ลิงค์ตอนก่อนๆ
บทที่ 1-2
http://ppantip.com/topic/30914583
บทที่ 3
http://ppantip.com/topic/30917959
บทที่ 4-5
http://ppantip.com/topic/30930074
++++
บทที่ 6
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คุณบ้าไปแล้วหรือไง!”
รวิสรากรีดเสียง พยายามดิ้นรนออกจาก ‘มุม’ ที่ปุรณะต้อนเธอเข้าไปจนอยู่ข้างรถเขา หลังเธอชนบานประตู ส่วนด้านหน้าถูกทั้งตัวและวงแขนของเขากักเอาไว้ ความใกล้ชิดที่ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นคงชวนให้สาวที่แนบชิดเขาอยู่กรี๊ด อ่อนระทวย หรือ ‘ตีปีก’ แต่กลับทำให้เธอสติแตกและฉุนขาดในเวลานี้
หลังจากหลอกเธอให้มาเจอหน้าเขาอี๋อ๋อกับสาวอยู่อย่างไร้ยางอาย ปุรณะยังมีหน้ามารุกถึงเนื้อถึงตัวเหมือนเธอเป็นลูกไก่ในกำมือไม่มีผิด
เธอยอมรับว่าตัวเองผิดเรื่องปุษยา ยอมรับความบ้าคลั่งเสียใจเรื่องน้องสาวของปุรณะได้ระดับหนึ่ง แต่ ‘เอาคืน’ กันแบบนี้มันเกินไป!
เธอไม่ใช่นางเอกจำเลยรักนะยะจะได้ยอมให้เขาตบจูบได้ตบจูบเอา!
“บอกว่าปล่อยซี่!”
หญิงสาวขู่ฟ่อ พยายามขยับเท้าจะกระทืบหรือตีเข่าใส่เขาอีกรอบ แต่ผลที่ได้คือปุรณะแนบตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เขาเอาขาดันขาเธอไว้ มือข้างหนึ่งกดรวบมือเธอราวกับคีมเหล็ก ขณะที่ใช้ตัวดันมือเธออีกข้างไว้ไม่ให้ขยับได้
“ฤทธิ์มากนักนะ คุณคิดว่าคุณจะหนีไปไหนได้ อยากให้ผมปราบพยศนักใช่ไหม”
ปุรณะคำรามอยู่ข้างหูเธอ เขาล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า กดรีโมทเปิดล็อกด้วยมือข้างเดียว ทำท่าจะดึงประตูเปิดและผลักเธอเข้าไปในรถ
หญิงสาวอ้าปาก...ทำท่าจะกรี๊ดขอความช่วยเหลือ แต่แล้วปากเขาก็ประกบลงมา...จาบจ้วงดุดันแบบที่ทำให้รวิสราอึ้ง หัวขาววูบไปชั่วครู่
มือของเขาบีบแน่นเข้ากับข้อมือเธอ จุมพิตนั้นกดลงดื่มด่ำลึกซึ้งขึ้น บังคับให้ริมฝีปากเธอเผยอออก เร่าร้อนราวจะลงทัณฑ์ ชั่วครู่เขาก็ถอนริมฝีปากออก หัวเราะเสียงกร้าวในคอปนเย้ยหยัน
“เงียบไปเลยหรือ ยัยตัวแสบ”
ถ้าจูบเมื่อครู่จะทำให้เธอรู้สึกรู้สาอะไรอยู่บ้าง คำพูดของเขาก็ทำลายมันลงแบบไม่เหลือรูป รวิสราจ้องหน้าเขาเขม็ง เปิดปาก กรีดเสียงร้องออกมาสุดเสียง ทว่าเขาเหมือนจะไม่สะทกสะท้านเมื่อเอามือหนึ่งตะปบปิดปาก แขนอีกข้างรัดตัวเธอไว้แน่น กระชากประตูรถเปิดออก รุนเธอจนเซเข้าไปข้างในอย่างไม่ปรานีปราศรัย
ปึง!
แรงผลักวับหายไปพร้อมกับที่ร่างของปุรณะถูกกระชากออกจากตัวเธอ ตามมาด้วยเสียงโครมลั่นเหมือนอะไรกระแทกเข้ากับตัวรถ หญิงสาวไม่ยอมเสียเวลากะพริบตาเลยเมื่อเธอถลันออกจากรถ เตรียมพร้อมจะรับมือกับอะไรก็ตามที่อาจเจอ
ภาพที่รวิสราเห็นคือไตรคว้าตัวปุรณะจับบิดแขนกระแทกเข้ากับรถ ฝ่ายหลังสูงกว่าไตรอยู่เล็กน้อย แต่เพียงเธอดูแวบเดียวก็รู้ว่าเมื่อถึงเรื่องต่อยตี ไตรเป็นฝ่ายได้เปรียบปุรณะอยู่หลายขุม
ไม่ใช่ว่าปุรณะอ่อนแอ แขนเธอยังเจ็บอยู่ด้วยซ้ำตรงที่เขาบีบเมื่อครู่ และหญิงสาวก็กล้าพนันเอาอะไรก็ได้ว่าเขาไม่ได้เก่งแต่กับผู้หญิง ทว่าไตรดูเหมือนมีประสบการณ์กับการ ‘มีเรื่อง’ มามากจนรู้แล้ว...ว่าจะต้องทำอย่างไร
ถ้าจะสรุปอย่างง่ายๆ คือเขาสู้เป็น ชายหนุ่มไม่เสียเวลาข่มขู่กระชากคอเสื้อใคร ไม่เสียเวลาให้โอกาสอีกฝ่ายสู้กลับอย่างสุภาพบุรุษ แต่ฉวยโอกาสเท่าที่จะฉวยได้เมื่อตนกำลังได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม ปุรณะดูเหมือนจะไม่ยอมจำนนเสียง่ายๆ แม้จะตกเป็นเบี้ยล่าง เขาขยับตัวเหมือนจะตอบโต้กลับตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อแลมาเห็นเธอ... ตาสบตา ก่อนตาคมคู่นั้นจะกะพริบถี่ ความงุนงงแล่นผ่านเข้ามาในสีหน้า แล้วจึงเปลี่ยนเป็นความละอายใจ
และแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งมือลง ไม่เคลื่อนไหว ไม่พยายามสู้ต่อ อึดใจ...กว่าเขาจะเบือนหน้าไป... หลบตาเธอ นิ่งจำนนโดยสิ้นเชิง อาการยอมแพ้ซึ่งทำให้ไตรนิ่งไปเช่นกัน แม้จะยังไม่ปล่อยมือที่ตรึงอีกฝ่ายไว้
“ผมขอโทษ เชรี”
เสียงของปุรณะเบาจนเธอเกือบไม่ได้ยิน แต่เมื่อได้ยิน...มันก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกจุกเหมือนถูกต่อยท้องเข้ากะทันหัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี กรีดร้องใส่หน้าเขา หรือหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หรือ...พระช่วย...ร้องไห้
“ขอโทษ? คุณไม่ต้องมาขอโทษฉัน”
“แต่ผม...”
“คุณบอกว่าคุณรู้สึกผิด คุณอยากให้ฉันยกโทษให้ คุณนัดฉันออกมา บอกว่าจะชวนไปเยี่ยมน้องปิ๊ง แล้วนี่มันอะไร” เธอชี้ไปที่แขนของตนซึ่งยังมีรอยนิ้วแดงเป็นปื้น และปุรณะก็หน้าซีดลงไปอีก เขาไม่ตอบ แม้เมื่อรวิสราพูดต่อ “คุณจะแก้แค้นฉันอีกแค่ไหนถึงจะสะใจคุณ จะต้องให้ฉันคุกเข่าลงไปกราบเท้าคุณ กราบเท้าน้องปิ๊งเลยไหมคุณถึงจะพอใจ คุณคิดเหรอว่าฉันสบายใจกว่าคุณที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ ถ้าแลกตัวเองลงไปนอนโคม่าแทนน้องปิ๊งได้ฉันก็ทำไปแล้ว แต่ฉันทำไม่ได้...”
เธอส่ายหน้า เสียงสั่นพร่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“...แล้วฉันก็จะไม่ยอมให้คุณมาแก้แค้นฉันบ้าๆ แบบนี้”
“ผมไม่ได้คิดจะแก้แค้นคุณ” ปุรณะขัดขึ้น “ผมไม่ได้โทษคุณเรื่องปิ๊ง...”
“แล้วที่ผ่านมานี่มันอะไร เมื่อกี้อะไร ที่คุณบอกจะให้ฉันชดใช้เรื่องปิ๊ง แล้ววันก่อนนั่น” รวิสราจ้องหน้าเขา “คุณเล่นตลกอะไรกับฉัน ทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย...”
“ผม...” เสียงของปุรณะขาดเป็นห้วง เขาสั่นศีรษะ แววตาสับสน หน้าคมคายซีดเผือด แลเหมือนเจ้าตัวกำลังจะป่วยและอาจอาเจียนออกมาได้ทุกเมื่อ “ผมไม่รู้... เชรี ผมไม่รู้”
“คุณไม่รู้?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง เธอพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามใช้เหตุผลจะติดปีกบินหายไปกับคำพูดของเขา “คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่รู้ คุณทำเหมือนจะปล้ำฉัน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองคิดจะทำอะไรอยู่?”
“ผมขอโทษ เชรี” เสียงของปุรณะหนักขึ้น คราวนี้เขาไม่หลบตาเธอเมื่อสั่นศีรษะ ย้ำออกมาอีกรอบแม้หน้าจะยังไม่หายซีด “แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้คิดอยากทำอะไรคุณ ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น ถ้าผมยังมีสติดีอยู่ผมคงไม่แตะตัวคุณ...”
เผียะ!
มือของรวิสราชาขึ้นมาทันที และเธอก็เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าเธอเงื้อมือตบหน้าปุรณะไปเต็มรัก หญิงสาวชักมือกลับมาเหมือนโดนของร้อน พร้อมกับที่แววคลั่งแวบขึ้นมาในตาชายหนุ่ม ทว่ามันก็ลบหายไปในอึดใจถัดมา ปุรณะเพียงสั่นศีรษะอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าซีกที่เริ่มมีรอยแดงขึ้นมาเป็นปื้น และมองตรงมาด้วยแววตาที่เธออ่านไม่ออก เสียงทุ้มยังย้ำคำ
“ผมขอโทษจริงๆ เชรี...”
“คุณหุบปากไปเลย! หุบ-ปาก!”
หญิงสาวตะโกนใส่หน้าเขาอย่างลืมตัว ก่อนจะปิดปากลงเมื่อยั้งสติได้ เธอสะบัดหน้า กำมือแน่นเข้าเพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองเอาเล็บจิกลูกตาเขาออกมา ยิ่งโกรธขึ้นอีกเมื่อชายหนุ่มทำหน้าเหมือนยังอยากขอโทษขอโพยต่อ “ถ้าฉันบอกให้คุณเงียบ คุณก็เงียบซะ เงียบ! ถ้าคุณรู้สึกผิดอะไรกับฉันจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งมาปั่นหัวกันเล่น”
...ไม่ต้องมาทำเหมือนเขาไม่มีวันต้องการเธอ เหมือนถ้าไม่ใช่แค้นจนเลือดขึ้นหน้าก็ไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวเธอให้เสียมือ!
“คุณเชรี”
เสียงทุ้มของไตรดังมาจากข้างตัวเธอ...กึ่งปลอบ และมือแข็งแรงก็ทาบลงบนท่อนแขน รั้งไว้เบาๆ เหมือนพยายามให้เธอสงบสติอารมณ์ สายตาที่มองมาบอกความเห็นใจ...แม้จะไม่เข้าใจเสียทีเดียวนักเมื่อเธอหันไปหา
“เอะอะไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกครับ เอาสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อนดีกว่า คุณคิดจะเอาเรื่องอะไรเขาหรือเปล่า...”
หางเสียงของเขาขาดไปกะทันหัน และไตรก็ทำคอย่น ผงะเหมือนมีใครตะโกนใส่หู ทั้งที่เธอไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทว่าอึดใจถัดมาเขาก็รักษาท่าทีไว้ได้อีกครั้ง แม้จะไม่ก่อนเจ้าตัวชำเลืองมองไปในอากาศว่าง ทำตาเขียวใส่อากาศนั้นอย่างเอาเรื่อง
และรวิสราก็รีบชักแขนกลับจากการเกาะกุมของเขา แค่ปุรณะคลั่งใส่เธอคนเดียวก็มากพอแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องเพิ่มคนบ้าคนที่สองเข้ามาในชีวิต ถึงแม้ ‘คนบ้า’ นั่นจะเพิ่งช่วยเธอไว้ก็เถอะ
“ไม่ค่ะ ฉันไม่อยากเอาเรื่องอะไรทั้งนั้น...เฉพาะคราวนี้” เธอรีบเสริมอย่างจงใจเมื่อเหลือบไปมองปุรณะ ย้ำคำให้เขาแน่ใจว่าเธอจะไม่ยอมทนกับสถานการณ์แบบนี้อีก “ขอแค่อย่ามีครั้งที่สามอีกก็แล้วกัน”
ไตรทำหน้าเหมือนอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่รวิสราไม่คิดว่าตนอยู่ในอารมณ์อยากอธิบาย เธอถอนใจ รู้สึกเหนื่อยและปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อถอยหลังกลับ
“ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่า”
“ให้ผมไปส่งนะครับ”
“ให้ผมไปส่งเถอะเชรี”
ไตรกับปุรณะแทบจะประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน และหญิงสาวก็พ่นลมออกจมูกดังพรืด สั่นศีรษะดิก ถอยหลังไปอีกก้าวพลางยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ต้องค่ะ ฉันเอารถมา ฉันขับกลับเองได้”
“แต่ท่าทางคุณดูไม่ดีเลยนะครับ ถ้าคุณห่วงรถ ผมขับรถคุณไปส่งก็ได้ แล้วผมค่อยนั่งแท็กซี่กลับมาเอารถตัวเองที่ร้าน”
ไตรเสนออย่างไม่ยอมละลด ทว่ารวิสราก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันเมื่อเธอโบกมือบอกปัดด้วยเสียงหนักขึ้นนิด
“ไม่ค่ะ ขอบคุณที่เสนอตัวช่วย แต่ฉันกลับเองได้จริงๆ”
“ให้ผมไปส่งคุณเถอะเชรี ถือว่าไถ่โทษ”
ไตรทำท่าสะดุ้งอีกรอบทันทีที่ปุรณะพูดจบประโยคนั้น เขายกมือขึ้นตะปบหูตัวเองข้างหนึ่งเหมือนพยายามกันเสียงอะไรบางอย่าง และรวิสราก็ยิ่งแน่ใจว่าเธอไม่อยากให้คนเป็นโรคหูแว่วหรือจิตหลอนขับรถพาเธอกลับบ้าน
...ส่วนข้อเสนอของปุรณะนั่น...
“คุณคิดว่าฉันบ้าหรือโง่คะ คุณเป้” เขาทำท่าเหมือนผงะกับคำพูดนั้น และเธอก็ตอกไปตรงๆ ไม่ยอมให้ตัวเองใจอ่อนกับสีหน้าที่เขาแสดงออกมานั่น “คุณหลอกฉันออกมาได้วันนี้ ยินดีด้วย แต่ฉันไม่โง่พอจะให้คุณหลอกครั้งที่สอง เกิดคุณเอาฉันไปปล้ำกลางทางแล้วบอกว่ามันสาสมกับที่ฉันทำกับปิ๊งฉันจะทำยังไง เชิญกลับไปวางแผนแก้แค้นของคุณใหม่ให้มันซับซ้อนกว่านี้เถอะค่ะ”
“ผมไม่ได้หลอกคุณ...”
รวิสราไม่ยอมอยู่ฟังประโยคนั้นต่อด้วยซ้ำ เธอหมุนตัวกลับ เร่งฝีเท้าก้าวออกมาจากตรงนั้น ตรงดิ่งไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่อีกทางหนึ่ง ได้ยินเสียงปุรณะสบถตามหลัง และถ้อยร้อนรน “เชรี คุณไม่เข้าใจ” แต่เขาไม่ได้ตามมา
บางทีไตรอาจจะรั้งเขาไว้ไม่ให้มาหาเรื่องเธอต่อ หรือบางทีเขาอาจแค่รู้ว่าการตามมาตอนนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ช่างเขาเถอะ...เธอไม่สนใจ...
รวิสราจริงใจกับทุกคำที่ตนเองพูดออกไป เธอเสียใจจริงๆ เรื่องปุษยา และถ้ามีปาฏิหาริย์แบบไหนที่จะทำให้เธอย้อนเวลาไปในอดีต...หรือเป็นคนเจ็บแทนเด็กคนนั้นได้ เธอคงทำไปแล้ว แต่เธอยอมก้มหน้ารับการแก้แค้นของปุรณะไม่ได้... พฤติกรรมของเขาทำร้ายเธอมากเกินไป
และที่เจ็บที่สุดคือเธอเป็นคนทำให้เขาเปลี่ยน การกระทำของเธอเองที่ทำให้หนทางระหว่างเธอกับเขาเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ปุรณะที่เธอเคยรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ เขามองโลกในแง่ดีหรืออย่างน้อยก็ใจเย็นเสมอ น้อยครั้งที่เธอจะเห็นเขาหัวเสีย...หรือหน้านิ่วคิ้วขมวด ทุกคนที่รู้จักปุรณะรู้ว่าเขามีอารมณ์ขัน ยิ้มง่าย
นั่นไม่ใช่ปุรณะที่เธอเห็นตอนนี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวกับที่เธอตกหลุมรัก
...ตกหลุมรัก...
หญิงสาวยิ้มกับตัวเองอย่างไม่รู้สึกขัน นั่นเป็นความจริง แม้ตลอดเวลาเธอจะทำเป็นไม่จริงจัง ‘ผีเสื้อ’ อย่างเธอตกหลุมรัก ‘ก้อนหิน’ อย่างปุรณะ และมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามนักที่จะคว้าเขามา เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามเหลือเกินที่จะสู้หน้าเขาแม้หลังจากเรื่องปุษยา ไม่ใช่เพราะเธอหน้าด้านหรือไม่สำนึกผิดเรื่องที่ทำ
เธอแค่ยังไม่อยากเสียเขาไป
แต่เหลวเปล่าทั้งเพ วันนี้เธอรู้แล้วว่าเขาคงไม่มีทางอภัยให้เธอ อาจได้เวลาตัดใจเสียที
รวิสราสูดหายใจเข้าลึก แม้จะรู้สึกเหมือนลมหายใจนั้นไม่เข้าปอด คำพูดของเขากลับมาหลอนเธออีกครั้ง เจ็บกว่าเดิม ...ถ้าผมยังมีสติดีอยู่ผมคงไม่แตะตัวคุณ...
เธอจะตีความว่าอะไรได้อีก นอกจากแทงบัญชีสูญไปอีกหนึ่งราย!
สาปรักซ่อนกล บทที่ 6-7
บทที่ 1-2 http://ppantip.com/topic/30914583
บทที่ 3 http://ppantip.com/topic/30917959
บทที่ 4-5 http://ppantip.com/topic/30930074
++++
บทที่ 6
“ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ คุณบ้าไปแล้วหรือไง!”
รวิสรากรีดเสียง พยายามดิ้นรนออกจาก ‘มุม’ ที่ปุรณะต้อนเธอเข้าไปจนอยู่ข้างรถเขา หลังเธอชนบานประตู ส่วนด้านหน้าถูกทั้งตัวและวงแขนของเขากักเอาไว้ ความใกล้ชิดที่ถ้าเป็นสถานการณ์อื่นคงชวนให้สาวที่แนบชิดเขาอยู่กรี๊ด อ่อนระทวย หรือ ‘ตีปีก’ แต่กลับทำให้เธอสติแตกและฉุนขาดในเวลานี้
หลังจากหลอกเธอให้มาเจอหน้าเขาอี๋อ๋อกับสาวอยู่อย่างไร้ยางอาย ปุรณะยังมีหน้ามารุกถึงเนื้อถึงตัวเหมือนเธอเป็นลูกไก่ในกำมือไม่มีผิด
เธอยอมรับว่าตัวเองผิดเรื่องปุษยา ยอมรับความบ้าคลั่งเสียใจเรื่องน้องสาวของปุรณะได้ระดับหนึ่ง แต่ ‘เอาคืน’ กันแบบนี้มันเกินไป!
เธอไม่ใช่นางเอกจำเลยรักนะยะจะได้ยอมให้เขาตบจูบได้ตบจูบเอา!
“บอกว่าปล่อยซี่!”
หญิงสาวขู่ฟ่อ พยายามขยับเท้าจะกระทืบหรือตีเข่าใส่เขาอีกรอบ แต่ผลที่ได้คือปุรณะแนบตัวเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เขาเอาขาดันขาเธอไว้ มือข้างหนึ่งกดรวบมือเธอราวกับคีมเหล็ก ขณะที่ใช้ตัวดันมือเธออีกข้างไว้ไม่ให้ขยับได้
“ฤทธิ์มากนักนะ คุณคิดว่าคุณจะหนีไปไหนได้ อยากให้ผมปราบพยศนักใช่ไหม”
ปุรณะคำรามอยู่ข้างหูเธอ เขาล้วงกุญแจรถออกมาจากกระเป๋า กดรีโมทเปิดล็อกด้วยมือข้างเดียว ทำท่าจะดึงประตูเปิดและผลักเธอเข้าไปในรถ
หญิงสาวอ้าปาก...ทำท่าจะกรี๊ดขอความช่วยเหลือ แต่แล้วปากเขาก็ประกบลงมา...จาบจ้วงดุดันแบบที่ทำให้รวิสราอึ้ง หัวขาววูบไปชั่วครู่
มือของเขาบีบแน่นเข้ากับข้อมือเธอ จุมพิตนั้นกดลงดื่มด่ำลึกซึ้งขึ้น บังคับให้ริมฝีปากเธอเผยอออก เร่าร้อนราวจะลงทัณฑ์ ชั่วครู่เขาก็ถอนริมฝีปากออก หัวเราะเสียงกร้าวในคอปนเย้ยหยัน
“เงียบไปเลยหรือ ยัยตัวแสบ”
ถ้าจูบเมื่อครู่จะทำให้เธอรู้สึกรู้สาอะไรอยู่บ้าง คำพูดของเขาก็ทำลายมันลงแบบไม่เหลือรูป รวิสราจ้องหน้าเขาเขม็ง เปิดปาก กรีดเสียงร้องออกมาสุดเสียง ทว่าเขาเหมือนจะไม่สะทกสะท้านเมื่อเอามือหนึ่งตะปบปิดปาก แขนอีกข้างรัดตัวเธอไว้แน่น กระชากประตูรถเปิดออก รุนเธอจนเซเข้าไปข้างในอย่างไม่ปรานีปราศรัย
ปึง!
แรงผลักวับหายไปพร้อมกับที่ร่างของปุรณะถูกกระชากออกจากตัวเธอ ตามมาด้วยเสียงโครมลั่นเหมือนอะไรกระแทกเข้ากับตัวรถ หญิงสาวไม่ยอมเสียเวลากะพริบตาเลยเมื่อเธอถลันออกจากรถ เตรียมพร้อมจะรับมือกับอะไรก็ตามที่อาจเจอ
ภาพที่รวิสราเห็นคือไตรคว้าตัวปุรณะจับบิดแขนกระแทกเข้ากับรถ ฝ่ายหลังสูงกว่าไตรอยู่เล็กน้อย แต่เพียงเธอดูแวบเดียวก็รู้ว่าเมื่อถึงเรื่องต่อยตี ไตรเป็นฝ่ายได้เปรียบปุรณะอยู่หลายขุม
ไม่ใช่ว่าปุรณะอ่อนแอ แขนเธอยังเจ็บอยู่ด้วยซ้ำตรงที่เขาบีบเมื่อครู่ และหญิงสาวก็กล้าพนันเอาอะไรก็ได้ว่าเขาไม่ได้เก่งแต่กับผู้หญิง ทว่าไตรดูเหมือนมีประสบการณ์กับการ ‘มีเรื่อง’ มามากจนรู้แล้ว...ว่าจะต้องทำอย่างไร
ถ้าจะสรุปอย่างง่ายๆ คือเขาสู้เป็น ชายหนุ่มไม่เสียเวลาข่มขู่กระชากคอเสื้อใคร ไม่เสียเวลาให้โอกาสอีกฝ่ายสู้กลับอย่างสุภาพบุรุษ แต่ฉวยโอกาสเท่าที่จะฉวยได้เมื่อตนกำลังได้เปรียบ
อย่างไรก็ตาม ปุรณะดูเหมือนจะไม่ยอมจำนนเสียง่ายๆ แม้จะตกเป็นเบี้ยล่าง เขาขยับตัวเหมือนจะตอบโต้กลับตามสัญชาตญาณ แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อแลมาเห็นเธอ... ตาสบตา ก่อนตาคมคู่นั้นจะกะพริบถี่ ความงุนงงแล่นผ่านเข้ามาในสีหน้า แล้วจึงเปลี่ยนเป็นความละอายใจ
และแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งมือลง ไม่เคลื่อนไหว ไม่พยายามสู้ต่อ อึดใจ...กว่าเขาจะเบือนหน้าไป... หลบตาเธอ นิ่งจำนนโดยสิ้นเชิง อาการยอมแพ้ซึ่งทำให้ไตรนิ่งไปเช่นกัน แม้จะยังไม่ปล่อยมือที่ตรึงอีกฝ่ายไว้
“ผมขอโทษ เชรี”
เสียงของปุรณะเบาจนเธอเกือบไม่ได้ยิน แต่เมื่อได้ยิน...มันก็ทำให้หญิงสาวรู้สึกจุกเหมือนถูกต่อยท้องเข้ากะทันหัน พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เธอไม่รู้จะทำยังไงกับเขาดี กรีดร้องใส่หน้าเขา หรือหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หรือ...พระช่วย...ร้องไห้
“ขอโทษ? คุณไม่ต้องมาขอโทษฉัน”
“แต่ผม...”
“คุณบอกว่าคุณรู้สึกผิด คุณอยากให้ฉันยกโทษให้ คุณนัดฉันออกมา บอกว่าจะชวนไปเยี่ยมน้องปิ๊ง แล้วนี่มันอะไร” เธอชี้ไปที่แขนของตนซึ่งยังมีรอยนิ้วแดงเป็นปื้น และปุรณะก็หน้าซีดลงไปอีก เขาไม่ตอบ แม้เมื่อรวิสราพูดต่อ “คุณจะแก้แค้นฉันอีกแค่ไหนถึงจะสะใจคุณ จะต้องให้ฉันคุกเข่าลงไปกราบเท้าคุณ กราบเท้าน้องปิ๊งเลยไหมคุณถึงจะพอใจ คุณคิดเหรอว่าฉันสบายใจกว่าคุณที่เรื่องมันเป็นแบบนี้ ถ้าแลกตัวเองลงไปนอนโคม่าแทนน้องปิ๊งได้ฉันก็ทำไปแล้ว แต่ฉันทำไม่ได้...”
เธอส่ายหน้า เสียงสั่นพร่าขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
“...แล้วฉันก็จะไม่ยอมให้คุณมาแก้แค้นฉันบ้าๆ แบบนี้”
“ผมไม่ได้คิดจะแก้แค้นคุณ” ปุรณะขัดขึ้น “ผมไม่ได้โทษคุณเรื่องปิ๊ง...”
“แล้วที่ผ่านมานี่มันอะไร เมื่อกี้อะไร ที่คุณบอกจะให้ฉันชดใช้เรื่องปิ๊ง แล้ววันก่อนนั่น” รวิสราจ้องหน้าเขา “คุณเล่นตลกอะไรกับฉัน ทำตัวเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย...”
“ผม...” เสียงของปุรณะขาดเป็นห้วง เขาสั่นศีรษะ แววตาสับสน หน้าคมคายซีดเผือด แลเหมือนเจ้าตัวกำลังจะป่วยและอาจอาเจียนออกมาได้ทุกเมื่อ “ผมไม่รู้... เชรี ผมไม่รู้”
“คุณไม่รู้?” หญิงสาวทวนคำเสียงสูง เธอพยายามสงบสติอารมณ์ แต่ดูเหมือนว่าความพยายามใช้เหตุผลจะติดปีกบินหายไปกับคำพูดของเขา “คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่รู้ คุณทำเหมือนจะปล้ำฉัน แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่รู้ว่าตัวเองคิดจะทำอะไรอยู่?”
“ผมขอโทษ เชรี” เสียงของปุรณะหนักขึ้น คราวนี้เขาไม่หลบตาเธอเมื่อสั่นศีรษะ ย้ำออกมาอีกรอบแม้หน้าจะยังไม่หายซีด “แต่ผมไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมไม่ได้คิดอยากทำอะไรคุณ ผมไม่เคยคิดอะไรแบบนั้น ถ้าผมยังมีสติดีอยู่ผมคงไม่แตะตัวคุณ...”
เผียะ!
มือของรวิสราชาขึ้นมาทันที และเธอก็เพิ่งรู้สึกตัวในตอนนั้นเองว่าเธอเงื้อมือตบหน้าปุรณะไปเต็มรัก หญิงสาวชักมือกลับมาเหมือนโดนของร้อน พร้อมกับที่แววคลั่งแวบขึ้นมาในตาชายหนุ่ม ทว่ามันก็ลบหายไปในอึดใจถัดมา ปุรณะเพียงสั่นศีรษะอีกครั้ง ยกมือขึ้นลูบหน้าซีกที่เริ่มมีรอยแดงขึ้นมาเป็นปื้น และมองตรงมาด้วยแววตาที่เธออ่านไม่ออก เสียงทุ้มยังย้ำคำ
“ผมขอโทษจริงๆ เชรี...”
“คุณหุบปากไปเลย! หุบ-ปาก!”
หญิงสาวตะโกนใส่หน้าเขาอย่างลืมตัว ก่อนจะปิดปากลงเมื่อยั้งสติได้ เธอสะบัดหน้า กำมือแน่นเข้าเพื่อห้ามไม่ให้ตัวเองเอาเล็บจิกลูกตาเขาออกมา ยิ่งโกรธขึ้นอีกเมื่อชายหนุ่มทำหน้าเหมือนยังอยากขอโทษขอโพยต่อ “ถ้าฉันบอกให้คุณเงียบ คุณก็เงียบซะ เงียบ! ถ้าคุณรู้สึกผิดอะไรกับฉันจริงๆ ไม่ใช่แค่แกล้งมาปั่นหัวกันเล่น”
...ไม่ต้องมาทำเหมือนเขาไม่มีวันต้องการเธอ เหมือนถ้าไม่ใช่แค้นจนเลือดขึ้นหน้าก็ไม่อยากแตะเนื้อต้องตัวเธอให้เสียมือ!
“คุณเชรี”
เสียงทุ้มของไตรดังมาจากข้างตัวเธอ...กึ่งปลอบ และมือแข็งแรงก็ทาบลงบนท่อนแขน รั้งไว้เบาๆ เหมือนพยายามให้เธอสงบสติอารมณ์ สายตาที่มองมาบอกความเห็นใจ...แม้จะไม่เข้าใจเสียทีเดียวนักเมื่อเธอหันไปหา
“เอะอะไปก็ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอกครับ เอาสถานการณ์เฉพาะหน้าก่อนดีกว่า คุณคิดจะเอาเรื่องอะไรเขาหรือเปล่า...”
หางเสียงของเขาขาดไปกะทันหัน และไตรก็ทำคอย่น ผงะเหมือนมีใครตะโกนใส่หู ทั้งที่เธอไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทว่าอึดใจถัดมาเขาก็รักษาท่าทีไว้ได้อีกครั้ง แม้จะไม่ก่อนเจ้าตัวชำเลืองมองไปในอากาศว่าง ทำตาเขียวใส่อากาศนั้นอย่างเอาเรื่อง
และรวิสราก็รีบชักแขนกลับจากการเกาะกุมของเขา แค่ปุรณะคลั่งใส่เธอคนเดียวก็มากพอแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องเพิ่มคนบ้าคนที่สองเข้ามาในชีวิต ถึงแม้ ‘คนบ้า’ นั่นจะเพิ่งช่วยเธอไว้ก็เถอะ
“ไม่ค่ะ ฉันไม่อยากเอาเรื่องอะไรทั้งนั้น...เฉพาะคราวนี้” เธอรีบเสริมอย่างจงใจเมื่อเหลือบไปมองปุรณะ ย้ำคำให้เขาแน่ใจว่าเธอจะไม่ยอมทนกับสถานการณ์แบบนี้อีก “ขอแค่อย่ามีครั้งที่สามอีกก็แล้วกัน”
ไตรทำหน้าเหมือนอยากรู้ที่มาที่ไปของเรื่อง ถ้าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่รวิสราไม่คิดว่าตนอยู่ในอารมณ์อยากอธิบาย เธอถอนใจ รู้สึกเหนื่อยและปวดศีรษะขึ้นมาอย่างกะทันหันเมื่อถอยหลังกลับ
“ฉันว่าฉันกลับบ้านดีกว่า”
“ให้ผมไปส่งนะครับ”
“ให้ผมไปส่งเถอะเชรี”
ไตรกับปุรณะแทบจะประสานเสียงขึ้นพร้อมกัน และหญิงสาวก็พ่นลมออกจมูกดังพรืด สั่นศีรษะดิก ถอยหลังไปอีกก้าวพลางยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ต้องค่ะ ฉันเอารถมา ฉันขับกลับเองได้”
“แต่ท่าทางคุณดูไม่ดีเลยนะครับ ถ้าคุณห่วงรถ ผมขับรถคุณไปส่งก็ได้ แล้วผมค่อยนั่งแท็กซี่กลับมาเอารถตัวเองที่ร้าน”
ไตรเสนออย่างไม่ยอมละลด ทว่ารวิสราก็ไม่ยอมแพ้เช่นกันเมื่อเธอโบกมือบอกปัดด้วยเสียงหนักขึ้นนิด
“ไม่ค่ะ ขอบคุณที่เสนอตัวช่วย แต่ฉันกลับเองได้จริงๆ”
“ให้ผมไปส่งคุณเถอะเชรี ถือว่าไถ่โทษ”
ไตรทำท่าสะดุ้งอีกรอบทันทีที่ปุรณะพูดจบประโยคนั้น เขายกมือขึ้นตะปบหูตัวเองข้างหนึ่งเหมือนพยายามกันเสียงอะไรบางอย่าง และรวิสราก็ยิ่งแน่ใจว่าเธอไม่อยากให้คนเป็นโรคหูแว่วหรือจิตหลอนขับรถพาเธอกลับบ้าน
...ส่วนข้อเสนอของปุรณะนั่น...
“คุณคิดว่าฉันบ้าหรือโง่คะ คุณเป้” เขาทำท่าเหมือนผงะกับคำพูดนั้น และเธอก็ตอกไปตรงๆ ไม่ยอมให้ตัวเองใจอ่อนกับสีหน้าที่เขาแสดงออกมานั่น “คุณหลอกฉันออกมาได้วันนี้ ยินดีด้วย แต่ฉันไม่โง่พอจะให้คุณหลอกครั้งที่สอง เกิดคุณเอาฉันไปปล้ำกลางทางแล้วบอกว่ามันสาสมกับที่ฉันทำกับปิ๊งฉันจะทำยังไง เชิญกลับไปวางแผนแก้แค้นของคุณใหม่ให้มันซับซ้อนกว่านี้เถอะค่ะ”
“ผมไม่ได้หลอกคุณ...”
รวิสราไม่ยอมอยู่ฟังประโยคนั้นต่อด้วยซ้ำ เธอหมุนตัวกลับ เร่งฝีเท้าก้าวออกมาจากตรงนั้น ตรงดิ่งไปยังรถของตนซึ่งจอดอยู่อีกทางหนึ่ง ได้ยินเสียงปุรณะสบถตามหลัง และถ้อยร้อนรน “เชรี คุณไม่เข้าใจ” แต่เขาไม่ได้ตามมา
บางทีไตรอาจจะรั้งเขาไว้ไม่ให้มาหาเรื่องเธอต่อ หรือบางทีเขาอาจแค่รู้ว่าการตามมาตอนนี้ไม่มีประโยชน์ แต่ช่างเขาเถอะ...เธอไม่สนใจ...
รวิสราจริงใจกับทุกคำที่ตนเองพูดออกไป เธอเสียใจจริงๆ เรื่องปุษยา และถ้ามีปาฏิหาริย์แบบไหนที่จะทำให้เธอย้อนเวลาไปในอดีต...หรือเป็นคนเจ็บแทนเด็กคนนั้นได้ เธอคงทำไปแล้ว แต่เธอยอมก้มหน้ารับการแก้แค้นของปุรณะไม่ได้... พฤติกรรมของเขาทำร้ายเธอมากเกินไป
และที่เจ็บที่สุดคือเธอเป็นคนทำให้เขาเปลี่ยน การกระทำของเธอเองที่ทำให้หนทางระหว่างเธอกับเขาเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ปุรณะที่เธอเคยรู้จักไม่ใช่คนแบบนี้ เขามองโลกในแง่ดีหรืออย่างน้อยก็ใจเย็นเสมอ น้อยครั้งที่เธอจะเห็นเขาหัวเสีย...หรือหน้านิ่วคิ้วขมวด ทุกคนที่รู้จักปุรณะรู้ว่าเขามีอารมณ์ขัน ยิ้มง่าย
นั่นไม่ใช่ปุรณะที่เธอเห็นตอนนี้ เขาไม่ใช่ผู้ชายคนเดียวกับที่เธอตกหลุมรัก
...ตกหลุมรัก...
หญิงสาวยิ้มกับตัวเองอย่างไม่รู้สึกขัน นั่นเป็นความจริง แม้ตลอดเวลาเธอจะทำเป็นไม่จริงจัง ‘ผีเสื้อ’ อย่างเธอตกหลุมรัก ‘ก้อนหิน’ อย่างปุรณะ และมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามนักที่จะคว้าเขามา เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอพยายามเหลือเกินที่จะสู้หน้าเขาแม้หลังจากเรื่องปุษยา ไม่ใช่เพราะเธอหน้าด้านหรือไม่สำนึกผิดเรื่องที่ทำ
เธอแค่ยังไม่อยากเสียเขาไป
แต่เหลวเปล่าทั้งเพ วันนี้เธอรู้แล้วว่าเขาคงไม่มีทางอภัยให้เธอ อาจได้เวลาตัดใจเสียที
รวิสราสูดหายใจเข้าลึก แม้จะรู้สึกเหมือนลมหายใจนั้นไม่เข้าปอด คำพูดของเขากลับมาหลอนเธออีกครั้ง เจ็บกว่าเดิม ...ถ้าผมยังมีสติดีอยู่ผมคงไม่แตะตัวคุณ...
เธอจะตีความว่าอะไรได้อีก นอกจากแทงบัญชีสูญไปอีกหนึ่งราย!