เกียรติ ปลายดาบ คราบน้ำตา
3.เชียงคา แดนแห่งโล่และขวาน
ชายสูงอายุรายหนึ่งกำลังเดินดุ่มๆอยู่ในป่าเพื่อเก็บของป่า พลันเจอเห็ดสีส้มสดใสจึงก้มลงมองใหล้ ทันใดนั้นก็ต้องยิ้มปากแทบฉีก เพราะมันเป็นเห็ดสมุนไพรที่หายากและมีราคาแพง ชายคนนั้นไม่รอช้ารีบเด็ดต้นเห็ดนั้นใส่กระเป๋าผ้าลงอย่างฉับไว้ พร้อมเดินขึ้นทางลาดชันเข้าไปในป่าให้ลึกขึ้นไปอีกเพื่อหวังจะได้ของดีราคาแพงยิ่งขึ้น ระหว่างที่เขากำลังเกาะต้นไม้เพื่อพยุงตัวเองให้ขึ้นทางลาดชันนี้ได้นั้นพลันได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแว่วๆมาแต่ไกล เขาหยุดนิ่งและเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นเคลื่อนที่มาใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นและดังกังวาลขึ้นเรื่อยๆ ใช่แล้วมันคือเสียงฝีเท้าฝูงม้านั่นเอง ชายชราเริ่มรู้แล้วว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาคืออะไร เขารีบกระโดดลงจากทางชันและไปแอบหลังก้อนหินขนาดใหญ่ ไม่กี่อึกใจกองทัพทหารม้าขนาดใหญ่ก็เคลื่อนที่เข้ามา ทุกคนในกองทัพล้วนควบม้าพวกเขาใส่ชุดแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าหนังหนา แม้ว่าขณะนี้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม ทหารม้าทุกคนล้วนไว้ผมยาว มีโล่และขวานติดอยู่ด้านหลัง พวกเขาเหล่านั้นควบม้าด้วยความเร่งรีบทำให้ชายชราแอบสงสัยว่าพวกเขาจะไปไหนกัน ไม่นานนักกองทัพนี้ก็เคลื่อนที่ผ่านมา ชายแก่จึงค่อยๆเดินออกมาจากโขดหินมองตามทางที่คนพวกนั้นค่อยๆหายไปสุดสายตา
กองทัพที่เพิ่งเร่งรีบเดินทางนั้นคือชาวเชียงคาแห่งทางเหนือ ชาวเชียงคาเป็นชนเผ่านักรบโดยสายเลือด ชนเผ่านี้ร่างกายจะใหญ่โตกว่าทุกเผ่าในสุวรรณภูมิ ปอดใหญ่ หัวใจใหญ่ ทนความหนาวได้ดี อาจจะเนื่องจากภูมิประเทศที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของทวีปก็เป็นได้ที่ทำให้สรีระพวกเขาเป็นเช่นนี้ พวกเขาแข็งแรงขนาดสามารถถือขวานด้ามใหญ่ได้ด้วยมือเดียวส่วนอีกมือหนึ่งพวกเขานิยมถือโล่ ทำให้สัญลักษณ์ของดินแดนนี้เป็นขวานไขว้ประดับโล่ แม้ชาวเชียงคาจะอยู่ในแดนเหนือแต่ก็ไม่นิยมสวมถุงมือนัก ชนเผ่าแห่งนี้เป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานชนเผ่าหนึ่ง
อาณาจักรเชียงคาอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนสุวรรณภูมิด้านตะวันออกเป็นภูเขาสลับซับซ้อนและติดกับอาณาจักรวายุนครชาวเหนืออีกอาณาจักรหนึ่ง ด้านบนของอาณาจักรไม่มีคนอาศัยอยู่เนื่องจากเป็นที่ราบสูงที่แข็งเป็นน้ำแข็งและเป็นที่อยู่ของบรรดาหมีขาวดันแสนดุร้าย เหนือจากดินแดนน้ำแข็งว่ากันว่าเป็นทะเลที่อาศัยอยู่ของทวยเทพที่ชาวเชียงคานับถือ ทิศใต้ของเชียงคาอยู่ติดกับอนันตเขตและกำลังจะถูกกำแพงยักษ์ขวางกั้นการเดินทาง ส่วนทิศตะวันตกตอนบนติดทะเลที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลา ตะวันตกตอนใต้ติดกับแผ่นดินอีกอาณาจักรหนึ่งนั่นคือพฤกษาบุรีรมย์ที่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้
อาณาจักรเชียงคาเชื่อว่าพวกของตนเป็นชนเผ่าแรกที่ตั้งรกรากในสุวรรณภูมิแห่งนี้ พวกเขามีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นอาณาจักรแรกเริ่มในการรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ที่สำคัญติณณ์ที่เป็นวีรบุรุษในยุคโบราณ ยอดนักรบผู้รวบรวมแผ่นดินสุวรรณภูมิแท้จริงแล้วก็เป็นชาวเชียงคาและกองทหารที่ใช้ไปตีเผ่าต่างๆในยุคนั้นก็เป็นทหารเชียงคานั่นเองแต่กระนั้นแล้วสายสัมพันธ์ที่แน่นหนาของอนันตเขตและเชียงคาก็ดูจะบางลงๆเรื่อยๆตามกาลเวลา
แม้เชียงคาจะเป็นบรรพรบุรุษของชาวอนันตเขตก็ตาม แต่วัฒนธรรมของคนทั้งสองที่ก็ได้แตกต่างกันไปตามกาลเวลา อาทิ ชาวเชียงคาที่เป็นแดนหนาวก็มักจะแต่งตัวรัดกุม ขณะที่ชาวอนันตเขตนั้นมักใส่เสื้อผ้าบางๆสบายๆตามภูมิประเทศภาคกลาง ชาวอนันตเขตน้อยคนนักที่จะยังใช้ขวานเป็นอาวุธอยู่ แต่กระนั้นรูปร่างทางสรีระก็ไม่ได้แตกต่างกันอย่างสามารถแยกกันได้ชัดเจน อีกทั้งชาวอนันตเขตปัจจุบันก็ปนเปไปด้วยชนเผ่าต่างๆทั่วทั้งสุวรรณภูมิที่มาตั้งรกรากกันตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร ที่สำคัญชาวเชียงคาไม่มีเรื่องของทาสชาวอสรเข้ามาปนเปในดินแดนเช่นดังอนันตเขต
อาณาจักรเชียงคาที่ดินแดนส่วนใหญ่อยู่ในที่ราบสูงมีศูนย์กลางของการปกครองในอาณาจักรอยู่ที่ที่ราบด้านใต้ของอาณาจักร ผู้คนขนานนามดินแดนด้านใต้นี้ว่า “แผ่นดินขาว” เนื่องจากเวลาตอนเช้าแสงแดดที่สาดส่องปราสาทขององค์จักรพรรดิ ปราสาทหลังนั้นจะเห็นเป็นสีขาวทั้งหลัง ปราสาทหลังนั้นจึงขนานนามว่า “ปราสาทขาว”
กองทัพที่เพิ่งวิ่งผ่านชายเก็บของป่าเมื่อครู่กลับมุ่งหน้าไปยังทางตะวันออก แสดงว่าเป้าหมายไม่ใช่อนันตเขตอย่างแน่นอน แล้วพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ที่ใดกัน
ชายสวมเสื้อผ้ารัดรูปสีดำแซมแดง มีผ้าคลุมศีรษะปิดหน้าปิดตากำลังควบม้าไปยังแดนตะวันออกเช่นกัน หากชายผู้นี้เอาผ้าที่ปิดหน้าตาออกก็จะเห็นว่าเขาคือ “สี่สิบเก้า” นักฆ่าแห่งปักษาราตรีนั่นเอง แต่น่าแปลกว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรกัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 คืนก่อน ณ อาณาจักรเชียงคาแห่งนี้ ขณะที่เจ้ากรมการทหารกำลังนั่งทำงานอยู่ในบ้านพัก เขากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายของกองทัพ จำนวนทหารและการเกณฑ์คนมาร่วมทัพในปีถัดไป ขณะนั้นเองประตูห้องก็ได้เปิดขึ้นปรากฏชายชุดดำปิดหน้าปิดตา
“เหอ เอ็งเป็นใครเรอะ”
เจ้ากรมฯเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ตกใจนักเพราะคิดว่าเป็นทหารยามด้านนอก ชายผู้นั้นไม่ได้มอบคำตอบใดๆออกไปแต่กลับคว้ามีดออกจากฝักกระโจนเข้าไปจ้วงแทงเจ้ากรมการทหารแห่งเชียงคาไม่ยั้งจนตายคาที่ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะหลบหนีหายไปในความมืด
เช้าวันรุ่งขึ้น บุตรชายของเจ้ากรมการทหารรายนี้โกรธแค้นมากพร้อมประกาศค่าหัวชายที่สังหารบิดาของเขาเป็นทองคำหนักเท่ากับน้ำหนักตัวของคนที่สามารถจับชายผู้นั้นได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย ทำให้บรรดาทหารรับจ้างหรือแม้แต่ขุนศึกต่างๆพากันออกตามล่าชายผู้นี้
แน่นอนว่าชายปิดหน้าตาผู้นั้นก็คือสี่สิบเก้า และกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกนั้นก็เพื่อตามล่าสี่สิบเก้านั่นเอง หลังพวกเขาได้เบาะแสการเดินทางของสี่สิบเก้าจากคำให้การของทหารเฝ้าประตูเข้าออกแผ่นดินขาว กองทัพน้อยๆนี้ไม่ใช่ทหารสังกัดใดในอาณาจักร หากแต่เป็นนักล่าค่าหัวจากนอกแผ่นดินขาว พวกเขาคาดหวังจะนำทองคำรางวัลจึงได้รีบควบม้ามายังฝั่งตะวันออกตามล่าสี่สิบเก้า
สี่สิบเก้าควบม้าจากกลางคืนหนึ่งข้ามมาถึงอีกคืนหนึ่ง เขาเดินทางมาถึงลำธารแห่งหนึ่งเห็นกระท่อมเล็กๆจึงควบม้าเข้าไปหา เขาลงจากม้าผูกมันที่ริมลำธารและเคาะประตู ประตูบานเล็กๆค่อยๆเปิดขึ้นปรากฏร่างเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนางหนึ่ง
“ท่านไม่ใช่พ่อหนิ เป็นใครกันหรอ” เด็กสาวถาม สี่สิบเก้าเอาที่ปิดหน้าปิดตาออกย่อตัวลงเพื่อสนทนากับเด็กน้อย
“ข้าเป็นนักเดินทางน่ะหนูน้อย ที่บ้านไม่มีใครอยู่หรอ” สี่สิบเก้าถาม
“มีแม่ข้าอยู่” พูดจบก็มีเสียงออกมาด้านหลังของเด็กน้อย
“พ่อเอ็งกลับมาแล้วเหรอลูก” เป็นเสียงหญิงสาววัยกลางคนนั่นเอง หญิงสาววัยกลางคนค่อยเดินมาที่ประตูก่อนยื่นหน้ามาพบกับสี่สิบเก้าและทำหน้าตกใจ
“ท่านเป็นใครกัน มาที่บ้านข้าทำไม” หญิงสาวถาม
“ขอโทษนะแม่หญิง ข้าเป็นนักเดินทาง พอดีคืนนี้หลงทางมาแถวนี้ อยากจะขอที่ซุกหัวนอนสักคืน ให้ข้านอนในคอกสัตว์ก็ได้ พอจะกรุณาได้ไหม” สี่สิบเก้าถาม แต่ขณะที่เอ่ยคำนั้นกลับไม่ได้มีสีหน้าที่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย ตามประสาคนที่ถูกเลี้ยงมาให้จิตใจแข็งกระด้างแต่หญิงสาววัยกลางคนกลับยิ้มแย้มตอบรับด้วยความเป็นมิตร
“ฮ่า ฮ่า พี่ชาย ไม่ต้องลำบากไปนอนในคอกสัตว์หรอก เรามีห้องสองห้อง เดี๋ยววันนี้ให้ลูกข้ามานอนกับข้าแล้วท่านก็ไปนอนห้องลูกข้าแทน ท่านจะรังเกียจไหมล่ะ” หญิงสาวมอบไมตรีแก่สี่สิบเก้า
“ขอบคุณมากแม่หญิง” ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม คำตอบที่เย็นชา กลับได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าของบ้าน สี่สิบเก้าค่อยๆก้าวเข้ามายังกระท่อมอย่างไม่ลังเล
“พี่ชาย ข้าเพิ่มทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย เชิญพี่ชายมาร่วมโต๊ะกับเรานะ” หญิงสาวเชื้อเชิญ
“ขอบคุณแม่หญิงมากๆ” สี่สิบเก้าไร้แววความเกรงใจนั่งเก้าอี้และใช้มือจ้วงอาหารอย่างมูมมามไม่รอเจ้าภาพ ปล่อยให้หญิงสาวและเด็กสาวมองด้วยความขบขัน หญิงสาวและเด็กน้อยยังไม่เริ่มกินตามสี่สิบเก้าเนื่องจากกำลังรอพ่อบ้านอยู่นั่นเอง
สี่สิบเก้าเริ่มอิ่มแล้วก็ค่อยๆรามือจากอาหารมองหน้าหนูน้อย หนูน้อยยิ้มแก้มแดงระเรื่อให้สี่สิบเก้า
“ท่านลุงคะ หนูมีนิทานจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหม” เด็กน้อยเอ่ยถาม
“อืม ลองเล่ามาสิ” สี่สิบเก้าเอ่ย
“ท่านพ่อเล่าให้ฟังว่าในป่าฝั่งตะวันตกนะ เข้าไปลึ้กลึกมียักษ์ด้วย ยักษ์มันชอบจับคนเข้าไปกินในป่า แต่แล้ววันหนึ่งก็มีพระราชาจากเชียงคาพาทหารไปตะวันตกเจอกับยักษ์ แต่ว่ายักษ์ก็ทำอะไรพระราชาไม่ได้เลย ลุงรู้ไหมว่าทำไม”
“อืม ทำไมเรอะแม่หนู” นิทานนี้ทำให้สี่สิบเก้าสงสัย
“เพราะพระราชาควบม้าหนียักษ์ทันไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เจ้าหนูตอบ แม้มุกตลกนี้จะไม่ขันเท่าไรนัก แต่ความน่ารักสดใส แก้มแดงระเรื่อของเด็กสาวก็ทำให้สี่สิบเก้าเผลออมยิ้มออกมา เขาอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กน้อยคนนี้แต่ทว่าเขารู้ดีว่าตัวเองสกปรกมอมแมมเกินกว่าจะไปแตะต้องตัวเด็กสาวที่สะอาดสะอ้านคนนี้
สิ้นเรื่องตลกของเด็กน้อยก็มีเสียงเคาะประตู สี่สิบเก้าตกใจยืนขึ้นเอามือจับด้ามมีด ส่วนเด็กสาวแสดงอาการดีใจวิ่งไปเปิดประตูทำให้สี่สิบเก้ากังวลว่าเด็กน้อยจะได้อันตรายจะเอามือรั้งไว้ แต่ก็ต้องหดมือกลับ เด็กน้อยกระโดดด้วยความดีใจเมื่อเปิดประตู
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว” ทันใดนั้นก็มีชายผมยาวไว้หนวดเคราเดินเข้ามาและเอามืออุ้มเด็กสาวขึ้น ชายผมยาวมองเข้ามาในบ้านเจอสี่สิบเก้าก็ฉงนและมองไปยังภรรยาของตนเพื่อต้องการคำอธิบาย
“ชายคนนี้เป็นคนเดินทางค่ะท่านพี่ เขาหลงทางเลยจะขออาศัยค้างที่นี่สักคืน” ภรรยาตอบ ชายผมยาวยิ้มแสดงถึงไมตรีให้แก่สี่สิบเก้า
“อ่อ บ้านเรายินมากครับที่ได้ต้อนรับแขก เชิญตามสบายเลยครับ” ชายหนุ่มยิ้มจนตาแทบปิดแสดงถึงความยินดีอย่างยิ่งที่มีแขกมาอาศัยในบ้าน
สมาชิกในครอบครัวร่วมโต๊ะทานอาหารพร้อมกัน หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาม ตักอาหารให้กันไปมา ขณะนี้สี่สิบเก้านอนอยู่ในห้องพร้อมแง้มประตูดูครอบครัวที่อบอุ่นนี้ เขาไม่เคยเลยสักครั้งที่คนที่เขาเรียกว่าแม่จะแสดงออกให้ตัวเขาเห็นถึงความรัก เขารู้ตัวดีแต่เล็กแล้วว่าคนที่ชุบเลี้ยงเขาไม่ใช่แม่แท้ๆ พ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ เป็นชีวิตที่น่าเศร้าที่สุดชีวิตหนึ่งทีเดียว
ขณะที่สี่สิบเก้ากำลังมองดูครอบครัวนี้ด้วยความอิจฉาอยู่นั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง สี่สิบเก้าสะดุ้งแต่ก็แอบคิดว่าไม่น่าจะเป็นเหล่าทหารที่ไล่ตามมาเพราะเช่นนั้นเขาคงต้องได้ยินเสียงม้าก่อนแล้วเป็นแน่ ชายผมยาวผละจากโต๊ะอาหารเดินไปหยิบขวานและเดินไปแง้มประตูแสดงให้เห็นแล้วว่าครอบครัวนี้ไม่มีสมาชิกอื่นเหลืออีก สี่สิบเก้าเริ่มไม่สบายใจ เขาลุกขึ้นและเข้าไปใกล้ประตูเพื่อเงี่ยหูฟังบทสนทนา
“เอ่อ พี่ชาย พวกเราเป็นนักล่าค่าหัวน่ะ กำลังตามล่าฆาตกรรายหนึ่งแถวนี้ พอดีเห็นม้าอยู่หน้ากระท่อมตัวหนึ่ง อยู่ที่ลำธารตัวหนึ่ง เลยอยากถามว่าท่านพอจะมีเบาะแสบ้างไหม” ชายแปลกหน้าจากนอกกระท่อมเอ่ยถาม
เกียรติ ปลายดาบ คราบน้ำตา - 3
3.เชียงคา แดนแห่งโล่และขวาน
ชายสูงอายุรายหนึ่งกำลังเดินดุ่มๆอยู่ในป่าเพื่อเก็บของป่า พลันเจอเห็ดสีส้มสดใสจึงก้มลงมองใหล้ ทันใดนั้นก็ต้องยิ้มปากแทบฉีก เพราะมันเป็นเห็ดสมุนไพรที่หายากและมีราคาแพง ชายคนนั้นไม่รอช้ารีบเด็ดต้นเห็ดนั้นใส่กระเป๋าผ้าลงอย่างฉับไว้ พร้อมเดินขึ้นทางลาดชันเข้าไปในป่าให้ลึกขึ้นไปอีกเพื่อหวังจะได้ของดีราคาแพงยิ่งขึ้น ระหว่างที่เขากำลังเกาะต้นไม้เพื่อพยุงตัวเองให้ขึ้นทางลาดชันนี้ได้นั้นพลันได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแว่วๆมาแต่ไกล เขาหยุดนิ่งและเงี่ยหูฟัง เสียงนั้นเคลื่อนที่มาใกล้ขึ้นใกล้ขึ้นและดังกังวาลขึ้นเรื่อยๆ ใช่แล้วมันคือเสียงฝีเท้าฝูงม้านั่นเอง ชายชราเริ่มรู้แล้วว่าสิ่งที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามาคืออะไร เขารีบกระโดดลงจากทางชันและไปแอบหลังก้อนหินขนาดใหญ่ ไม่กี่อึกใจกองทัพทหารม้าขนาดใหญ่ก็เคลื่อนที่เข้ามา ทุกคนในกองทัพล้วนควบม้าพวกเขาใส่ชุดแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าหนังหนา แม้ว่าขณะนี้จะเป็นฤดูร้อนก็ตาม ทหารม้าทุกคนล้วนไว้ผมยาว มีโล่และขวานติดอยู่ด้านหลัง พวกเขาเหล่านั้นควบม้าด้วยความเร่งรีบทำให้ชายชราแอบสงสัยว่าพวกเขาจะไปไหนกัน ไม่นานนักกองทัพนี้ก็เคลื่อนที่ผ่านมา ชายแก่จึงค่อยๆเดินออกมาจากโขดหินมองตามทางที่คนพวกนั้นค่อยๆหายไปสุดสายตา
กองทัพที่เพิ่งเร่งรีบเดินทางนั้นคือชาวเชียงคาแห่งทางเหนือ ชาวเชียงคาเป็นชนเผ่านักรบโดยสายเลือด ชนเผ่านี้ร่างกายจะใหญ่โตกว่าทุกเผ่าในสุวรรณภูมิ ปอดใหญ่ หัวใจใหญ่ ทนความหนาวได้ดี อาจจะเนื่องจากภูมิประเทศที่อยู่ทางด้านทิศเหนือของทวีปก็เป็นได้ที่ทำให้สรีระพวกเขาเป็นเช่นนี้ พวกเขาแข็งแรงขนาดสามารถถือขวานด้ามใหญ่ได้ด้วยมือเดียวส่วนอีกมือหนึ่งพวกเขานิยมถือโล่ ทำให้สัญลักษณ์ของดินแดนนี้เป็นขวานไขว้ประดับโล่ แม้ชาวเชียงคาจะอยู่ในแดนเหนือแต่ก็ไม่นิยมสวมถุงมือนัก ชนเผ่าแห่งนี้เป็นชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานชนเผ่าหนึ่ง
อาณาจักรเชียงคาอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนสุวรรณภูมิด้านตะวันออกเป็นภูเขาสลับซับซ้อนและติดกับอาณาจักรวายุนครชาวเหนืออีกอาณาจักรหนึ่ง ด้านบนของอาณาจักรไม่มีคนอาศัยอยู่เนื่องจากเป็นที่ราบสูงที่แข็งเป็นน้ำแข็งและเป็นที่อยู่ของบรรดาหมีขาวดันแสนดุร้าย เหนือจากดินแดนน้ำแข็งว่ากันว่าเป็นทะเลที่อาศัยอยู่ของทวยเทพที่ชาวเชียงคานับถือ ทิศใต้ของเชียงคาอยู่ติดกับอนันตเขตและกำลังจะถูกกำแพงยักษ์ขวางกั้นการเดินทาง ส่วนทิศตะวันตกตอนบนติดทะเลที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยปลา ตะวันตกตอนใต้ติดกับแผ่นดินอีกอาณาจักรหนึ่งนั่นคือพฤกษาบุรีรมย์ที่ร่มรื่นไปด้วยแมกไม้
อาณาจักรเชียงคาเชื่อว่าพวกของตนเป็นชนเผ่าแรกที่ตั้งรกรากในสุวรรณภูมิแห่งนี้ พวกเขามีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นอาณาจักรแรกเริ่มในการรวบรวมชนเผ่าต่างๆ ที่สำคัญติณณ์ที่เป็นวีรบุรุษในยุคโบราณ ยอดนักรบผู้รวบรวมแผ่นดินสุวรรณภูมิแท้จริงแล้วก็เป็นชาวเชียงคาและกองทหารที่ใช้ไปตีเผ่าต่างๆในยุคนั้นก็เป็นทหารเชียงคานั่นเองแต่กระนั้นแล้วสายสัมพันธ์ที่แน่นหนาของอนันตเขตและเชียงคาก็ดูจะบางลงๆเรื่อยๆตามกาลเวลา
แม้เชียงคาจะเป็นบรรพรบุรุษของชาวอนันตเขตก็ตาม แต่วัฒนธรรมของคนทั้งสองที่ก็ได้แตกต่างกันไปตามกาลเวลา อาทิ ชาวเชียงคาที่เป็นแดนหนาวก็มักจะแต่งตัวรัดกุม ขณะที่ชาวอนันตเขตนั้นมักใส่เสื้อผ้าบางๆสบายๆตามภูมิประเทศภาคกลาง ชาวอนันตเขตน้อยคนนักที่จะยังใช้ขวานเป็นอาวุธอยู่ แต่กระนั้นรูปร่างทางสรีระก็ไม่ได้แตกต่างกันอย่างสามารถแยกกันได้ชัดเจน อีกทั้งชาวอนันตเขตปัจจุบันก็ปนเปไปด้วยชนเผ่าต่างๆทั่วทั้งสุวรรณภูมิที่มาตั้งรกรากกันตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอาณาจักร ที่สำคัญชาวเชียงคาไม่มีเรื่องของทาสชาวอสรเข้ามาปนเปในดินแดนเช่นดังอนันตเขต
อาณาจักรเชียงคาที่ดินแดนส่วนใหญ่อยู่ในที่ราบสูงมีศูนย์กลางของการปกครองในอาณาจักรอยู่ที่ที่ราบด้านใต้ของอาณาจักร ผู้คนขนานนามดินแดนด้านใต้นี้ว่า “แผ่นดินขาว” เนื่องจากเวลาตอนเช้าแสงแดดที่สาดส่องปราสาทขององค์จักรพรรดิ ปราสาทหลังนั้นจะเห็นเป็นสีขาวทั้งหลัง ปราสาทหลังนั้นจึงขนานนามว่า “ปราสาทขาว”
กองทัพที่เพิ่งวิ่งผ่านชายเก็บของป่าเมื่อครู่กลับมุ่งหน้าไปยังทางตะวันออก แสดงว่าเป้าหมายไม่ใช่อนันตเขตอย่างแน่นอน แล้วพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปสู่ที่ใดกัน
ชายสวมเสื้อผ้ารัดรูปสีดำแซมแดง มีผ้าคลุมศีรษะปิดหน้าปิดตากำลังควบม้าไปยังแดนตะวันออกเช่นกัน หากชายผู้นี้เอาผ้าที่ปิดหน้าตาออกก็จะเห็นว่าเขาคือ “สี่สิบเก้า” นักฆ่าแห่งปักษาราตรีนั่นเอง แต่น่าแปลกว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไรกัน
ย้อนกลับไปเมื่อ 2 คืนก่อน ณ อาณาจักรเชียงคาแห่งนี้ ขณะที่เจ้ากรมการทหารกำลังนั่งทำงานอยู่ในบ้านพัก เขากำลังคำนวณค่าใช้จ่ายของกองทัพ จำนวนทหารและการเกณฑ์คนมาร่วมทัพในปีถัดไป ขณะนั้นเองประตูห้องก็ได้เปิดขึ้นปรากฏชายชุดดำปิดหน้าปิดตา
“เหอ เอ็งเป็นใครเรอะ”
เจ้ากรมฯเอ่ยถามด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ตกใจนักเพราะคิดว่าเป็นทหารยามด้านนอก ชายผู้นั้นไม่ได้มอบคำตอบใดๆออกไปแต่กลับคว้ามีดออกจากฝักกระโจนเข้าไปจ้วงแทงเจ้ากรมการทหารแห่งเชียงคาไม่ยั้งจนตายคาที่ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะหลบหนีหายไปในความมืด
เช้าวันรุ่งขึ้น บุตรชายของเจ้ากรมการทหารรายนี้โกรธแค้นมากพร้อมประกาศค่าหัวชายที่สังหารบิดาของเขาเป็นทองคำหนักเท่ากับน้ำหนักตัวของคนที่สามารถจับชายผู้นั้นได้ไม่ว่าเป็นหรือตาย ทำให้บรรดาทหารรับจ้างหรือแม้แต่ขุนศึกต่างๆพากันออกตามล่าชายผู้นี้
แน่นอนว่าชายปิดหน้าตาผู้นั้นก็คือสี่สิบเก้า และกองทัพที่กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกนั้นก็เพื่อตามล่าสี่สิบเก้านั่นเอง หลังพวกเขาได้เบาะแสการเดินทางของสี่สิบเก้าจากคำให้การของทหารเฝ้าประตูเข้าออกแผ่นดินขาว กองทัพน้อยๆนี้ไม่ใช่ทหารสังกัดใดในอาณาจักร หากแต่เป็นนักล่าค่าหัวจากนอกแผ่นดินขาว พวกเขาคาดหวังจะนำทองคำรางวัลจึงได้รีบควบม้ามายังฝั่งตะวันออกตามล่าสี่สิบเก้า
สี่สิบเก้าควบม้าจากกลางคืนหนึ่งข้ามมาถึงอีกคืนหนึ่ง เขาเดินทางมาถึงลำธารแห่งหนึ่งเห็นกระท่อมเล็กๆจึงควบม้าเข้าไปหา เขาลงจากม้าผูกมันที่ริมลำธารและเคาะประตู ประตูบานเล็กๆค่อยๆเปิดขึ้นปรากฏร่างเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนางหนึ่ง
“ท่านไม่ใช่พ่อหนิ เป็นใครกันหรอ” เด็กสาวถาม สี่สิบเก้าเอาที่ปิดหน้าปิดตาออกย่อตัวลงเพื่อสนทนากับเด็กน้อย
“ข้าเป็นนักเดินทางน่ะหนูน้อย ที่บ้านไม่มีใครอยู่หรอ” สี่สิบเก้าถาม
“มีแม่ข้าอยู่” พูดจบก็มีเสียงออกมาด้านหลังของเด็กน้อย
“พ่อเอ็งกลับมาแล้วเหรอลูก” เป็นเสียงหญิงสาววัยกลางคนนั่นเอง หญิงสาววัยกลางคนค่อยเดินมาที่ประตูก่อนยื่นหน้ามาพบกับสี่สิบเก้าและทำหน้าตกใจ
“ท่านเป็นใครกัน มาที่บ้านข้าทำไม” หญิงสาวถาม
“ขอโทษนะแม่หญิง ข้าเป็นนักเดินทาง พอดีคืนนี้หลงทางมาแถวนี้ อยากจะขอที่ซุกหัวนอนสักคืน ให้ข้านอนในคอกสัตว์ก็ได้ พอจะกรุณาได้ไหม” สี่สิบเก้าถาม แต่ขณะที่เอ่ยคำนั้นกลับไม่ได้มีสีหน้าที่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย ตามประสาคนที่ถูกเลี้ยงมาให้จิตใจแข็งกระด้างแต่หญิงสาววัยกลางคนกลับยิ้มแย้มตอบรับด้วยความเป็นมิตร
“ฮ่า ฮ่า พี่ชาย ไม่ต้องลำบากไปนอนในคอกสัตว์หรอก เรามีห้องสองห้อง เดี๋ยววันนี้ให้ลูกข้ามานอนกับข้าแล้วท่านก็ไปนอนห้องลูกข้าแทน ท่านจะรังเกียจไหมล่ะ” หญิงสาวมอบไมตรีแก่สี่สิบเก้า
“ขอบคุณมากแม่หญิง” ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม คำตอบที่เย็นชา กลับได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าของบ้าน สี่สิบเก้าค่อยๆก้าวเข้ามายังกระท่อมอย่างไม่ลังเล
“พี่ชาย ข้าเพิ่มทำกับข้าวเสร็จพอดีเลย เชิญพี่ชายมาร่วมโต๊ะกับเรานะ” หญิงสาวเชื้อเชิญ
“ขอบคุณแม่หญิงมากๆ” สี่สิบเก้าไร้แววความเกรงใจนั่งเก้าอี้และใช้มือจ้วงอาหารอย่างมูมมามไม่รอเจ้าภาพ ปล่อยให้หญิงสาวและเด็กสาวมองด้วยความขบขัน หญิงสาวและเด็กน้อยยังไม่เริ่มกินตามสี่สิบเก้าเนื่องจากกำลังรอพ่อบ้านอยู่นั่นเอง
สี่สิบเก้าเริ่มอิ่มแล้วก็ค่อยๆรามือจากอาหารมองหน้าหนูน้อย หนูน้อยยิ้มแก้มแดงระเรื่อให้สี่สิบเก้า
“ท่านลุงคะ หนูมีนิทานจะเล่าให้ฟัง อยากฟังไหม” เด็กน้อยเอ่ยถาม
“อืม ลองเล่ามาสิ” สี่สิบเก้าเอ่ย
“ท่านพ่อเล่าให้ฟังว่าในป่าฝั่งตะวันตกนะ เข้าไปลึ้กลึกมียักษ์ด้วย ยักษ์มันชอบจับคนเข้าไปกินในป่า แต่แล้ววันหนึ่งก็มีพระราชาจากเชียงคาพาทหารไปตะวันตกเจอกับยักษ์ แต่ว่ายักษ์ก็ทำอะไรพระราชาไม่ได้เลย ลุงรู้ไหมว่าทำไม”
“อืม ทำไมเรอะแม่หนู” นิทานนี้ทำให้สี่สิบเก้าสงสัย
“เพราะพระราชาควบม้าหนียักษ์ทันไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เจ้าหนูตอบ แม้มุกตลกนี้จะไม่ขันเท่าไรนัก แต่ความน่ารักสดใส แก้มแดงระเรื่อของเด็กสาวก็ทำให้สี่สิบเก้าเผลออมยิ้มออกมา เขาอยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเด็กน้อยคนนี้แต่ทว่าเขารู้ดีว่าตัวเองสกปรกมอมแมมเกินกว่าจะไปแตะต้องตัวเด็กสาวที่สะอาดสะอ้านคนนี้
สิ้นเรื่องตลกของเด็กน้อยก็มีเสียงเคาะประตู สี่สิบเก้าตกใจยืนขึ้นเอามือจับด้ามมีด ส่วนเด็กสาวแสดงอาการดีใจวิ่งไปเปิดประตูทำให้สี่สิบเก้ากังวลว่าเด็กน้อยจะได้อันตรายจะเอามือรั้งไว้ แต่ก็ต้องหดมือกลับ เด็กน้อยกระโดดด้วยความดีใจเมื่อเปิดประตู
“ท่านพ่อกลับมาแล้ว” ทันใดนั้นก็มีชายผมยาวไว้หนวดเคราเดินเข้ามาและเอามืออุ้มเด็กสาวขึ้น ชายผมยาวมองเข้ามาในบ้านเจอสี่สิบเก้าก็ฉงนและมองไปยังภรรยาของตนเพื่อต้องการคำอธิบาย
“ชายคนนี้เป็นคนเดินทางค่ะท่านพี่ เขาหลงทางเลยจะขออาศัยค้างที่นี่สักคืน” ภรรยาตอบ ชายผมยาวยิ้มแสดงถึงไมตรีให้แก่สี่สิบเก้า
“อ่อ บ้านเรายินมากครับที่ได้ต้อนรับแขก เชิญตามสบายเลยครับ” ชายหนุ่มยิ้มจนตาแทบปิดแสดงถึงความยินดีอย่างยิ่งที่มีแขกมาอาศัยในบ้าน
สมาชิกในครอบครัวร่วมโต๊ะทานอาหารพร้อมกัน หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาม ตักอาหารให้กันไปมา ขณะนี้สี่สิบเก้านอนอยู่ในห้องพร้อมแง้มประตูดูครอบครัวที่อบอุ่นนี้ เขาไม่เคยเลยสักครั้งที่คนที่เขาเรียกว่าแม่จะแสดงออกให้ตัวเขาเห็นถึงความรัก เขารู้ตัวดีแต่เล็กแล้วว่าคนที่ชุบเลี้ยงเขาไม่ใช่แม่แท้ๆ พ่อแม่ที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ เป็นชีวิตที่น่าเศร้าที่สุดชีวิตหนึ่งทีเดียว
ขณะที่สี่สิบเก้ากำลังมองดูครอบครัวนี้ด้วยความอิจฉาอยู่นั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง สี่สิบเก้าสะดุ้งแต่ก็แอบคิดว่าไม่น่าจะเป็นเหล่าทหารที่ไล่ตามมาเพราะเช่นนั้นเขาคงต้องได้ยินเสียงม้าก่อนแล้วเป็นแน่ ชายผมยาวผละจากโต๊ะอาหารเดินไปหยิบขวานและเดินไปแง้มประตูแสดงให้เห็นแล้วว่าครอบครัวนี้ไม่มีสมาชิกอื่นเหลืออีก สี่สิบเก้าเริ่มไม่สบายใจ เขาลุกขึ้นและเข้าไปใกล้ประตูเพื่อเงี่ยหูฟังบทสนทนา
“เอ่อ พี่ชาย พวกเราเป็นนักล่าค่าหัวน่ะ กำลังตามล่าฆาตกรรายหนึ่งแถวนี้ พอดีเห็นม้าอยู่หน้ากระท่อมตัวหนึ่ง อยู่ที่ลำธารตัวหนึ่ง เลยอยากถามว่าท่านพอจะมีเบาะแสบ้างไหม” ชายแปลกหน้าจากนอกกระท่อมเอ่ยถาม