ผมเห็นทิดเขียด สงสัยในเรื่องที่ตั้งคำถามขึ้นมาหลายครั้งแล้ว จึงเห็นว่าผมคงสามารถอธิบายในเชิงบัญญัต ด้วยความเห็นตรงๆ ที่ผมพิจารณาไปได้ คงพอจะทำให้ทิดเขียด พอเข้าใจได้ ผมจึงตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อความชัดเจน
จากข้อความของคุณทิดเขียด
------------------
ความคิดเห็นที่ 9
สิ่งสิ่งหนึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก เลยทำให้มีการเกิดของสัตตานัง มาติดกะขันธ์5 เกิดตายในสังสารวัฏ มันก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า อวิชชาเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดตรงนี้ แล้ว อวิชชามันอยู่ตรงไหน ของทั้ง อสังคตธรรม กับ สังคตธรรม ก้อได้ ครับ รึว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏ ถ้าเข้าใจตรงนี้แสดงว่าสังสารวัฏ มันไม่ใช่ว่ามีแต่ขันธ์5 ผมยังไม่กระจ่างตรงนี้ รบกวนท่านผู้รู้ครับ
ตอบกลับ
0
0
ทิดเขียด
12 ชั่วโมงที่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 10
ตามที่ท่านเข้าใจ จะเป็นการดีมากถ้าไม่ยกพระสูตร เอาตามที่ท่าน(เมื่อได้ศึกษาตามโน่นนี่)ขอตีกรอบไว้ตรงนี้ครับ เน้นความเข้าใจของท่าน
ตอบกลับ
0
0
ทิดเขียด
12 ชั่วโมงที่แล้ว
-----------
อธิบาย...
สิ่งๆ หนึ่ง นั้นก็คือ ธรรม หรือธรรมชาติ นั้นเอง เมื่อยังไม่แยกแยะในรายละเอียด
แต่เมื่อแยกแยะในรายละเอียด ตามพุทธพจน์
ธรรม หรือ ธรรมชาติ นั้นมี 2 คือ 1.สังขตธรรม 2. อสังขตธรรม ซึ่งไม่มีสิ่งใดหรือธรรมใดๆ หรือธาตุใดๆ นอกเหนือไปจาก ธรรม หรือ ธรรมชาติ 2 นี้เลย ตามความหมายของพุทธพจน์
ทิดเขียด หรือท่านผู้อ่านทั้งหลายคงพอทำความเข้าใจ ที่ผมเสนออธิบายด้านบนได้นะครับ
เมื่อทำความเข้าใจได้แล้ว ก็เข้าประเด็นสำครับ ที่ว่า...
สิ่งสิ่งหนึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก เลยทำให้มีการเกิดของสัตตานัง มาติดกะขันธ์5 เกิดตายในสังสารวัฏ
นั้นแหละคือธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม ซึ่งจะรวมทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ รวมทั้ง ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิด ตั้งแต่ อวิชชา>สังขาร>วิญญาณ>นามรูป>อายตนะ>ผัสส>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน> ฯลฯ หรือกล่าวโดยย่อโดยรามคือ รูป จิต เจตสิก นั้นเอง
ดังนั้นเมื่อสรุปรวมทั้งหมด ฝ่าย สังขตธรรม ก็คือ รูป จิต เจตสิก นั้นเอง
เมื่อเป็นดังนี้ อวิชชา นั้นก็จะเป็นธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม เท่านั้น ย่อมไม่อยู่ในฝ่าย อสังขตธรรม
หวังว่า ทิดเขียด หรือท่านผู้อ่าน พอทำความเข้าใจตรงด้านบนได้นะครับ
แต่เมื่อใด วิชชา บังเกิดจนดับ อวิชชา ได้หมดสิ้น ธรรมชาตินั้นก็จะอยู่ในฝ่าย อสังขตธรรม ก็คือ นิพพาน นั้นเอง
ซึ่ง นิพพาน นั้นมีสถาวะเป็นหนึ่งเป็นอมตะ ไม่ปน ไม่กลับกลาย หรือไม่ปรุงแต่ง กับ รูป หรือกับ จิต เจตสิก หรือกล่าวว่าเป็นธรรมชาติคนละฝั่งกันกับสังขตธรรมนั้นเอง เมื่อบัญญัติตามพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า ธรรม นั้นมี 2 คือ สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม.
หวังว่า ทิดเขียด หรือ ท่านผู้อ่านคงพอทำความเข้าใจตามบัญญัต พอได้นะครับ.
แต่ถ้าจะเกิดปัญญาแจ้งชัด หรือเพื่อพ้นทุกข์จริงๆ ไปจากธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม นั้นต้องปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง จนบรรลุธรรมไปตามลำดับหรือตรัสรู้ พระนิพพาน ที่กล่าวว่าเป็น อมตะสงบสันติยิ่ง เป็นหนึ่งไม่กำหนดหมายใดๆ ไม่ปรุงแต่งไม่กลับกลายเป็นทุกขังหรือทุกข์ใดๆ อีกเลย
สรุป. เพื่อความเข้าใจสำหรับ ทิดเขียด อีกครั้ง
สิ่งสิ่งหนึ่ง ก็คือ ธรรม หรือธรรมชาติ นั้นเอง
เมื่อกล่าวถึงสิ่งหนึ่งมีอวิชชา เป็นการชี้ให้ทราบว่า เป็น ธรรมชาติ ฝ่าย สังขตธรรม นั้นเอง ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติฝ่าย อสัขตธรรม.
ทั้ง ทิดเขียดหรือผู้อ่าน ร่วมสนทนาต่อได้ครับ.
อธิบายเรื่องธรรมชาติ หรือธรรมนั้น มี 2 คือ 1.สังขตธรรม 2.อสังขตธรรม ที่ ทิดเขียด สงสัยเรื่องสิ่งๆ หนึ่งเมื่อมีอวิชชา
จากข้อความของคุณทิดเขียด
------------------
ความคิดเห็นที่ 9
สิ่งสิ่งหนึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก เลยทำให้มีการเกิดของสัตตานัง มาติดกะขันธ์5 เกิดตายในสังสารวัฏ มันก็เข้าใจได้ไม่ยากว่า อวิชชาเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดตรงนี้ แล้ว อวิชชามันอยู่ตรงไหน ของทั้ง อสังคตธรรม กับ สังคตธรรม ก้อได้ ครับ รึว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของสังสารวัฏ ถ้าเข้าใจตรงนี้แสดงว่าสังสารวัฏ มันไม่ใช่ว่ามีแต่ขันธ์5 ผมยังไม่กระจ่างตรงนี้ รบกวนท่านผู้รู้ครับ
ตอบกลับ
0
0
ทิดเขียด
12 ชั่วโมงที่แล้ว
ความคิดเห็นที่ 10
ตามที่ท่านเข้าใจ จะเป็นการดีมากถ้าไม่ยกพระสูตร เอาตามที่ท่าน(เมื่อได้ศึกษาตามโน่นนี่)ขอตีกรอบไว้ตรงนี้ครับ เน้นความเข้าใจของท่าน
ตอบกลับ
0
0
ทิดเขียด
12 ชั่วโมงที่แล้ว
-----------
อธิบาย...
สิ่งๆ หนึ่ง นั้นก็คือ ธรรม หรือธรรมชาติ นั้นเอง เมื่อยังไม่แยกแยะในรายละเอียด
แต่เมื่อแยกแยะในรายละเอียด ตามพุทธพจน์
ธรรม หรือ ธรรมชาติ นั้นมี 2 คือ 1.สังขตธรรม 2. อสังขตธรรม ซึ่งไม่มีสิ่งใดหรือธรรมใดๆ หรือธาตุใดๆ นอกเหนือไปจาก ธรรม หรือ ธรรมชาติ 2 นี้เลย ตามความหมายของพุทธพจน์
ทิดเขียด หรือท่านผู้อ่านทั้งหลายคงพอทำความเข้าใจ ที่ผมเสนออธิบายด้านบนได้นะครับ
เมื่อทำความเข้าใจได้แล้ว ก็เข้าประเด็นสำครับ ที่ว่า...
สิ่งสิ่งหนึ่งมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นมีตัณหาเป็นเครื่องผูก เลยทำให้มีการเกิดของสัตตานัง มาติดกะขันธ์5 เกิดตายในสังสารวัฏ
นั้นแหละคือธรรมชาติ แต่เป็นธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม ซึ่งจะรวมทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรือ รวมทั้ง ปฏิจสมุทปบาทฝ่ายเกิด ตั้งแต่ อวิชชา>สังขาร>วิญญาณ>นามรูป>อายตนะ>ผัสส>เวทนา>ตัณหา>อุปาทาน> ฯลฯ หรือกล่าวโดยย่อโดยรามคือ รูป จิต เจตสิก นั้นเอง
ดังนั้นเมื่อสรุปรวมทั้งหมด ฝ่าย สังขตธรรม ก็คือ รูป จิต เจตสิก นั้นเอง
เมื่อเป็นดังนี้ อวิชชา นั้นก็จะเป็นธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม เท่านั้น ย่อมไม่อยู่ในฝ่าย อสังขตธรรม
หวังว่า ทิดเขียด หรือท่านผู้อ่าน พอทำความเข้าใจตรงด้านบนได้นะครับ
แต่เมื่อใด วิชชา บังเกิดจนดับ อวิชชา ได้หมดสิ้น ธรรมชาตินั้นก็จะอยู่ในฝ่าย อสังขตธรรม ก็คือ นิพพาน นั้นเอง
ซึ่ง นิพพาน นั้นมีสถาวะเป็นหนึ่งเป็นอมตะ ไม่ปน ไม่กลับกลาย หรือไม่ปรุงแต่ง กับ รูป หรือกับ จิต เจตสิก หรือกล่าวว่าเป็นธรรมชาติคนละฝั่งกันกับสังขตธรรมนั้นเอง เมื่อบัญญัติตามพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า ธรรม นั้นมี 2 คือ สังขตธรรม กับ อสังขตธรรม.
หวังว่า ทิดเขียด หรือ ท่านผู้อ่านคงพอทำความเข้าใจตามบัญญัต พอได้นะครับ.
แต่ถ้าจะเกิดปัญญาแจ้งชัด หรือเพื่อพ้นทุกข์จริงๆ ไปจากธรรมชาติฝ่าย สังขตธรรม นั้นต้องปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง จนบรรลุธรรมไปตามลำดับหรือตรัสรู้ พระนิพพาน ที่กล่าวว่าเป็น อมตะสงบสันติยิ่ง เป็นหนึ่งไม่กำหนดหมายใดๆ ไม่ปรุงแต่งไม่กลับกลายเป็นทุกขังหรือทุกข์ใดๆ อีกเลย
สรุป. เพื่อความเข้าใจสำหรับ ทิดเขียด อีกครั้ง
สิ่งสิ่งหนึ่ง ก็คือ ธรรม หรือธรรมชาติ นั้นเอง
เมื่อกล่าวถึงสิ่งหนึ่งมีอวิชชา เป็นการชี้ให้ทราบว่า เป็น ธรรมชาติ ฝ่าย สังขตธรรม นั้นเอง ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติฝ่าย อสัขตธรรม.
ทั้ง ทิดเขียดหรือผู้อ่าน ร่วมสนทนาต่อได้ครับ.