ว่าด้วยเรื่องของเอกลักษณ์ที่ทุกคนพึงมี
ทุกคนล้วนอยากที่จะมีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ไปจนถึงเรื่องใหญ่โต ทุกคนย่อมอยากเป็นจุดเด่นอะไรซักอย่าง
เวลาไปงานเลี้ยง ทุกคนก็เลือกที่จะแต่งชุดสวย พยายามโดดเด่นกว่าใครเวลาถ่ายรูป
เวลาพรีเซ้นท์งาน เราคิดสุดชีวิต ว่าจะทำยังไงโปรเจคถึงจะเป็นที่ยอมรับถูกใจลูกค้า
เวลาจะเจาะตลาด เราจะคิดแบรนด์ออกมา เราก็พยายามคิดว่า เราจะทำยังไงให้ลูกค้าจดจำแบรนด์เราได้
มันก็คือธรรมชาติของคนเรา ที่อยากจะเป็นที่ยอมรับในสังคม อยากให้สิ่งที่เราทำ มีคนมากหน้าหลายตาเห็น
แต่แบรนด์ดัง ที่มีสปอนเซอร์มากมายเองนั้นก็ต้อง มีศัตรูมากมายเพิ่มขึ้นตามลำดับ
ยิ่งดัง ยิ่งหนาว มีคนรักมาก ก็ย่อมมีคนเกลียดมาก
บางทีก็ทำให้คิดว่าทำไมกันนะ ทำไมสังคมถึงได้ตัดสินผู้อื่นเอาง่ายๆ พยายามที่จะกำจัดจุดบอดออกไป
ตัวอย่างเช่น
เวลามีคนแต่งตัวแรงๆ สักที่แขน หรือย้อมผมแรงๆ เดินสวนผ่านคนอื่นกลางถนน คนอื่นก็คิดว่าคนนี้แปลกแรง มองผ่านไปแบบเหยียดๆ ทั้งๆที่เค้าแค่ชอบสไตล์นั้นๆ แต่พวกเค้าแอนตี้เพียงเพราะแค่
รำคาญสายตา
เพื่อนสาวคนนึงสวยมั่นกล้าแสดงออกกว่าเพื่อน แต่เพื่อนทุกคนกลับหลีกหนีอย่างไม่มีเหตุผล สุดท้ายเธอไม่มีเพื่อนคบ
ทั้งๆที่เธอเป็นคนตรงๆ และนิสัยดีมาก แต่เธอต้องไปไหนมาไหนคนเดียวเพียงเพราะเธอสวยกว่ามั่นกว่าคนอื่นจนอีกฝ่าย
รู้สึกว่าตัวเองถูกบดบัง
บางคนเป็นคนจริงใจ พูดจาตรงๆ แต่ถูกหาว่าเป็นคน
เหวี่ยง ก้าวร้าว ไม่น่าคบ
มีนักเรียนหญิงคนนึงยกมือขึ้นตอบอาจารย์แทบจะทุกคาบ ในขณะที่คนอื่นนั่งนิ่ง อาจารย์ที่สอนทุกคนรักเธอ
แต่นักเรียนคนอื่นกลับเขม่นเธอ นินทาว่าร้าย ทั้งๆที่เธอแค่ ตั้งใจเรียน แต่พวกเค้ากลับคิดว่า
เธออยากเด่นอยากดัง
ทำไมจึงเป็นแบบนั้น?
เพราะรับรู้ถึงสัญญาณอันตราย? ความอิจฉา? ความไม่เข้าใจ? เพราะไม่อยากเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง? หรือเพราะเราไม่คุ้นตา?
ไม่หรอก เพียงเพราะแค่พวกเค้าเหล่านั้น แปลก กว่าคนอื่น
การอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ใช่การใช้พรรคพวกสองฝั่งมาสู้เถียงกัน แต่คือการทำความเข้าใจ ยอมรับและประนีประนอมกันไม่ใช่หรือ
การพูดคุยด้วยเหตุผลนั้น มันไม่มีแบ่งแยกอายุหรอก ไม่มีคำว่าพรรคพวก ไม่มีคำว่าขาใหญ่
เพราะปัญหาที่จริงอยู่ที่ว่าทั้งสองฝ่ายจะปรับตัวเข้าหากันยังไง
การอยู่ร่วมกันสังคมนั้น ไม่มีคำว่า ชนะ หรือว่าแพ้ แต่จะอยู่ยังไงให้มีความสุขทุกฝ่าย
คำขอโทษนั้นก็เช่นกัน การขอโทษไม่ได้แปลว่าแพ้เสมอ แต่มันจะดูน่ารักมากๆ
ยิ่งถ้าทั้งสองฝ่ายออกมาพูดจากันดีๆ เคารพในสิทธิของกันและกัน พยายามปรับเปลี่ยนเพื่อกันและกัน ตกลงกันให้รู้เรื่อง
ในโลกออนไลน์มีคนมากหน้าหลายตา เราไม่อาจรับรู้ความรู้สึกอีกฝ่ายได้ แต่เราพูดคุยกันได้
เราอาจจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดได้ เพราะไม่มีคนรู้จักเราอยู่แล้ว
แต่มันจะน่ารักกว่าไหม ถ้าเราหันหน้ามาพูดคุยกันดีๆ
เราเลือกที่จะเป็นศัตรูกันได้
แต่จะเยี่ยมยอดกว่า ถ้าเรามานั่งคิดว่าจะเปลี่ยนศัตรูนั้น ให้กลายเป็นเพื่อนเราได้ยังไง
ชีวิตคนเรามีชีวิตเดียว อย่าได้สร้างศัตรู อย่าได้หาเรื่องผู้อื่น และไม่ควรให้คนอื่นมาทำให้จิตใจเราหม่นหมอง
ฝากไว้ด้วยนะคะ ถึงดราม่าใหม่และเก่า สุดท้าย ขอบพระคุณที่อ่านมาถึงจุดนี้
ปล. ขออภัยในความโลกสวย แต่เราแค่อยากเห็นคนในห้องอยู่กันอย่างมีความสุขทุกฝ่าย จริงๆนะ เหนื่อยกะดราม่าแล้ว
มีเอกลักษณ์ VS การอยู่ร่วมกันในสังคม
ทุกคนล้วนอยากที่จะมีเอกลักษณ์เป็นตัวของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ไปจนถึงเรื่องใหญ่โต ทุกคนย่อมอยากเป็นจุดเด่นอะไรซักอย่าง
เวลาไปงานเลี้ยง ทุกคนก็เลือกที่จะแต่งชุดสวย พยายามโดดเด่นกว่าใครเวลาถ่ายรูป
เวลาพรีเซ้นท์งาน เราคิดสุดชีวิต ว่าจะทำยังไงโปรเจคถึงจะเป็นที่ยอมรับถูกใจลูกค้า
เวลาจะเจาะตลาด เราจะคิดแบรนด์ออกมา เราก็พยายามคิดว่า เราจะทำยังไงให้ลูกค้าจดจำแบรนด์เราได้
มันก็คือธรรมชาติของคนเรา ที่อยากจะเป็นที่ยอมรับในสังคม อยากให้สิ่งที่เราทำ มีคนมากหน้าหลายตาเห็น
แต่แบรนด์ดัง ที่มีสปอนเซอร์มากมายเองนั้นก็ต้อง มีศัตรูมากมายเพิ่มขึ้นตามลำดับ ยิ่งดัง ยิ่งหนาว มีคนรักมาก ก็ย่อมมีคนเกลียดมาก
บางทีก็ทำให้คิดว่าทำไมกันนะ ทำไมสังคมถึงได้ตัดสินผู้อื่นเอาง่ายๆ พยายามที่จะกำจัดจุดบอดออกไป
ตัวอย่างเช่น
เวลามีคนแต่งตัวแรงๆ สักที่แขน หรือย้อมผมแรงๆ เดินสวนผ่านคนอื่นกลางถนน คนอื่นก็คิดว่าคนนี้แปลกแรง มองผ่านไปแบบเหยียดๆ ทั้งๆที่เค้าแค่ชอบสไตล์นั้นๆ แต่พวกเค้าแอนตี้เพียงเพราะแค่ รำคาญสายตา
เพื่อนสาวคนนึงสวยมั่นกล้าแสดงออกกว่าเพื่อน แต่เพื่อนทุกคนกลับหลีกหนีอย่างไม่มีเหตุผล สุดท้ายเธอไม่มีเพื่อนคบ
ทั้งๆที่เธอเป็นคนตรงๆ และนิสัยดีมาก แต่เธอต้องไปไหนมาไหนคนเดียวเพียงเพราะเธอสวยกว่ามั่นกว่าคนอื่นจนอีกฝ่าย รู้สึกว่าตัวเองถูกบดบัง
บางคนเป็นคนจริงใจ พูดจาตรงๆ แต่ถูกหาว่าเป็นคน เหวี่ยง ก้าวร้าว ไม่น่าคบ
มีนักเรียนหญิงคนนึงยกมือขึ้นตอบอาจารย์แทบจะทุกคาบ ในขณะที่คนอื่นนั่งนิ่ง อาจารย์ที่สอนทุกคนรักเธอ
แต่นักเรียนคนอื่นกลับเขม่นเธอ นินทาว่าร้าย ทั้งๆที่เธอแค่ ตั้งใจเรียน แต่พวกเค้ากลับคิดว่า เธออยากเด่นอยากดัง
ทำไมจึงเป็นแบบนั้น?
เพราะรับรู้ถึงสัญญาณอันตราย? ความอิจฉา? ความไม่เข้าใจ? เพราะไม่อยากเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง? หรือเพราะเราไม่คุ้นตา?
ไม่หรอก เพียงเพราะแค่พวกเค้าเหล่านั้น แปลก กว่าคนอื่น
การอยู่ร่วมกันในสังคม ไม่ใช่การใช้พรรคพวกสองฝั่งมาสู้เถียงกัน แต่คือการทำความเข้าใจ ยอมรับและประนีประนอมกันไม่ใช่หรือ
การพูดคุยด้วยเหตุผลนั้น มันไม่มีแบ่งแยกอายุหรอก ไม่มีคำว่าพรรคพวก ไม่มีคำว่าขาใหญ่
เพราะปัญหาที่จริงอยู่ที่ว่าทั้งสองฝ่ายจะปรับตัวเข้าหากันยังไง
การอยู่ร่วมกันสังคมนั้น ไม่มีคำว่า ชนะ หรือว่าแพ้ แต่จะอยู่ยังไงให้มีความสุขทุกฝ่าย
คำขอโทษนั้นก็เช่นกัน การขอโทษไม่ได้แปลว่าแพ้เสมอ แต่มันจะดูน่ารักมากๆ
ยิ่งถ้าทั้งสองฝ่ายออกมาพูดจากันดีๆ เคารพในสิทธิของกันและกัน พยายามปรับเปลี่ยนเพื่อกันและกัน ตกลงกันให้รู้เรื่อง
ในโลกออนไลน์มีคนมากหน้าหลายตา เราไม่อาจรับรู้ความรู้สึกอีกฝ่ายได้ แต่เราพูดคุยกันได้
เราอาจจะเป็นนักเลงคีย์บอร์ดได้ เพราะไม่มีคนรู้จักเราอยู่แล้ว
แต่มันจะน่ารักกว่าไหม ถ้าเราหันหน้ามาพูดคุยกันดีๆ
เราเลือกที่จะเป็นศัตรูกันได้
แต่จะเยี่ยมยอดกว่า ถ้าเรามานั่งคิดว่าจะเปลี่ยนศัตรูนั้น ให้กลายเป็นเพื่อนเราได้ยังไง
ชีวิตคนเรามีชีวิตเดียว อย่าได้สร้างศัตรู อย่าได้หาเรื่องผู้อื่น และไม่ควรให้คนอื่นมาทำให้จิตใจเราหม่นหมอง
ฝากไว้ด้วยนะคะ ถึงดราม่าใหม่และเก่า สุดท้าย ขอบพระคุณที่อ่านมาถึงจุดนี้
ปล. ขออภัยในความโลกสวย แต่เราแค่อยากเห็นคนในห้องอยู่กันอย่างมีความสุขทุกฝ่าย จริงๆนะ เหนื่อยกะดราม่าแล้ว