คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
เหตุผลที่มีการโจมตีพุทธทาสเพราะเขาเห็นว่าท่านบิดเบือนสาระของพระไตรปิฎกและบังอาจโจมตีส่วนที่เรียกว่า "พระอภิธรรม" ครับ ในส่วนวิธีของการโจมตีก็มีทั้งการคัดลอกพระไตรปิฎกบางส่วนมาเปรียบเทียบกับคำอธิบายของพุทธทาสว่าบิดเบือนตรงไหน และมีทั้งค่อนขอดว่าท่านเลี้ยงปลากัด, เล่นเครื่องเสียง และเล่นกล้องซึ่งเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยสำหรับสงฆ์ ยังมีอยู่อีกส่วนหนึ่งที่นำเอาคำอธิบายของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ที่ถูกถือเป็นเหมือนตัวแทนของผู้รู้พระไตรปิฎกที่ดีที่สุดของพระสงฆ์ในยุคปัจจุบัน มาเปรียบเทียบและตีความว่าพระคุณจ้าป.อ.ปยุตโตวินิจฉัยว่าท่านพุทธทาสเป็นผู้บิดเบือนจริง
ทั้งๆที่ท่านป.อ.ปยุตโตได้อธิบายไว้ในหลายวาระและโอกาส (เช่นในหนังสือ 100 ปีพุทธทาส) ว่า "ถ้าจะมองท่านพุทธทาสต้องมองให้ครบทุกด้าน บางคนอ่านแค่บางประโยคก็นำเอาข้อความสั้นๆไปตีความจึงเกิดความไม่เข้าใจ" ท่านป.อ.ปยุตโตถึงขนาดกล่าวเอาไว้ว่า "ท่านพุทธทาสทำงานสนองพระพุทธเจ้า พวกเราทำงานตามท่านพุทธทาสก็เสมือนสนองพระพุทธเจ้าเช่นกัน"
ผมขออนุญาตไม่ถ่ายรูปหรือถ่ายเอกสารมาแสดงประกอบโพสต์นี้นะครับ แต่ยืนยันไว้ว่าเป็นคำพูดของท่านที่มีในหนังสือ 100 ปีพุทธทาสจริงๆ และหากลองตรวจดูใน google web searcher ก็จะได้พบกับประโยคนี้ด้วย
ในบอร์ดศาสนานี้ก็มีผู้พยายามจะมาแสดงความเห็นปกป้องท่านพุทธทาสอยู่หลายท่าน ล้วนแล้วแต่ใช้ภาษาบาลีและเนื้อหาในพระไตรปิฎกมาตีความโต้ตอบกันไปมา ซึ่งก็พ้นปัญญาที่คนศึกษามาน้อยจะเข้าไปร่วมวงได้
ผมอยู่ในกลุ่มที่ศรัทธาในท่านพุทธทาสมานาน เมื่อเข้ามาอ่านในบอร์ดนี้มากๆเข้าทำให้เกิดแรงผลักดันให้กลับไปทบทวนและค้นคว้าสิ่งที่เคยอ่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วเจอประโยคหนึ่งที่ท่านพูดว่า "เมื่อฉันเอานิ้วชี้ไปที่พระจันทร์ อย่ามองนิ้วฉันแต่ให้มองไปที่พระจันทร์"
คำพูดนี้ผมตีความว่า...พระจันทร์เปรียบเสมือนพระธรรมของพระพุทธเจ้า ส่วนนิ้วของท่านพุทธทาสเปรียบเสมือนการชี้ทางให้ผมเห็นพระธรรม ความสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวของท่านพุทธทาสแต่อยู่ที่ทิศทางที่ท่านชี้ให้ผมไปศึดษาต่อเอาเองโดยตรง ดังนั้นไม่ว่าใครจะโจมตีท่านผมก็เชื่อว่าท่านไม่ใส่ใจอะไร เพราะท่านเองก็ไม่เคยบอกว่าท่านคือตัวแทนของพระธรรม และท่านไม่เคยประกาศตนว่าบรรลุอรหันต์
ก่อนที่จะได้เริ่มอ่านหนังสือของพุทธทาส ผมมีแต่ความสงสัยและกังขาว่าอะไรคือศาสนาพุทธ ผมถูกกล่อมเกลาให้เรียนรู้การทำบุญเพื่อเอากุศลไปเป็นเสบียงชาติหน้ามาตั้งแต่เด็ก เคยเห็นปู่ย่าตายายถวายอาหารเท่าถ้วยตะไลและอธิษฐานของความเจริญรุ่งเรืองแบบเอากำไรเกินควรจนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เมื่อโตขึ้นก็เจอแต่ข้อสงสัยและหาคำอธิบายที่ยอมรับจริงๆไม่ได้หลายอย่างเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นว่าผมไหว้พระเพียงเพราะนับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่เพราะเลื่อมใสจนหวังเป็นแนวทางในชีวิต เมื่อแรกที่ได้อ่านผลงานของท่านพุทธทาสก็จับสาระจริงๆไม่ค่อยได้ รู้สึกแต่เพียงว่าเป็นหนังสือทางศาสนาที่ "เป็นเหตุเป็นผล" ที่สุดแนวทางหนึ่ง
จนวัยผ่านมาในช่วงกลางคนในวันนี้ ผมได้ข้อพิสูจน์หลายอย่างที่ทำให้มั่นใจในสิ่งที่ได้ศึกษาจากท่านพุทธทาส แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับฆราวาสธรรมไม่ใช่ขั้นปรมัตถ์ธรรม ซึ่งหมายถึงว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงจุดที่เห็นนิ้วของท่านชี้ไปสู่พระจันทร์ มีความสบายใจและปลอดโปร่งต่อความเชื่อปรัชญาชีวิตที่ยึดถือโดยไม่ได้บรรลุฌาณสมาบัติใดๆแม้สักส่วนเสี้ยวเดียว
สักวันหนึ่งหามีความพร้อมและปลอดจากภาระครอบครัวได้พอสมควร ผมคงมองพระจันทร์ให้ชัดเจนขึ้นตามที่ท่านแนะทางให้แล้ว
ทั้งๆที่ท่านป.อ.ปยุตโตได้อธิบายไว้ในหลายวาระและโอกาส (เช่นในหนังสือ 100 ปีพุทธทาส) ว่า "ถ้าจะมองท่านพุทธทาสต้องมองให้ครบทุกด้าน บางคนอ่านแค่บางประโยคก็นำเอาข้อความสั้นๆไปตีความจึงเกิดความไม่เข้าใจ" ท่านป.อ.ปยุตโตถึงขนาดกล่าวเอาไว้ว่า "ท่านพุทธทาสทำงานสนองพระพุทธเจ้า พวกเราทำงานตามท่านพุทธทาสก็เสมือนสนองพระพุทธเจ้าเช่นกัน"
ผมขออนุญาตไม่ถ่ายรูปหรือถ่ายเอกสารมาแสดงประกอบโพสต์นี้นะครับ แต่ยืนยันไว้ว่าเป็นคำพูดของท่านที่มีในหนังสือ 100 ปีพุทธทาสจริงๆ และหากลองตรวจดูใน google web searcher ก็จะได้พบกับประโยคนี้ด้วย
ในบอร์ดศาสนานี้ก็มีผู้พยายามจะมาแสดงความเห็นปกป้องท่านพุทธทาสอยู่หลายท่าน ล้วนแล้วแต่ใช้ภาษาบาลีและเนื้อหาในพระไตรปิฎกมาตีความโต้ตอบกันไปมา ซึ่งก็พ้นปัญญาที่คนศึกษามาน้อยจะเข้าไปร่วมวงได้
ผมอยู่ในกลุ่มที่ศรัทธาในท่านพุทธทาสมานาน เมื่อเข้ามาอ่านในบอร์ดนี้มากๆเข้าทำให้เกิดแรงผลักดันให้กลับไปทบทวนและค้นคว้าสิ่งที่เคยอ่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วเจอประโยคหนึ่งที่ท่านพูดว่า "เมื่อฉันเอานิ้วชี้ไปที่พระจันทร์ อย่ามองนิ้วฉันแต่ให้มองไปที่พระจันทร์"
คำพูดนี้ผมตีความว่า...พระจันทร์เปรียบเสมือนพระธรรมของพระพุทธเจ้า ส่วนนิ้วของท่านพุทธทาสเปรียบเสมือนการชี้ทางให้ผมเห็นพระธรรม ความสำคัญจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวของท่านพุทธทาสแต่อยู่ที่ทิศทางที่ท่านชี้ให้ผมไปศึดษาต่อเอาเองโดยตรง ดังนั้นไม่ว่าใครจะโจมตีท่านผมก็เชื่อว่าท่านไม่ใส่ใจอะไร เพราะท่านเองก็ไม่เคยบอกว่าท่านคือตัวแทนของพระธรรม และท่านไม่เคยประกาศตนว่าบรรลุอรหันต์
ก่อนที่จะได้เริ่มอ่านหนังสือของพุทธทาส ผมมีแต่ความสงสัยและกังขาว่าอะไรคือศาสนาพุทธ ผมถูกกล่อมเกลาให้เรียนรู้การทำบุญเพื่อเอากุศลไปเป็นเสบียงชาติหน้ามาตั้งแต่เด็ก เคยเห็นปู่ย่าตายายถวายอาหารเท่าถ้วยตะไลและอธิษฐานของความเจริญรุ่งเรืองแบบเอากำไรเกินควรจนรู้สึกตะขิดตะขวงใจ เมื่อโตขึ้นก็เจอแต่ข้อสงสัยและหาคำอธิบายที่ยอมรับจริงๆไม่ได้หลายอย่างเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นว่าผมไหว้พระเพียงเพราะนับถือศาสนาพุทธ ไม่ใช่เพราะเลื่อมใสจนหวังเป็นแนวทางในชีวิต เมื่อแรกที่ได้อ่านผลงานของท่านพุทธทาสก็จับสาระจริงๆไม่ค่อยได้ รู้สึกแต่เพียงว่าเป็นหนังสือทางศาสนาที่ "เป็นเหตุเป็นผล" ที่สุดแนวทางหนึ่ง
จนวัยผ่านมาในช่วงกลางคนในวันนี้ ผมได้ข้อพิสูจน์หลายอย่างที่ทำให้มั่นใจในสิ่งที่ได้ศึกษาจากท่านพุทธทาส แต่ก็เป็นเพียงแค่ระดับฆราวาสธรรมไม่ใช่ขั้นปรมัตถ์ธรรม ซึ่งหมายถึงว่าตอนนี้ผมยืนอยู่ตรงจุดที่เห็นนิ้วของท่านชี้ไปสู่พระจันทร์ มีความสบายใจและปลอดโปร่งต่อความเชื่อปรัชญาชีวิตที่ยึดถือโดยไม่ได้บรรลุฌาณสมาบัติใดๆแม้สักส่วนเสี้ยวเดียว
สักวันหนึ่งหามีความพร้อมและปลอดจากภาระครอบครัวได้พอสมควร ผมคงมองพระจันทร์ให้ชัดเจนขึ้นตามที่ท่านแนะทางให้แล้ว
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 32
ทำไมมีคนโจมตีพุทธทาสครับ
เพราะ...
เรื่องไม่ยอมรับปฏิจจสมุปบาทข้ามชาติภพ
เรื่องบอกว่าบุญบาปเป็นแค่เรื่องสมมติของศาสนาต่างๆ
เรื่องบอกว่ายอมรับพระสูตรในตอนที่มีเทวดาไม่ได้
เรื่องกล่าวใส่ร้ายพระพุทธโฆสะว่าเอาเรื่องเทวดา เรื่องชาติภพของพรหมณ์ใส่เข้ามาในพระไตร แล้วเผาพระไตรเดิมเสีย
เรื่องปฏิเสธการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
เรื่องบอกว่าพระโสดาบันหอบหิ้วความเป็นโสดาบันข้ามชาติไม่ได้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=15&group=1&gblog=2
------ " ทีนี้เรามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้ ให้โกยอภิธรรมทิ้งให้หมด อภิธรรมที่รู้กันอยู่นั่นแหละ อภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ อภิธรรมอะไรก็ตามที่ระบุไปที่อภิธรรมเฟ้อนี้โกยทิ้งไปเสียให้หมด เราก็ไม่ขาดอะไร เพราะเรามีสุตตันตะเหลือไว้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อพระนิพพานได้โดยเร็ว ไม่ลังเลไม่เฉื่อยชาเสียอีก อ้าว ทีนี้กลับกันตรงกันข้าม ลองโกยสุตตันตปิฏกทิ้งให้หมดเหลือแต่อภิธรรมปิฏกแล้ว เจ๊งเลย ขอใช้คำหยาบ ๆ อย่างนี้ มนุษย์จะเจ๊ง โลกนี้จะเจ๊ง ถ้าเอาสุตตันตปิฏกทั้งหมดไปทิ้ง แล้วเหลือแต่อภิธรรมปิฏก นี้มนุษย์จะเจ๊ง จะเดินไม่ถูกไปตามทางอัฏฐังคิกมรรคไปสู่นิพพานได้ แต่ถ้าเอาอภิธรรมปิฏกโกยทิ้งไปทั้งกระบิเลย เหลือแต่สุตตันตปิฏก เราก็ยังเดินไปสู่นิพพานได้ แล้วจะง่ายเข้า เพราะไม่มัวไปพะว้าพะวงกับอภิธรรมปิฏกนั่นเอง นี่พูดอย่างนี้ไม่กลัวโกรธแล้วเห็นไหม ไม่ใช่พูดเพราะเกลียดหรือเพราะโกรธหรือเพราะกระทบกระเทียบกระแนะกระแหน พูดเพื่อว่าพุทธบริษัทไทยในยุคปรมาณูนี้ ขอให้มีอภิธรรมชนิดปรมาณูที่มันเจาะแทงกิเลสได้จริง
------" ฉะนั้นขอให้ระวังกันให้มาก ในการที่จะไปสอนอภิธรรมเรื่องจิตเรื่องเจตสิกละเอียดละอออย่างยิ่ง แล้วในที่สุดไปหลงมหากุศล จะหอบหิ้วมหากุศลอันนี้เอาไปด้วย จิตดวงนี้ไปในภพโน้น มันเป็นสัสสทิฏฐิ แล้วบางคนอธิบายว่า เป็นพระโสดาบันเกิด ๗ ชาติ แล้วก็คน ๆ นั้นเองเกิด ๗ ชาติ เข้าโลงแล้วเกิดอีก เข้าโลงแล้วเกิดอีกมันก็เป็น ๗ ชาติเป็นคน ๆ นั้นเอง แล้วความเป็นพระโสดาบันหอบหิ้วเอาไปได้อย่างไร ถ้าหอบหิ้วไปได้มันก็เป็นพระโสดาบันมาแต่ในท้อง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร นั่นแหละคือสัสสตทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ คือพูดผิดไปแล้วโดยไม่รู้สึกตัว
เรื่องบอกว่าคันธัพพะคืออสุจิ
ปฏิจจสมุปบาท ชุดลอยปทุม ของท่านพุทธทาส หน้า ๑๐๓
" นี่เรื่องของเด็กเล็กๆ ตั้งอยู่ในครรภ์ในท้องแม่คลอดออกมายังไม่รู้เรื่อง ยังไม่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท จนกว่าจะได้เกี่ยวข้องกับกามคุณ ๕ แล้วรู้จักยินดียินร้าย และในใจไม่มีปัญญาไม่มีวิชชาไม่มีความรู้เรื่องวิมุติ คือความหลุดพ้นจากความทุกข์ และสติก็ตั้งไว้ไม่เป็น เพราะไม่รู้เรื่อง "
-หน้า ๑๐๐ " หรือว่ามารดาบิดาอยู่ร่วมกันมีระดูแล้ว แต่ถ้าคันธัพพะไม่เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะมันก็ไม่เกิดเหมือนกัน แล้วก็คันธัพพะ ซึ่งไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรในภาษาไทย ก็เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะ ถ้าพูดอย่างวิชาการสมัยนี้ก็ว่าคันธัพพะนี้ก็หมายถึงเชื้อของฝ่ายบิดาแล้วมันเข้าไปตั้งอยู่ในเฉพาะในไข่ของมารดา"
เรื่องบอกว่าอวิชชามาเริ่มเมื่อเด็กทารกเริ่มรู้เดียงสาแล้ว
เรื่องบิดความหมายโอปปาติกะเป็นการผุดขี้นทางใจ
เรื่องเปรียบการค้นหาธรรมในพระไตรเหมือนการหาทองจากกองขยะ
เรื่องบอกพระอภิธรรมเป็นส่วนเกินโยนทิ้งทะเลหมดก็ไม่เสียหายอะไร
เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีในพระพุทธศาสนา
เรื่องปฏิเสธภพชาติให้เหลือแต่ภพชาติทางใจ
เรื่องปฏิเสธสาสวะสัมมาทิฏฐิบอกใครคิดตายแล้วจบกันก็ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ
เรื่องชาดกไม่ใช่พุทธดำรัส
เรื่องสัตว์เป็นโอปปาติกะไม่มี
เพิ่มเติม
เรื่องอวิชชาเริ่มเมื่อเด็กทารกรู้เดียงสาที่ติดไว้
เพราะ...
เรื่องไม่ยอมรับปฏิจจสมุปบาทข้ามชาติภพ
เรื่องบอกว่าบุญบาปเป็นแค่เรื่องสมมติของศาสนาต่างๆ
เรื่องบอกว่ายอมรับพระสูตรในตอนที่มีเทวดาไม่ได้
เรื่องกล่าวใส่ร้ายพระพุทธโฆสะว่าเอาเรื่องเทวดา เรื่องชาติภพของพรหมณ์ใส่เข้ามาในพระไตร แล้วเผาพระไตรเดิมเสีย
เรื่องปฏิเสธการบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า
เรื่องบอกว่าพระโสดาบันหอบหิ้วความเป็นโสดาบันข้ามชาติไม่ได้
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=chalermsakm&month=11-2010&date=15&group=1&gblog=2
------ " ทีนี้เรามาเปรียบเทียบกันอย่างนี้ ให้โกยอภิธรรมทิ้งให้หมด อภิธรรมที่รู้กันอยู่นั่นแหละ อภิธรรมปิฏก อภิธัมมัตถสังคหะ อภิธรรมอะไรก็ตามที่ระบุไปที่อภิธรรมเฟ้อนี้โกยทิ้งไปเสียให้หมด เราก็ไม่ขาดอะไร เพราะเรามีสุตตันตะเหลือไว้เป็นข้อปฏิบัติเพื่อพระนิพพานได้โดยเร็ว ไม่ลังเลไม่เฉื่อยชาเสียอีก อ้าว ทีนี้กลับกันตรงกันข้าม ลองโกยสุตตันตปิฏกทิ้งให้หมดเหลือแต่อภิธรรมปิฏกแล้ว เจ๊งเลย ขอใช้คำหยาบ ๆ อย่างนี้ มนุษย์จะเจ๊ง โลกนี้จะเจ๊ง ถ้าเอาสุตตันตปิฏกทั้งหมดไปทิ้ง แล้วเหลือแต่อภิธรรมปิฏก นี้มนุษย์จะเจ๊ง จะเดินไม่ถูกไปตามทางอัฏฐังคิกมรรคไปสู่นิพพานได้ แต่ถ้าเอาอภิธรรมปิฏกโกยทิ้งไปทั้งกระบิเลย เหลือแต่สุตตันตปิฏก เราก็ยังเดินไปสู่นิพพานได้ แล้วจะง่ายเข้า เพราะไม่มัวไปพะว้าพะวงกับอภิธรรมปิฏกนั่นเอง นี่พูดอย่างนี้ไม่กลัวโกรธแล้วเห็นไหม ไม่ใช่พูดเพราะเกลียดหรือเพราะโกรธหรือเพราะกระทบกระเทียบกระแนะกระแหน พูดเพื่อว่าพุทธบริษัทไทยในยุคปรมาณูนี้ ขอให้มีอภิธรรมชนิดปรมาณูที่มันเจาะแทงกิเลสได้จริง
------" ฉะนั้นขอให้ระวังกันให้มาก ในการที่จะไปสอนอภิธรรมเรื่องจิตเรื่องเจตสิกละเอียดละอออย่างยิ่ง แล้วในที่สุดไปหลงมหากุศล จะหอบหิ้วมหากุศลอันนี้เอาไปด้วย จิตดวงนี้ไปในภพโน้น มันเป็นสัสสทิฏฐิ แล้วบางคนอธิบายว่า เป็นพระโสดาบันเกิด ๗ ชาติ แล้วก็คน ๆ นั้นเองเกิด ๗ ชาติ เข้าโลงแล้วเกิดอีก เข้าโลงแล้วเกิดอีกมันก็เป็น ๗ ชาติเป็นคน ๆ นั้นเอง แล้วความเป็นพระโสดาบันหอบหิ้วเอาไปได้อย่างไร ถ้าหอบหิ้วไปได้มันก็เป็นพระโสดาบันมาแต่ในท้อง แล้วมันจะเป็นไปได้อย่างไร นั่นแหละคือสัสสตทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ คือพูดผิดไปแล้วโดยไม่รู้สึกตัว
เรื่องบอกว่าคันธัพพะคืออสุจิ
ปฏิจจสมุปบาท ชุดลอยปทุม ของท่านพุทธทาส หน้า ๑๐๓
" นี่เรื่องของเด็กเล็กๆ ตั้งอยู่ในครรภ์ในท้องแม่คลอดออกมายังไม่รู้เรื่อง ยังไม่เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาท จนกว่าจะได้เกี่ยวข้องกับกามคุณ ๕ แล้วรู้จักยินดียินร้าย และในใจไม่มีปัญญาไม่มีวิชชาไม่มีความรู้เรื่องวิมุติ คือความหลุดพ้นจากความทุกข์ และสติก็ตั้งไว้ไม่เป็น เพราะไม่รู้เรื่อง "
-หน้า ๑๐๐ " หรือว่ามารดาบิดาอยู่ร่วมกันมีระดูแล้ว แต่ถ้าคันธัพพะไม่เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะมันก็ไม่เกิดเหมือนกัน แล้วก็คันธัพพะ ซึ่งไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรในภาษาไทย ก็เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะ ถ้าพูดอย่างวิชาการสมัยนี้ก็ว่าคันธัพพะนี้ก็หมายถึงเชื้อของฝ่ายบิดาแล้วมันเข้าไปตั้งอยู่ในเฉพาะในไข่ของมารดา"
เรื่องบอกว่าอวิชชามาเริ่มเมื่อเด็กทารกเริ่มรู้เดียงสาแล้ว
เรื่องบิดความหมายโอปปาติกะเป็นการผุดขี้นทางใจ
เรื่องเปรียบการค้นหาธรรมในพระไตรเหมือนการหาทองจากกองขยะ
เรื่องบอกพระอภิธรรมเป็นส่วนเกินโยนทิ้งทะเลหมดก็ไม่เสียหายอะไร
เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่มีในพระพุทธศาสนา
เรื่องปฏิเสธภพชาติให้เหลือแต่ภพชาติทางใจ
เรื่องปฏิเสธสาสวะสัมมาทิฏฐิบอกใครคิดตายแล้วจบกันก็ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิ
เรื่องชาดกไม่ใช่พุทธดำรัส
เรื่องสัตว์เป็นโอปปาติกะไม่มี
เพิ่มเติม
เรื่องอวิชชาเริ่มเมื่อเด็กทารกรู้เดียงสาที่ติดไว้
แสดงความคิดเห็น
สงสัยว่าทำไมถึงมีคนโจมตีท่านพุทธทาสครับ
หรือจะมีประเด็นอื่นๆที่ผมไม่รู้อีก