อะไร ? ในปฏิจจสมุปบาท ที่ข้ามภพข้ามชาติ(แบบตายเข้าโลง)

เมื่อได้เห็น ความพยายาม ในการกล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัย ของล็อกอิน ชาวมหาวิหารและพวก
ก็ได้แต่รู้สึก "สมเพช" ในความโง่ และกรรมชั่วของพวกมัน !



ล่าสุด ไอ้หมอนี่ มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้ ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
มีสัตว์ บุคคล ฯลฯ เวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติให้ได้  ทั้งๆ ที่ท่านปยุตโต ก็ได้อธิบายความ
เอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพข้ามชาติ เป็นคำอธิบายชั้นอรรถกถาฎีกา มิใช่พุทธพจน์ !



ทั้งนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณา วิภังคสูตร ที่ถูก "แอบอ้าง" และ "บิดเบือน" ว่าเป็นหลักฐานว่ามี
ปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพชาตินั้น แท้ที่จริงแล้ว ก็มิได้มีความหมายเป็นไปตามที่พวกเม็ดมะขามแอบอ้างแต่อย่างใดเลย !



ที่จริง ชื่อของพระสูตร ก็บ่งชี้เอาไว้อย่างชัดเจนว่า พระสูตรนี้เป็นการ "แจกแจง" ความหมายของคำต่างๆ ในปฏิจจสมุปบาท
ซึ่งโดยธรรมชาติของพระบาลีในพระสูตร ย่อมมีทั้ง สมมุติ และ ปรมัตถ์ ปะปนกันอยู่ แตกต่างจากข้อความในพระอภิธรรม ที่เป็นปรมัตถ์ล้วนๆ

ถามว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ?

คำตอบ ก็คือ เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสสอนผู้คนที่มีพื้นฐานทางการศึกษา แตกต่างหลากหลาย
บางคนฟังปรมัตถ์รู้เรื่อง แต่บางคนฟังไม่รู้เรื่อง ก็ต้องสอนด้วยสมมุติ และด้วยเหตุที่พระสูตรนี้เป็น วิภังค์
จึงมีการแจกแจงความหมายทั้งที่เป็น ปรมัตถ์ และ สมมุติ ปะปนกันอยู่ และย่อมเป็นหน้าที่ของ นักศึกษาพระพุทธศาสนาเอง
ที่จะต้องแยกแยะเอาเองว่า อันไหนเป็นสมมุติ อันไหนเป็นปรมัตถ์ ตัวอย่างเช่น ........

พระพุทธเจ้าตรัสว่า .......... ก็มรณะเป็นไฉน ?

หากเป็นคนมีการศึกษา เพียงได้ฟังว่า หมายถึง ความเคลื่อน หรือ ความแตกแห่งขันธ์  เท่านี้เขาก็เข้าใจแล้ว แต่ชาวบ้านด้อยการศึกษา
เมื่อได้ยินว่า ความแตกแห่งขันธ์ เขาจะไม่มีทางเข้าใจได้เลย จนเมื่อได้ยินว่า ความตาย ความทอดทิ้งซากศพ จึงจะพอเข้าใจความหมายได้บ้าง

ดังนั้น สิ่งที่ชาวพุทธเถรวาท พึงทำความเข้าใจให้ดีและตรง ก็คือ วิภังคสูตร ทำหน้าทีเพียงแสดงความหมายของคำศัพท์ต่างๆ ในปฏิจจสมุปบาท
ทั้งในลักษณะ สมมุติ และ ปรมัตถ์ เท่านั้น มิได้แสดง "เงื่อนงำ" ในการเวียนว่ายตายเกิดข้ามภพข้ามชาติ ของสัตว์ "ตะกวด" ใดๆ เลย แม้สักตัวเดียว !

**************************************************************************************************
**************************************************************************************************

สิ่งแรกที่ท่านทั้งหลายพึงรับทราบและควรทำความเข้าใจให้ดี ก็คือ  สภาพของ พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ ตามความเป็นจริง ดังต่อไปนี้

๑) พระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ หมายถึง พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๘ สังยุตตนิกาย นิทานวรรค ซึ่งมีทั้งหมด ๙ สังยุตต์
เช่น (๑) อภิสมยสังยุตต์ (๒) ธาตุสังยุตต์ (๓) อนมตัคคสังยุตต์ (๔) กัสสปสังยุตต์ เป็นต้น

๒) วิภังคสูตร ที่ ล็อกอินชาวมหาวิหาร ยกขึ้นอ้าง รวมถึง พระสูตร ที่ผมจะนำขึ้นแสดง
ล้วนอยู่ในส่วนที่เรียกว่า อภิสมยสังยุตต์ ซึ่งประกอบด้วย หมวดย่อยๆ อีก ๑๐ หมวด คือ

(๑) พุทธวรรค
(๒) อาหารวรรค
(๓) ทศพลวรรค
(๔) กฬารขัตติยวรรค
(๕) คหบดีวรรค
(๖) ทุกขวรรค
(๗) มหาวรรค
(๘) สมณพราหมณวรรค
(๙) อันตรไปยยาล
(๑๐) อภิสมยวรรค

วิภังคสูตร ที่ ล็อกอินชาวมหาวิหาร ยกขึ้นอ้าง นับเป็นพระสูตรที่ ๒ จาก พุทธวรรค



๓) ถ้าหากชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย ศึกษา พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ นี้แม้จาก อภิสมยสังยุตต์ เพียงแค่สังยุตต์เดียว
ไปตลอดจนครบ ๑๐ หมวด ก็จะทราบตามความเป็นจริงว่า ปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์
ย่อมไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เวียนว่ายตายเกิด ข้ามภพข้ามชาติ แบบตายเข้าโลง ไปได้เลย
จะมีก็แต่ กฏแห่งเหตุปัจจัย ความว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้จึงดับไป ฯลฯ เท่านั้น !

**************************************************************************************************
**************************************************************************************************

หากท่านทั้งหลาย ต้องการศึกษา ปฏิจจสมุปบาท ให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตาม พุทธประสงค์ ของ พระพุทธเจ้า
ก็จำต้อง ศึกษา ไปตามลำดับอย่างครบถ้วน โดย ละเลิก การบิดเบือน ตัดต่อ หรือ อ้างอิงเฉพาะพระบาลีบางข้อบางตอน
แล้วนำมา "ผูกโยง" ปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน ด้วย "อัตตโนมัติ" ของตนเอง ซึ่งจะเท่ากับเป็นการ กล่าวตู่บิดเบือน พระพุทธเจ้า !



ที่จริงแล้ว พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ เริ่มต้นด้วยการตรัสแสดง ปฏิจจสมุปบาท ในพระสูตรชื่อ เทศนาสูตร นับเป็น พระสูตรที่ ๑
จากนั้นจึงตามมาด้วย วิภังคสูตร เป็นพระสูตรที่ ๒ ซึ่งก็คือ การอธิบายความหมายของถ้อยคำต่างๆ ในพระสูตรที่ ๑ นั่นเอง



ขอให้ท่านทั้งหลายจง สังเกต ข้อความจาก วิภังคสูตร ให้ดีๆ เถิด เพราะจากการที่พวกเม็ดมะขามมักแอบอ้างว่า ข้อความจากพระสูตรนี้
เป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่า มีการเวียนว่ายตายเกิดของ "อะไรๆ" ในปฏิจจสมุปบาท นั้น แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีข้อความดังกล่าวเลยสักคำ

พระพุทธเจ้า ก็เพียงแต่อธิบายความหมายของคำต่างๆ ในปฏิจจสมุปบาท ด้วย สมมติกถา และ ปรมัตถกถา เท่านั้นเอง
ซึ่งนี่ย่อมเป็นธรรมชาติของพระสูตร ที่จะมีข้อความทั้งที่เป็นสมมุติ และ ปรมัตถ์ ปะปนกันอยู่
เนื่องจาก เป็นการแสดงธรรม ต่อผู้คนที่มีความหลากหลาย สูงต่ำ ทางระดับการศึกษา !



เมื่อพิจารณาดูข้อความจากพระบาลี วิภังคสูตร อย่าง "ซื่อสัตย์" ตามความเป็นจริง
โดยไม่นำเอา ทิฐิ ส่วนตน เข้าไปปะปน "ปรุงแต่ง" แล้ว

มีใครเห็นบ้างหรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าได้ ตรัสถึง หรือ ตรัสว่า สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
อย่างใดอย่างหนึ่ง เวียนว่ายตายเกิดข้ามภพชาติ แบบตายเข้าโลง ใน วิภังคสูตร ?????????

คำตอบ ก็คือ ไม่มี

หรือมิใช่ ?

**************************************************************************************************
**************************************************************************************************

แท้ที่จริงแล้ว ความเข้าใจที่ว่า มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เวียนว่ายฯ อยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจ้า
เป็นเพียงแค่ ความคิดปรุงแต่ง ที่ฟุ้งซ่านกันไปเองของพวกเม็ดมะขาม
อันเนื่องมาจาก มิจฉาทิฐิ ที่เหนียวแน่นฝังลึกอยู่ในสันดานของพวกเขานั่นเอง

ซึ่งถ้าหาก ชาวพุทธชายขอบ เหล่านั้น จะมีความ อุตสาหะ ในการศึกษา พระธรรมวินัยให้ "ยืดยาว" ต่อไปอีกสักหน่อย
เขาก็ย่อมทราบได้เองในไม่ช้าว่า คนที่ "ฟุ้งซ่าน" คิดไปว่ามี "อะไร" สักอย่างในปฏิจจสมุปบาท ในฐานะผู้เกิดผู้ตาย

แก๊งส์เม็ดมะขาม มิได้เป็น คนแรก หรือ พวกแรก ที่คิดเพ้อเจ้อแบบนั้นหรอกนะครับ เพราะในสมัยพุทธกาล ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว



ทั้งนี้ ได้ปรากฏหลักฐานอยู่ใน กฬารขัตติยวรรค ที่ ๔ ซึ่งอยู่ในสังยุตต์ เดียวกันกับ วิภังคสูตร ระบุเหตุการณ์ว่า
หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสแสดง ปฏิจจสมุปบาท เสร็จสิ้น ได้มีภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า
ใน ปฏิจจสมุปบาท ที่พระพุทธเจ้าตรัสแสดงนี้ ......... มีใครเป็น ผู้เกิด(ชาติ) ......... มีใครเป็นเป็นผู้ตาย(มรณะ) ?

ในครานั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า นั่นเป็นการตั้งปัญหา หรือ ตั้งคำถาม ที่ไม่ถูกต้อง เพราะการคิดว่า ต้องมี ใคร หรือ อะไรสักอย่าง
ในฐานะ ผู้มี หรือ ผู้เป็น ย่อมต้องตกอยู่ใน ทิฐิ สุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งเสมอ ซึ่งจะไม่เป็นเหตุปัจจัยแก่การประพฤติปฏิบัติธรรม

สรุปง่ายๆ ก็คือ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อใดก็ตาม ที่คิดเห็นไปว่า มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท
ในฐานะ ผู้มี ผู้เป็น ผู้เสพ ฯลฯ หรือ ในทำนองว่าเป็น ผู้เวียนว่ายตายเกิด ข้ามภพชาติ(บ้าบอ) ดังที่พวกเม็ดมะขาม คิดฟุ้งซ่าน กันอยู่นั้น
ทั้งหมดเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นความเห็นผิด ของพวกมิจฉาทิฐิสุดโต่งพวกใดพวกหนึ่ง ที่มิอาจกล่าวได้เลยว่าเป็น ความเห็นชอบ(สัมมาทิฐิ)



**************************************************************************************************
**************************************************************************************************

สรุป

ถ้าชาวพุทธเถรวาท ศึกษาปฏิจจสมุปบาท ไปโดยตลอด จนจบ ก็จะไม่ต้อง "ลำบาก" คิดปรุงแต่งฟุ้งซ่าน อย่างโง่ๆ แบบพวกเม็ดมะขามเลย
เพราะแท้ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าได้ตรัสอธิบายอย่างชัดเจนว่า ไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ใน ปฏิจจสมุปบาท อันเป็น "คำสอน" ของพระองค์
อีกทั้ง พระอรหันตสาวก เมื่อครั้งปฐมสังคายนา ก็ได้รักษา "พระพุทธดำรัส" อัน "แจ่มชัด" เหล่านั้นไว้ตามลำดับ โดยไม่เป็นการลำบากเลยสำหรับผู้ศึกษา

ดังนั้น จากหลักฐานชั้นพระไตรปิฎก ตามที่ปรากฏอยู่จริง อย่างปราศจาก การบิดเบือน หรือ "ปรุงแต่ง" ฟุ้งซ่านไปเองด้วย(มิจฉา)ทิฐิส่วนตน
ยังมีใคร "คิดชั่ว" แอบอ้างว่า มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา เวียนว่ายตายเกิด ข้ามภพข้ามชาติ แบบตายเข้าโลง อยู่ใน ปฏิจจสมุปบาท อีกหรือไม่ ?

เชิญแสดง "หลักฐาน" ที่ระบุข้อความซึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะเหตุปัจจัย อย่างนี้ๆ สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา จึงเกิด อย่างนี้ๆ
โดยที่มิใช่เป็นการ คิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปเองด้วยมิจฉาทิฐิส่วนตน แล้วนำมาแอบอ้างอย่างหน้าด้านๆ ว่าเป็นพระพุทธดำรัส !

คำถาม ชัดเจน แล้วนะครับ



สวัสดี
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่