เมื่อเรามองอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า เออความสุขจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี่มันไม่เที่ยงจริงๆ หาเท่าไหร่ก็แค่ชั่วเวลานิดเดียว
อย่าไปอยากสนองร่างกายเพื่อความสุขอีกเลย อย่าไปอยากกินมันเลย อร่อยแค่แป๊บเดียว อย่าไปอยากเสพกามมันเลย สุขแค่แป๊บเดียว
เห็นดังนี้ก็บรรลุธรรมได้
ผมก็เลยมีความคิดต่อว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ มันไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนของขันธ์ 5 นะ
มันเป็นแค่อาการของจิตที่พระพุทธเจ้าได้อธิบายแยกแยะเพื่อให้ละกิเลส ละ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ลงได้
เพราะถ้าละแต่รูป มันก็ยังมีความสุขให้คนยึดถืออยู่อีก
เข้าใจแล้วที่พระพุทธองค์ตรัส เวทนาไม่เที่ยงนี่เพื่ออะไร
และก็จะมีความคิดต่อได้เป็น 2 ทาง
1. เมื่อร่างกายไม่เที่ยง ก็จะพยายามเสพสุขจากร่างกายนี้ให้เต็มที่ก่อนตาย เช่น กินๆๆ ให้เต็มที่ ตายแล้วไม่ใช่ได้กิน เป็นต้น
2. เมื่อร่างกายไม่เที่ยง ก็จะเห็นว่า ทุกข์ ทรมานเหลือเกินกับร่างกายนี้ เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวเป็นนั่น เป็นนี่
ผมก็เคยมีความคิดเช่นทางที่ 1 ว่ารีบเสพสุขกับร่างกายดีกว่า
พระพุทธองค์ก็เลยบอกว่า ความสุข ความทุกข์ที่ได้รับ นี่ มันก็ไม่เที่ยงนะ สุขเท่าไหร่นี่เดี๋ยวก็หายไป
กินเท่าไหร่ ก็สุขได้ไม่นาน เสพกามเท่าไหร่ ก็สุขได้ไม่นาน บางคนถึงได้อ้วนเอาเพราะเสพสุขกับการกิน ที่ไม่เที่ยง จึงกินเรื่อยๆ
เมื่อเรามองอย่างนี้แล้ว ก็จะเห็นว่า เออความสุขจากรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี่มันไม่เที่ยงจริงๆ หาเท่าไหร่ก็แค่ชั่วเวลานิดเดียว
อย่าไปอยากสนองร่างกายเพื่อความสุขอีกเลย อย่าไปอยากกินมันเลย อร่อยแค่แป๊บเดียว อย่าไปอยากเสพกามมันเลย สุขแค่แป๊บเดียว
เห็นดังนี้ก็บรรลุธรรมได้
ผมก็เลยมีความคิดต่อว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่ มันไม่ใช่เป็นตัวเป็นตนของขันธ์ 5 นะ
มันเป็นแค่อาการของจิตที่พระพุทธเจ้าได้อธิบายแยกแยะเพื่อให้ละกิเลส ละ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ลงได้
เพราะถ้าละแต่รูป มันก็ยังมีความสุขให้คนยึดถืออยู่อีก