สวัสดีค่ะ นี่เป็นครั้งแรกนะคะ สำหรับการเขียน ถ้ามีข้อผิดพลาดอะไรก็ขอโทษด้วยนะคะ
กระทู้นี้ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่กล้า ๆ กลัว อยากไป Work and travel แต่ภาษาไม่แข็งแรง
เราก็เป็นหนึ่งในนั้นจนบางที่รู้สึกว่า เราเหมือนคนหูหนวกที่ทำงานได้ แต่ถ้าเราฟังและสื่อสารกับเขาได้ เราน่าจะทำงานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพมากกว่านี้...
ก่อนอีกก็ต้องขอบอกก่อนนะว่า แป้งไปทำงานที่ Chula Vista Resort & Waterpark ที่ Wisconsin Dells , WI
เคยได้ยินมาว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งสวนน้ำ ก็เป็นเมืองเล็ก ๆ สงบ ๆ เมืองนึง ที่หนาว เงียบ สงบ คนทั้งเมืองไม่ถึง 2000 คน
( เห็นเพื่อนฝร้ะบอก ) ถ้าเกิดว่าใครอยาก Work เชิงธรรมชาติ เราว่าที่นี่ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ พอไปถึงก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีแต่สวนน้ำ
สวนสนุก บางโรงแรมเครื่องเล่นอย่างกับ Dream World ก็มี ส่วนที่ใช้เงินก็มีแค่ Walmart กับ Tanger Outlet
ส่วนตำแหน่งที่เลือกทำก็คือ Kitchen Assistant ทั้งทำกับข้าวไม่เป็นเลย ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันอีก 1 คน นางทำเฮ้าส์ ซึ่งการไป 2 คน ก็เหมือนไปคนเดียวเพราะทำงานคนกะกัน พอแป้งไปทำงาน เพื่อนนอน พอเพื่อนไปทำงาน เรากลับมา...
ที่โรงแรมนี้ก็มีหลายร้านอาหาร ส่วนแป้งก็ได้ทำที่ Main Kitchen เป็นไทยคนเดียวที่ทำงานในครัว ส่วนคนไทยคนอื่นได้ทำด้วยกัน
( ทำไมงั้นนนนนนน ) ครัวนี้จะทำอาหารให้ Buffet ของโรงแรม Sport Bar แล้วก็พวกที่จัดสัมนา ชั่วโมงงานก็คือทำวัน 8 ชม. 6 วัน ทำ 5-6 เช้า ถึงบ่าย 2 ซึ่งก็ถือว่าเรื่อย ๆ ตรงตามสัญญาจ้างงาน
เข้าเรื่อง!!!!
วันแรกของการทำงาน นัดให้มา 6โมงเช้าจ้า.... ( คิดในใจแค่วันแรกละมั้ง สรุปเริ่มงาน ตี 5 ทุกวัน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด )
แล้วเราก็ได้เจอเมเนเจอร์สุดหล่ออออ ' เชฟโจ ' ( ถ้าเมเนเจอร์หล่อตลอดนี้ตี 3 ก็ยอม )
เขาก็เรียกให้เราเข้าไปร่วม Meeting กับเขา คือการประชุมงานก่อนเริ่มงานในทุก ๆ วัน
เชฟโจ : &^%()^(^&*)_(_) Pand.. ( แล้วทุกคนก็หันมา )
เรา : ( ยิ้ม
แล้วทำหน้าเหมือนเข้าใจ )
เชฟโจ : ^&&*()+()_*(^*)*_& ok?
เรา : Ok. ( ฟังอะไรไม่ออกเลยจ้า )
เคยรู้สึกเหมือนคนหูบอดมั้ย ก่อนมาก็คิดว่า ภาษาเราพอไปวัดไปวาได้ แต่พอเอาเข้าจริง ไปไหนไม่ได้เลยดีกว่าเถอะ...
วันแรกเราต้องมาทำหน้าที่ Run Food ก็คือถ้าอาหารในบุฟเฟต์อันไหนหมดจะต้องเข้าไปเปลี่ยน ให้มันสดและใหม่เสมอ
เชฟโจส่งจอนนี่มาเป็นเทรนเนอร์ให้ ซึ่งตลอดเวลา 1 วันที่นางเทรนได้ยินแค่ *()&
$*%#$%&^)*(*()(**%
ไม่รู้เรื่องสักตัว แล้วถามว่าทำงานได้ไง ?
จำวิธีทำ และ ดูท่าทางของเขา
อย่างแรกที่เขาสอน คือเราต้องทำ French Toast เขาก็พูดไปด้วยสอนไปด้วย ไอเราฟังไม่ออก ก็ได้แต่ยืนยิ้ม แล้วก็จำ ๆ ว่า วิธีทำ ทำยังไง..
( แต่พอตอนหลังทำคล่องเลยแหละ ช่วงมีนานี่ทำ วันละเป็นพันชิ้นได้ ภูมิใจเวอร์ ๆ ) ส่วนการทำงานด้วยอื่น ๆ เราก็อาศัยเทคนิคนี้ก็ด้วยเหมือนกัน
ต่อมาเชฟโจ ( อีกแล้ว ) ก็มาเรียก สงสัยเห็นยืนอยู่เฉย ๆ มั้ง จะให้ทำไรล่ะ ก็บอกให้คอยดูอาหาร มันยังไม่หมดนิ่
นางพูดไปแล้วเดินไปด้วย อ๋อ.. ควรเราจะเดินตามนางไปสินะ ได้ ๆ
เชฟโจ : %^&*()_++)&_()^)*%* $%^&
)* ( พลางเดินไปหยิบเขียง )
เชฟโจ : Understan d ?
เรา : (
พูดไรวะ แต่เดินไปหยิบเขียง หรือจะให้หั่น ใช่นางต้องบอกให้ไปเอา ' มีด ' แน่!!!! ) Ok!!!!!!!
เป็นไปตามที่คาดคิดว่าค่ะ นางให้หั่นปลา โอ้โห.... เกือบไม่รอดแล้ว
เทคนิคที่สองที่ใช้ก็คือ
จับคำไหนได้ให้พยายามคิดต่อ มันอาจจะช่วยได้.55555555555
ผ่านไปสัก 2-3 เชื่อมั้ย ? แป้งไม่ได้คุยกับใครเลย ทั้งที่มีคนทำงาน 8-9 คนในครัว
คือไม่ได้ไม่อยากพูดกับเขานะ แต่มันพูดไม่ได้ ไม่ได้จริง ๆ แค่จะถามเขาว่า ไปไหนมา? ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดว่ายังไง
เราจะอาศัยที่ว่า ใครเคยพูดประโยคไหนกับเรา เราก็จะจำไว้ใช้ หรือไม่ก็ถามเค้าเลยว่า อันนี้เรียกว่าไรหรอ.. ( เพราะทำงานในครัว
เราจำเป็นต้องรู้ว่า หม้อ ไห ตะหลิว ทัพพี กระชอน หรือผักต่าง ๆ เค้ามีชื่อภาษาอังกฤษว่าอะไร มีอยู่ครั้งนึง
Apple : Pang ! Where have you been ?
เรา : ห้ะ ?
Apple : Bathroom ?
เรา : Yes ! ( สงสัยถามว่าไปไหนมา 555 )
พอหลังจากนั้นเราก็เริ่มเอาคำนี้ไปใช้กับเพื่อน ๆ คนอื่น เห้ยยย ~ Where have you been ?
ทำเอ๋อ ๆ เด๋อ ๆ อย่างนี้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็เกิดเหตุการณ์ดราม่าขึ้น
มีคนจีนนึง เขาทำที่ สลัดบาร์ เขาชื่อว่า Yan วันนี้ต้องทำไปงานใกล้ ๆ Yan Yan เหมือนป้าใจดีคนนึง ชอบแอบเอาขนมมาให้
( เพราะถ้าเชฟโจเห็น โดนเฟี้ยงทิ้งแน่ T.T )
Yan : %())_&)(^&)(*_)()^*(&$%^ ?
เรา : ห้ะ?
Yan : %())_&)(^&)(*_)()^*(&$%^ ?
เรา : ห้ะ?
Yan : พูดใหม่อีกที แล้วแปลได้ว่า yan มีลูกชายที่ไปอยู่เมืองไทยนาน และกำลังจะกลับมาที่นี่
เรา : I see
Yan :
แป้ง เธอรู้ไหม เธอเป็นคนที่ทำงานเก่งนะ ทำงานไว เรียนรู้เร็ว ทั้งที่ ๆ ฉันก็รู้ว่าเธอฟังใครไม่รู้เรื่องเลย
แต่เธอก็ทำงานของเธอได้ แต่ฉันว่าถ้าเธอฟังฉันรู้เรื่องบ้าง มันน่าจะดีกว่านี้นะแป้ง ลองไปคิดดู....
วินาทีนั้น ทำไมฟังออก แต่เหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก ที่เราแย่ขนาดนั้นเลยหรอ!? แต่บางครั้งเราเองก็สังเกตุว่า
บางที่เพื่อนร่วมงานก็อยากจะใช้ให้เราหยิบนู้นหยิบนี่ แต่สักพักเขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไปทำเองดีกว่า....
หรือเราถามเขาว่าอันนี้อยู่ไหน เขาก็จะบอกว่า เดี๋ยวไปเอาให้ เพราะไม่รู้ว่าบอกไปเราจะเข้าใจไหม....
หลังจากวันนั้นเรา เราก็จะพยามที่จะจำคำศัพท์ เงี่ยหัวฟังเวลาฝร้ะพูดกัน พยายามพูดกับเขาบ้าง ไม่ทำตัวเป็นใบ้เหมือนแต่ก่อน
บางที่เราก็แอบคิดว่า การฝึกฝนที่แหละที่ทำจะให้เราเก่งขึ้นจริง ๆ นะเราเชื่ออย่างนั้น..
เดือนสุดท้ายที่เราทำงานที่นั่น เราคุยเพื่อนร่วมงานจนสนิท เขาพาเราไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ทุก ๆ วันหยุด ไปโบลิ่ง ไปห้าง ไปอุทยานต่าง ๆ
เรารู้สึกว่า ถ้าวันนั้นเราไม่มีความกล้าที่จะพูดกับเขา ฝึกฝน เราก็คงไม่มีเพื่อน ไม่ได้พบกับเรื่องดี ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
(แชร์ประสบการณ์ ) พูดภาษาอังกฤษงู ๆ ปลา ๆ ทำไมจะไป Work & Travel ไม่ได้ : Wisconsin Dells , WI
กระทู้นี้ขอเป็นกำลังใจให้กับคนที่กล้า ๆ กลัว อยากไป Work and travel แต่ภาษาไม่แข็งแรง
เราก็เป็นหนึ่งในนั้นจนบางที่รู้สึกว่า เราเหมือนคนหูหนวกที่ทำงานได้ แต่ถ้าเราฟังและสื่อสารกับเขาได้ เราน่าจะทำงานได้อย่าง
มีประสิทธิภาพมากกว่านี้...
ก่อนอีกก็ต้องขอบอกก่อนนะว่า แป้งไปทำงานที่ Chula Vista Resort & Waterpark ที่ Wisconsin Dells , WI
เคยได้ยินมาว่าเมืองนี้เป็นเมืองแห่งสวนน้ำ ก็เป็นเมืองเล็ก ๆ สงบ ๆ เมืองนึง ที่หนาว เงียบ สงบ คนทั้งเมืองไม่ถึง 2000 คน
( เห็นเพื่อนฝร้ะบอก ) ถ้าเกิดว่าใครอยาก Work เชิงธรรมชาติ เราว่าที่นี่ก็เป็นทางเลือกที่ดีนะ พอไปถึงก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ มีแต่สวนน้ำ
สวนสนุก บางโรงแรมเครื่องเล่นอย่างกับ Dream World ก็มี ส่วนที่ใช้เงินก็มีแค่ Walmart กับ Tanger Outlet
ส่วนตำแหน่งที่เลือกทำก็คือ Kitchen Assistant ทั้งทำกับข้าวไม่เป็นเลย ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันอีก 1 คน นางทำเฮ้าส์ ซึ่งการไป 2 คน ก็เหมือนไปคนเดียวเพราะทำงานคนกะกัน พอแป้งไปทำงาน เพื่อนนอน พอเพื่อนไปทำงาน เรากลับมา...
ที่โรงแรมนี้ก็มีหลายร้านอาหาร ส่วนแป้งก็ได้ทำที่ Main Kitchen เป็นไทยคนเดียวที่ทำงานในครัว ส่วนคนไทยคนอื่นได้ทำด้วยกัน
( ทำไมงั้นนนนนนน ) ครัวนี้จะทำอาหารให้ Buffet ของโรงแรม Sport Bar แล้วก็พวกที่จัดสัมนา ชั่วโมงงานก็คือทำวัน 8 ชม. 6 วัน ทำ 5-6 เช้า ถึงบ่าย 2 ซึ่งก็ถือว่าเรื่อย ๆ ตรงตามสัญญาจ้างงาน
เข้าเรื่อง!!!!
วันแรกของการทำงาน นัดให้มา 6โมงเช้าจ้า.... ( คิดในใจแค่วันแรกละมั้ง สรุปเริ่มงาน ตี 5 ทุกวัน กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด )
แล้วเราก็ได้เจอเมเนเจอร์สุดหล่ออออ ' เชฟโจ ' ( ถ้าเมเนเจอร์หล่อตลอดนี้ตี 3 ก็ยอม )
เขาก็เรียกให้เราเข้าไปร่วม Meeting กับเขา คือการประชุมงานก่อนเริ่มงานในทุก ๆ วัน
เชฟโจ : &^%()^(^&*)_(_) Pand.. ( แล้วทุกคนก็หันมา )
เรา : ( ยิ้ม แล้วทำหน้าเหมือนเข้าใจ )
เชฟโจ : ^&&*()+()_*(^*)*_& ok?
เรา : Ok. ( ฟังอะไรไม่ออกเลยจ้า )
เคยรู้สึกเหมือนคนหูบอดมั้ย ก่อนมาก็คิดว่า ภาษาเราพอไปวัดไปวาได้ แต่พอเอาเข้าจริง ไปไหนไม่ได้เลยดีกว่าเถอะ...
วันแรกเราต้องมาทำหน้าที่ Run Food ก็คือถ้าอาหารในบุฟเฟต์อันไหนหมดจะต้องเข้าไปเปลี่ยน ให้มันสดและใหม่เสมอ
เชฟโจส่งจอนนี่มาเป็นเทรนเนอร์ให้ ซึ่งตลอดเวลา 1 วันที่นางเทรนได้ยินแค่ *()&$*%#$%&^)*(*()(**%
ไม่รู้เรื่องสักตัว แล้วถามว่าทำงานได้ไง ?
จำวิธีทำ และ ดูท่าทางของเขา
อย่างแรกที่เขาสอน คือเราต้องทำ French Toast เขาก็พูดไปด้วยสอนไปด้วย ไอเราฟังไม่ออก ก็ได้แต่ยืนยิ้ม แล้วก็จำ ๆ ว่า วิธีทำ ทำยังไง..
( แต่พอตอนหลังทำคล่องเลยแหละ ช่วงมีนานี่ทำ วันละเป็นพันชิ้นได้ ภูมิใจเวอร์ ๆ ) ส่วนการทำงานด้วยอื่น ๆ เราก็อาศัยเทคนิคนี้ก็ด้วยเหมือนกัน
ต่อมาเชฟโจ ( อีกแล้ว ) ก็มาเรียก สงสัยเห็นยืนอยู่เฉย ๆ มั้ง จะให้ทำไรล่ะ ก็บอกให้คอยดูอาหาร มันยังไม่หมดนิ่
นางพูดไปแล้วเดินไปด้วย อ๋อ.. ควรเราจะเดินตามนางไปสินะ ได้ ๆ
เชฟโจ : %^&*()_++)&_()^)*%* $%^&)* ( พลางเดินไปหยิบเขียง )
เชฟโจ : Understan d ?
เรา : ( พูดไรวะ แต่เดินไปหยิบเขียง หรือจะให้หั่น ใช่นางต้องบอกให้ไปเอา ' มีด ' แน่!!!! ) Ok!!!!!!!
เป็นไปตามที่คาดคิดว่าค่ะ นางให้หั่นปลา โอ้โห.... เกือบไม่รอดแล้ว
เทคนิคที่สองที่ใช้ก็คือ จับคำไหนได้ให้พยายามคิดต่อ มันอาจจะช่วยได้.55555555555
ผ่านไปสัก 2-3 เชื่อมั้ย ? แป้งไม่ได้คุยกับใครเลย ทั้งที่มีคนทำงาน 8-9 คนในครัว
คือไม่ได้ไม่อยากพูดกับเขานะ แต่มันพูดไม่ได้ ไม่ได้จริง ๆ แค่จะถามเขาว่า ไปไหนมา? ยังไม่รู้เลยว่าจะพูดว่ายังไง
เราจะอาศัยที่ว่า ใครเคยพูดประโยคไหนกับเรา เราก็จะจำไว้ใช้ หรือไม่ก็ถามเค้าเลยว่า อันนี้เรียกว่าไรหรอ.. ( เพราะทำงานในครัว
เราจำเป็นต้องรู้ว่า หม้อ ไห ตะหลิว ทัพพี กระชอน หรือผักต่าง ๆ เค้ามีชื่อภาษาอังกฤษว่าอะไร มีอยู่ครั้งนึง
Apple : Pang ! Where have you been ?
เรา : ห้ะ ?
Apple : Bathroom ?
เรา : Yes ! ( สงสัยถามว่าไปไหนมา 555 )
พอหลังจากนั้นเราก็เริ่มเอาคำนี้ไปใช้กับเพื่อน ๆ คนอื่น เห้ยยย ~ Where have you been ?
ทำเอ๋อ ๆ เด๋อ ๆ อย่างนี้อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็เกิดเหตุการณ์ดราม่าขึ้น
มีคนจีนนึง เขาทำที่ สลัดบาร์ เขาชื่อว่า Yan วันนี้ต้องทำไปงานใกล้ ๆ Yan Yan เหมือนป้าใจดีคนนึง ชอบแอบเอาขนมมาให้
( เพราะถ้าเชฟโจเห็น โดนเฟี้ยงทิ้งแน่ T.T )
Yan : %())_&)(^&)(*_)()^*(&$%^ ?
เรา : ห้ะ?
Yan : %())_&)(^&)(*_)()^*(&$%^ ?
เรา : ห้ะ?
Yan : พูดใหม่อีกที แล้วแปลได้ว่า yan มีลูกชายที่ไปอยู่เมืองไทยนาน และกำลังจะกลับมาที่นี่
เรา : I see
Yan : แป้ง เธอรู้ไหม เธอเป็นคนที่ทำงานเก่งนะ ทำงานไว เรียนรู้เร็ว ทั้งที่ ๆ ฉันก็รู้ว่าเธอฟังใครไม่รู้เรื่องเลย
แต่เธอก็ทำงานของเธอได้ แต่ฉันว่าถ้าเธอฟังฉันรู้เรื่องบ้าง มันน่าจะดีกว่านี้นะแป้ง ลองไปคิดดู....
วินาทีนั้น ทำไมฟังออก แต่เหมือนโดนตบหน้ากลางสี่แยก ที่เราแย่ขนาดนั้นเลยหรอ!? แต่บางครั้งเราเองก็สังเกตุว่า
บางที่เพื่อนร่วมงานก็อยากจะใช้ให้เราหยิบนู้นหยิบนี่ แต่สักพักเขาก็บอกว่า ไม่เป็นไร ไปทำเองดีกว่า....
หรือเราถามเขาว่าอันนี้อยู่ไหน เขาก็จะบอกว่า เดี๋ยวไปเอาให้ เพราะไม่รู้ว่าบอกไปเราจะเข้าใจไหม....
หลังจากวันนั้นเรา เราก็จะพยามที่จะจำคำศัพท์ เงี่ยหัวฟังเวลาฝร้ะพูดกัน พยายามพูดกับเขาบ้าง ไม่ทำตัวเป็นใบ้เหมือนแต่ก่อน
บางที่เราก็แอบคิดว่า การฝึกฝนที่แหละที่ทำจะให้เราเก่งขึ้นจริง ๆ นะเราเชื่ออย่างนั้น..
เดือนสุดท้ายที่เราทำงานที่นั่น เราคุยเพื่อนร่วมงานจนสนิท เขาพาเราไปเที่ยว ไปปาร์ตี้ทุก ๆ วันหยุด ไปโบลิ่ง ไปห้าง ไปอุทยานต่าง ๆ
เรารู้สึกว่า ถ้าวันนั้นเราไม่มีความกล้าที่จะพูดกับเขา ฝึกฝน เราก็คงไม่มีเพื่อน ไม่ได้พบกับเรื่องดี ๆ อีกมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น