กรรมที่เป็นเรื่องหนักๆ เลย ก็คือกรรมที่เกี่ยวกับศีล ๕ นี่แหละค่ะ.....
กรรมที่เป็นเรื่องหนักๆ เลย ก็คือกรรมที่เกี่ยวกับศีล ๕ นี่แหละค่ะ
ศีลข้อที่หนึ่ง อ่านเรื่องนี้แล้วไม่ต้องเครียดนะคะถ้าทำไปแล้ว แต่แม่ชีจะอธิบายให้ฟังว่า
โยมยังไม่เข้าใจ เรื่องศีลห้า มีหลายท่านบอกกับแม่ชีว่า หนูไม่เคยทำร้ายสัตว์ ผมไม่เคยทำร้ายใคร
ตกปลา เตะหมา ยิงแมว ผมไม่เคยทำ แม่ชีจะบอกให้นะคะ โยมไม่เคยทำร้ายสัตว์ แต่โยมทำแท้ง
อันนี้ไม่ฆ่าสัตว์นะคะ นี่ฆ่าคนหนักกว่าฆ่าสัตว์อีก เพราะเด็กที่เราทำแท้งไปมันผิดศีลข้อ ๑ นะ
ประกอบอาชีพอะไร ไปทำงานที่ไหนกรรมตรงนี้จะทำให้โยมไม่เจริญรุ่งเรือง มีครอบครัวก็ต้อง
แตกแยก เพราะกรรมเรื่องทำแท้งมันเป็นกรรมดำผู้ใหญ่ไม่เอ็นดู จะมีปัญหาตลอด
มันก็เหมือนกับมีกระจกดำๆ เป็นเงาดำๆ มาซ้อนอยู่ที่หน้าเรา เวลาเราไปไหนก็จะถูกปฏิเสธ
จากทุกที่ในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องของครอบครัวก็จะมีเรื่องทำให้ร้อนใจอยู่บ่อยๆ ในเรื่อง
ของวัยรุ่นที่ไปเป็นหมู่ไปเป็นแพ็คเวลาที่วันวาเลนไทน์หรือวันลอยกระทง วันอะไรอย่างนี้ มันก็จะมี
กรรมที่ตามขึ้นมาก็คือการทำแท้ง นั่งคุยกับโยมประมาณ ๔๐๐ คน ก็จะมีประมาณ ๓๕๐ คน
ที่ไปทำแท้ง แม่ชีก็อยากบอกว่า “อย่าชิงสุกก่อนห่าม” การเสียตัวครั้งแรกของเรานี้มันเป็นกรรม
ที่ทำให้เราหมกไหม้ทั้งชีวิต แล้วจะทำยังไงล่ะ เพราะว่าเราทำแท้งมาแล้ว สิ่งทำไปแล้วก็ให้ทำบุญ
อุทิศส่วนกุศลไปว่า ถ้ามีโอกาสเกิดก็คงจะได้เกิดมาเป็นแม่เป็นลูกกัน แต่ว่าที่ไม่มีโอกาสเกิดเพราะว่า
มีกรรมร่วมกัน ก็ไม่ต้องไปนึกถึงสิ่งที่ทำไปแล้ว ถามว่าเกรงกลัวต่อบาปมันก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าทำไป
แล้วจะให้มาแก้ไขมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีโอกาสก็มานั่งรักษาศีล อุทิศส่วนกุศลให้เขาชีวิตมันก็
จะดีขึ้น เพราะคนส่วนมากคิดว่าที่ชีวิตไม่ดีเพราะทำแท้ง เพราะว่าจะบอกว่าตัวเองไม่ดีเพราะว่า
ตัวเองทำแท้งมา แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันมีส่วนอื่นประกอบด้วย อันที่ชีวิตไม่ดีขึ้นก็เพราะว่า
อย่างที่หนึ่ง ขี้เกียจ อย่างที่สองอุปาทานเยอะ ฟังใครพูดอะไร ก็คิดว่านินทาเราหมดมันก็เลย
ไม่มีกำลังใจที่จะทำงาน
ถ้าใครเคยทำก็ต้องนั่งสมาธิ สมาทานศีลห้า ก่อนนอนทุกคืน หรืออีกอย่างคือ มาปฏิบัติ
ธรรมที่วัดพิชัยญาติ วันเสาร์ วันอาทิตย์ ชีวิตก็จะดีขึ้น กรรมที่ไม่ตั้งใจ ถ้าเราเข้าใจในเรื่องกฎ
แห่งกรรม ก็จะทำให้เราระวังมากขึ้น
ศีลข้อที่สอง ก็อยู่กับการทำงานเรามาตลอดเช่น เราทำงานอยู่ในสำนักงานอาจจะมี
ปากกาติดกระเป๋าเรามาโดยที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ กระดาษ ซองบริษัท มันไม่ใช่ของของเราพอ
เอากลับมาบ้านมันก็มาเป็นปัญหา มาเป็นกรรมเล็กกรรมน้อยที่สะสมมาเป็นกรรมใหญ่ได้ มีโยม
นั่งรถเข็นรอพบแม่ชีหลายคน บางคนพูดได้ บางคนพูดไม่ได้เพราะเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์
ลูกหลานพานั่งรถเข็นมา รายแรกเป็นผู้ชาย
แม่ชีก็ถามว่า “โยมเคยเป็นช่างไม้แกะสลักใช่มั้ยคะ”
โยมตอบว่า”ใช่ครับ โยมเป็นช่างซ่อมไม้ด้วยใช่มั้ย ครับผม ผมมีกรรมอะไร ผมไม่เคยป่วยเลย
ตั้งแต่เด็กจนอายุ ๖๐ อยู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาปากคอเบี้ยว ไม่มีแรงซีกหนึ่ง” แล้วก็ร้องไห้
แม่ชี “โยมซ่อมไม้ให้เขา บางชิ้นมันไม่ต้องซ่อมแต่โยมตัดไม้เขาออก พอกลับบ้านโยมก็โยนไม้
เหล่านั้นกลับบ้าน เอาไม้ที่ตัดมาขัดใหม่แล้วก็เอาไปใส่ที่เดิมแล้วคิดค่าจ้างไม้ อย่างนี้เรียกว่าโกงค่ะ
โยมทำแบบนี้หรือเปล่า” โยมร้องไห้ไม่ตอบ โยมยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเถอะค่ะ พยายามช่วย
เหลือตัวเองอย่าซึมเศร้าอยู่เลยนะคะ มันจะทำให้เราป่วยใจไปอีก ต้องรักษาอารมณ์อย่าโกรธ
อย่าเสียใจเลย แม่ชีคิดว่าไม่มีใครคิดเรื่องนี้หรอกว่าใครจะกลับเป็นเหมือนไม้ชิ้นที่เอาไปใส่ที่เดิม
โยมไม่เหมือนเดิมนะคะ ยังต้องต่อสู้กับกรรมนี้อีกนาน เป็นวิทยาทานนะคะ เพื่อใครอ่านเจอจะได้
ไม่ทำแบบโยม
เรื่องการประกอบอาชีพ ทุกคนล้วนต้องการได้กำไรมาก มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ทุกคน
จะทำให้ได้กำไรมากทุกคน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีทุกข์เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่เข้ามาเพื่อ
ปรึกษาถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้น
แม่ชี: “โยมเปิดร้านขายเสื้อผ้าส่งนอกหรือเปล่าคะ”
โยม: “ค่ะ ทำกางเกงยีนส์ส่งนอก”
แม่ชี: “ทำนานไหมคะ”
โยม: “ทำมาเกือบ ๒๐ ปี แล้วค่ะ”
แม่ชี: “รวยไหมคะ”
โยม: “ถ้ารวยคงไม่มาหาแม่ชีหรอกค่ะ ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นหนี้”
แม่ชี: “แม่ชีเห็นโยมก๊อปยี่ห้อลีวายส์ และก็อีกหลายยี่ห้อ”
โยม: “เขาสั่งมาค่ะ หนูก็ทำตามใบสั่ง หนูไม่เข้าใจเป็นกรรมได้อย่างไรคะ”
แม่ชี: “อะไรก็แล้วแต่ที่เขาจดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้แล้วโยมทำผิดโยมก็ต้องรับผิดชอบ ทำมา
ตั้ง ๒๐ ปี น่าจะร่ำรวยแต่เพราะมันเป็นการลอกเลียนก็ถือว่าโยมทำผิดมา ๒๐ ปี เงินทอง
ที่ได้มามันก็จากไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันผิดกฎหมาย”
ศีลข้อที่สาม การผิดในข้อกาเมฯ บางคนคิดว่าเราไม่ได้เป็นชู้กับใครแต่พ่อแม่ไม่พร้อมให้เรา
แต่งงานพอเราดึงดันที่จะแต่งงานกัน อันนี้ก็ผิดศีลข้อที่สามนะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็มีปัญหาต่อกัน
มีความขัดแย้งต่อกัน ก็ทำให้เกิดความแตกแยก หรืออย่างเราถูกสามีทุบตี เราก็ไปฟ้องพ่อแม่เรา
ฝ่ายพ่อแม่เราก็ให้เลิกๆ กันไปให้เลิกกันไป มันก็เป็นเวรกันอีก
ศีลข้อที่สี่ พูดอะไรไว้ต้องรับหมดเลย พูดโกหก พูดเพ้อเจ้อ พูดล้อเลียน หรือว่าเสียดสี
ที่เรากำลังเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้มันเป็นเงาตามมา เหมือนกับว่าทำไมกรรมมันจานด่วนมา
ตามสั่งเลย ทุกเรื่องที่เราเห็นในเรื่องของสังคมบ้านเมืองเรา
ศีลข้อที่ห้า เกิดมาเป็นคนแล้วอย่าทำชีวิตให้มึนเมา ทำอะไรก็ได้ทำชีวิตให้เป็นสุขแล้วก็
อย่าเอาอะไรมาเป็นภาระทางใจ เพราะบางคนมาพบแม่แล้วไม่กล้า เขาบอกว่าพบแม่ชีทศพร
แล้วก็กลัว เพราะแม่ชีจะบอก แต่เรื่องกรรมทั้งนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ ก็จะบอกว่า โยมมา
ปฏิบัติบ้าง โยมก็จะผลัดวันประกันพรุ่ง ห่วงหมาห่วงแมว ห่วงแม่ห่วงพ่อ แต่ความจริงมันไม่ใช่
เป็นข้ออ้าง สังคมปัจจุบันที่แม่ชีพบเห็นทุกวัน คือกรรมจากการทำแท้งมากที่สุด รองลงมาก็กรรม
ที่ทำให้พ่อแม่เสียใจต่อมาก็กรรมจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในยามมีโอกาส ก็ขโมยทรัพย์
ของพ่อแม่ และขโมยทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่น กรรมต่อมาก็พูดให้ผู้อื่นแตกแยก สรุปก็เมา
เป็นข้อสุดท้าย นี่แหละค่ะที่เรียกว่า ศีลห้า เราทำผิดทุกข้อ มีโยมบอกแม่ชีว่า ไม่เคยรู้เลยว่า
สิ่งที่ทุกข์ ในทุกวันนี้ คือการกระทำของตนเองทั้งสิ้น
กรรมที่เกี่ยวกับศีล ๕ ( แม่ชีทศพร ) ท่านใดที่ไม่ชอบไม่ต้องคลิกเข้ามาอ่านค่ะ
กรรมที่เป็นเรื่องหนักๆ เลย ก็คือกรรมที่เกี่ยวกับศีล ๕ นี่แหละค่ะ
ศีลข้อที่หนึ่ง อ่านเรื่องนี้แล้วไม่ต้องเครียดนะคะถ้าทำไปแล้ว แต่แม่ชีจะอธิบายให้ฟังว่า
โยมยังไม่เข้าใจ เรื่องศีลห้า มีหลายท่านบอกกับแม่ชีว่า หนูไม่เคยทำร้ายสัตว์ ผมไม่เคยทำร้ายใคร
ตกปลา เตะหมา ยิงแมว ผมไม่เคยทำ แม่ชีจะบอกให้นะคะ โยมไม่เคยทำร้ายสัตว์ แต่โยมทำแท้ง
อันนี้ไม่ฆ่าสัตว์นะคะ นี่ฆ่าคนหนักกว่าฆ่าสัตว์อีก เพราะเด็กที่เราทำแท้งไปมันผิดศีลข้อ ๑ นะ
ประกอบอาชีพอะไร ไปทำงานที่ไหนกรรมตรงนี้จะทำให้โยมไม่เจริญรุ่งเรือง มีครอบครัวก็ต้อง
แตกแยก เพราะกรรมเรื่องทำแท้งมันเป็นกรรมดำผู้ใหญ่ไม่เอ็นดู จะมีปัญหาตลอด
มันก็เหมือนกับมีกระจกดำๆ เป็นเงาดำๆ มาซ้อนอยู่ที่หน้าเรา เวลาเราไปไหนก็จะถูกปฏิเสธ
จากทุกที่ในเรื่องของการทำงาน ในเรื่องของครอบครัวก็จะมีเรื่องทำให้ร้อนใจอยู่บ่อยๆ ในเรื่อง
ของวัยรุ่นที่ไปเป็นหมู่ไปเป็นแพ็คเวลาที่วันวาเลนไทน์หรือวันลอยกระทง วันอะไรอย่างนี้ มันก็จะมี
กรรมที่ตามขึ้นมาก็คือการทำแท้ง นั่งคุยกับโยมประมาณ ๔๐๐ คน ก็จะมีประมาณ ๓๕๐ คน
ที่ไปทำแท้ง แม่ชีก็อยากบอกว่า “อย่าชิงสุกก่อนห่าม” การเสียตัวครั้งแรกของเรานี้มันเป็นกรรม
ที่ทำให้เราหมกไหม้ทั้งชีวิต แล้วจะทำยังไงล่ะ เพราะว่าเราทำแท้งมาแล้ว สิ่งทำไปแล้วก็ให้ทำบุญ
อุทิศส่วนกุศลไปว่า ถ้ามีโอกาสเกิดก็คงจะได้เกิดมาเป็นแม่เป็นลูกกัน แต่ว่าที่ไม่มีโอกาสเกิดเพราะว่า
มีกรรมร่วมกัน ก็ไม่ต้องไปนึกถึงสิ่งที่ทำไปแล้ว ถามว่าเกรงกลัวต่อบาปมันก็เป็นเรื่องดี แต่ว่าทำไป
แล้วจะให้มาแก้ไขมันก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีโอกาสก็มานั่งรักษาศีล อุทิศส่วนกุศลให้เขาชีวิตมันก็
จะดีขึ้น เพราะคนส่วนมากคิดว่าที่ชีวิตไม่ดีเพราะทำแท้ง เพราะว่าจะบอกว่าตัวเองไม่ดีเพราะว่า
ตัวเองทำแท้งมา แต่ความจริงมันไม่ใช่ มันมีส่วนอื่นประกอบด้วย อันที่ชีวิตไม่ดีขึ้นก็เพราะว่า
อย่างที่หนึ่ง ขี้เกียจ อย่างที่สองอุปาทานเยอะ ฟังใครพูดอะไร ก็คิดว่านินทาเราหมดมันก็เลย
ไม่มีกำลังใจที่จะทำงาน
ถ้าใครเคยทำก็ต้องนั่งสมาธิ สมาทานศีลห้า ก่อนนอนทุกคืน หรืออีกอย่างคือ มาปฏิบัติ
ธรรมที่วัดพิชัยญาติ วันเสาร์ วันอาทิตย์ ชีวิตก็จะดีขึ้น กรรมที่ไม่ตั้งใจ ถ้าเราเข้าใจในเรื่องกฎ
แห่งกรรม ก็จะทำให้เราระวังมากขึ้น
ศีลข้อที่สอง ก็อยู่กับการทำงานเรามาตลอดเช่น เราทำงานอยู่ในสำนักงานอาจจะมี
ปากกาติดกระเป๋าเรามาโดยที่เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ กระดาษ ซองบริษัท มันไม่ใช่ของของเราพอ
เอากลับมาบ้านมันก็มาเป็นปัญหา มาเป็นกรรมเล็กกรรมน้อยที่สะสมมาเป็นกรรมใหญ่ได้ มีโยม
นั่งรถเข็นรอพบแม่ชีหลายคน บางคนพูดได้ บางคนพูดไม่ได้เพราะเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์
ลูกหลานพานั่งรถเข็นมา รายแรกเป็นผู้ชาย
แม่ชีก็ถามว่า “โยมเคยเป็นช่างไม้แกะสลักใช่มั้ยคะ”
โยมตอบว่า”ใช่ครับ โยมเป็นช่างซ่อมไม้ด้วยใช่มั้ย ครับผม ผมมีกรรมอะไร ผมไม่เคยป่วยเลย
ตั้งแต่เด็กจนอายุ ๖๐ อยู่ๆ ก็ตื่นขึ้นมาปากคอเบี้ยว ไม่มีแรงซีกหนึ่ง” แล้วก็ร้องไห้
แม่ชี “โยมซ่อมไม้ให้เขา บางชิ้นมันไม่ต้องซ่อมแต่โยมตัดไม้เขาออก พอกลับบ้านโยมก็โยนไม้
เหล่านั้นกลับบ้าน เอาไม้ที่ตัดมาขัดใหม่แล้วก็เอาไปใส่ที่เดิมแล้วคิดค่าจ้างไม้ อย่างนี้เรียกว่าโกงค่ะ
โยมทำแบบนี้หรือเปล่า” โยมร้องไห้ไม่ตอบ โยมยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นเถอะค่ะ พยายามช่วย
เหลือตัวเองอย่าซึมเศร้าอยู่เลยนะคะ มันจะทำให้เราป่วยใจไปอีก ต้องรักษาอารมณ์อย่าโกรธ
อย่าเสียใจเลย แม่ชีคิดว่าไม่มีใครคิดเรื่องนี้หรอกว่าใครจะกลับเป็นเหมือนไม้ชิ้นที่เอาไปใส่ที่เดิม
โยมไม่เหมือนเดิมนะคะ ยังต้องต่อสู้กับกรรมนี้อีกนาน เป็นวิทยาทานนะคะ เพื่อใครอ่านเจอจะได้
ไม่ทำแบบโยม
เรื่องการประกอบอาชีพ ทุกคนล้วนต้องการได้กำไรมาก มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ที่ทุกคน
จะทำให้ได้กำไรมากทุกคน โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มีทุกข์เกิดขึ้นกับครอบครัวหนึ่งที่เข้ามาเพื่อ
ปรึกษาถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้น
แม่ชี: “โยมเปิดร้านขายเสื้อผ้าส่งนอกหรือเปล่าคะ”
โยม: “ค่ะ ทำกางเกงยีนส์ส่งนอก”
แม่ชี: “ทำนานไหมคะ”
โยม: “ทำมาเกือบ ๒๐ ปี แล้วค่ะ”
แม่ชี: “รวยไหมคะ”
โยม: “ถ้ารวยคงไม่มาหาแม่ชีหรอกค่ะ ยิ่งทำก็ยิ่งเป็นหนี้”
แม่ชี: “แม่ชีเห็นโยมก๊อปยี่ห้อลีวายส์ และก็อีกหลายยี่ห้อ”
โยม: “เขาสั่งมาค่ะ หนูก็ทำตามใบสั่ง หนูไม่เข้าใจเป็นกรรมได้อย่างไรคะ”
แม่ชี: “อะไรก็แล้วแต่ที่เขาจดทะเบียนลิขสิทธิ์ไว้แล้วโยมทำผิดโยมก็ต้องรับผิดชอบ ทำมา
ตั้ง ๒๐ ปี น่าจะร่ำรวยแต่เพราะมันเป็นการลอกเลียนก็ถือว่าโยมทำผิดมา ๒๐ ปี เงินทอง
ที่ได้มามันก็จากไปอย่างรวดเร็ว เพราะมันผิดกฎหมาย”
ศีลข้อที่สาม การผิดในข้อกาเมฯ บางคนคิดว่าเราไม่ได้เป็นชู้กับใครแต่พ่อแม่ไม่พร้อมให้เรา
แต่งงานพอเราดึงดันที่จะแต่งงานกัน อันนี้ก็ผิดศีลข้อที่สามนะ ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายก็มีปัญหาต่อกัน
มีความขัดแย้งต่อกัน ก็ทำให้เกิดความแตกแยก หรืออย่างเราถูกสามีทุบตี เราก็ไปฟ้องพ่อแม่เรา
ฝ่ายพ่อแม่เราก็ให้เลิกๆ กันไปให้เลิกกันไป มันก็เป็นเวรกันอีก
ศีลข้อที่สี่ พูดอะไรไว้ต้องรับหมดเลย พูดโกหก พูดเพ้อเจ้อ พูดล้อเลียน หรือว่าเสียดสี
ที่เรากำลังเห็นๆ กันอยู่ในปัจจุบันนี้มันเป็นเงาตามมา เหมือนกับว่าทำไมกรรมมันจานด่วนมา
ตามสั่งเลย ทุกเรื่องที่เราเห็นในเรื่องของสังคมบ้านเมืองเรา
ศีลข้อที่ห้า เกิดมาเป็นคนแล้วอย่าทำชีวิตให้มึนเมา ทำอะไรก็ได้ทำชีวิตให้เป็นสุขแล้วก็
อย่าเอาอะไรมาเป็นภาระทางใจ เพราะบางคนมาพบแม่แล้วไม่กล้า เขาบอกว่าพบแม่ชีทศพร
แล้วก็กลัว เพราะแม่ชีจะบอก แต่เรื่องกรรมทั้งนั้น แต่ความจริงไม่ใช่ ก็จะบอกว่า โยมมา
ปฏิบัติบ้าง โยมก็จะผลัดวันประกันพรุ่ง ห่วงหมาห่วงแมว ห่วงแม่ห่วงพ่อ แต่ความจริงมันไม่ใช่
เป็นข้ออ้าง สังคมปัจจุบันที่แม่ชีพบเห็นทุกวัน คือกรรมจากการทำแท้งมากที่สุด รองลงมาก็กรรม
ที่ทำให้พ่อแม่เสียใจต่อมาก็กรรมจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในยามมีโอกาส ก็ขโมยทรัพย์
ของพ่อแม่ และขโมยทรัพย์ทางปัญญาของผู้อื่น กรรมต่อมาก็พูดให้ผู้อื่นแตกแยก สรุปก็เมา
เป็นข้อสุดท้าย นี่แหละค่ะที่เรียกว่า ศีลห้า เราทำผิดทุกข้อ มีโยมบอกแม่ชีว่า ไม่เคยรู้เลยว่า
สิ่งที่ทุกข์ ในทุกวันนี้ คือการกระทำของตนเองทั้งสิ้น