"อ่านกันสักนิดนะคะ เพื่อประโยชน์ของคุณ"
เพราะเหตุใดคนผอมจึงคิดว่าตัวเองอ้วนตลอดเวลา ??
เพราะเมื่อร่างกายเข้าสู่ Safe Mode จากการอดอาหารเป็นระยะเวลานานๆ กล้ามเนื้อก็จะเริ่มน้อยลง และการสะสมไขมันก็จะเริ่มมากขึ้น เพราะเราทานอาหารน้อยลง แต่ทานทุกอย่างไม่ได้เลือกทาน เช่น บางคนอดข้าวแต่ทานเค้ก ไก่ทอด หรือหมูปิ้งติดมันแทน ฯลฯ เมื่อร่างกายเรามีแต่ไขมัน ทานนิดหน่อยก็มีพุง แขนก็ห้อย ขาก็มีแต่เซลลูไลท์เวลาเดินก็แกว่ง เมื่อเรารู้สึกว่าร่างกายไม่กระชับ... จึงเป็นที่มาของการคิดว่าตัวเองอ้วน จึงอดอาหารต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนรอบข้างคิดว่าผอมมากแล้ว เรามักจะได้ยินเสมอว่า "เราอ้วนมากเลย" จากปากของคนเรานั้น เพราะเจ้าไขมันที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้านั้นเอง...
ร่างกายปรับเข้าสู่ Safe mode คืออะไร ??
การที่เราอดอาหารหรือทานอาหารน้อยๆ มาเป็นเวลานานๆ ร่างกายจะปรับเข้าสู่ safe mode ซึ่งการเผาผลาญจะต่ำลงมากๆ เมื่อทานเข้าไปนิดนึงก็จะเกิดการโยโย่ เนื่องจากตอนที่ร่างกายทำงานปกติ ร่างกายเตือนเราว่า "หิว หิว หิว" เราก็ไม่ทานอะไรเข้าไป เมื่อเตือนบ่อยๆ ครั้ง เราก็ยังไม่ทานอาหาร ร่างกายก็จะไม่มีการเตือน เพราะเตือนไปก็ไม่กิน ดังนั้นเราก็จะไม่ค่อยรู้สึกหิว เพราะร่างกายปรับเข้าสู่ safe mode เป็นที่เรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงต้องใช้พลังงาน ดังนั้นสิ่งที่ร่างกายนำมาใช้คือพลังงานจากกล้ามเนื้อ ส่วนไขมันร่างกายไม่นำมาใช้เพราะคิดว่าไขมันเป็นพลังงานสำรอง เก็บไว้ใช้หลังสุด หลังจากใช้กล้ามเนื้อหมดแล้ว ให้นึกถึงเด็กเอธิโอเปียที่หนังหุ้มกระดูก เพราะร่างกายใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อหมดแล้ว แต่อยู่ได้เพราะพลังงานจากไขมันสำรอง... ดังนั้นเมื่อสาวๆ อยากจะปรับการทานอาหารและการทำงานของร่างกายให้ปกติ ต้องเข้าใจก่อนเลยว่า...
1. ถ้ากลับมาทานปกติ ต้องยอมรับว่าจะเกิดการโยโย่ ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยทาน 500 cal ร่างกายเผาผลาญอยู่ที่ 500 cal แต่เมื่อเราทานเข้าไป 1000 cal ที่เหลือร่างกายก็จะเก็บสะสมไว้ แต่เมื่อเราทานแบบนี้และออกกำลังกายทุกๆวัน ร่างกายก็จะกลับมาเผาผลาญปกติ
2. ค่อยๆเพิ่มจำนวนอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละมื้อ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับ จนร่างกายกลับมาเผาผลายปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำๆ หยุดๆ ร่างกายจะงงว่าคุณจะเอายังไง จะกินหรือไม่กิน แล้วผลมันจะแย่กว่าเดิม...
----------------> ลองลดน้ำหนักมาก็หลากหลายวิธี ทั้งยาลดความอ้วน อดอาหาร ฯลฯ ซึ่งบางคนก็เห็นผล บางคนก็ไม่เห็นผล แต่ก็ยังใช้วิธีเดิมๆ วนอยู่อย่างนั้น ทำไมเราไม่ลองหาวิธีใหม่ๆ ที่รูปร่างและสุขภาพดีๆ จะอยู่กับเราถาวร... การออกกำลังกายและการทานอาหารที่มีประโยชน์ วิธีเหล่านี้อาจจะเห็นผลช้ากว่าการอดอาหาร และยาลดความอ้วน แต่สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่ากับที่ลงมือทำ <----------------
มาเริ่มต้นออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ กันดีกว่าค่ะ
การคาร์ดิโอ คนที่ผอมอยู่แล้วไม่ต้องเน้นคาร์ดิโอมากนะคะ เน้นไปที่เล่นเวทสร้างกล้ามเนื้อ ส่วนคนที่อ้วนก็เน้นที่คาร์ดิโอแต่ควบคู่เล่นเวทไปด้วย เพราะเวลาไขมันหายไปแล้วผิวหนังจะได้ไม่เหี่ยว ไม่ย้วยค่ะ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การวอร์มอัพและการยืดเส้น ควรเล่นเวทก่อนคาร์ดิโอ สำหรับคนที่จัดไว้ในวันเดียวกัน แต่ควรใช้เวลาเล่นทั้งหมดไม่เกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง
การจัดตารางเล่นเวท ร่างกายประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่ ขา, หลัง, หน้าอก, แขน, และหน้าท้อง
- ขา เป็นกล้ามเนื้อมัดที่ใหญ่ที่สุด การเล่นขากับก้นควรอยู่วันเดียวกันเพราะเป็นส่วนที่เล่นแล้วซัพพอร์ตกัน วันที่เล่นขากับก้นจึงควรจัดวันเล่นไปเลยหนึ่งวัน
- หลัง เป็นส่วนที่เล่นแล้วได้หน้าแขนหรือไบเซ็ปส์ด้วย เพราะว่าต้องอาศัยท่าทางเคลื่อนไหวแบบดึงเช่นเดียวกัน โดยการเล่นหลังจะได้ข้อดีอย่างหนึ่งคือหลังไม่ค่อม ช่วยปรับท่าทางให้หลังตั้งตรง ปรับบุคลิกให้งามสง่าขึ้น
- อก จะเป็นส่วนที่เล่นแล้วได้หลังแขนหรือไทรเซ็ปส์ด้วย เพราะทั้งคู่อาศัยการเคลื่อนไหวแบบผลักเช่นเดียวกัน โดยข้อดีของการเล่นหน้าอกคือช่วยให้หน้าอกกระชับขึ้นและไม่หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลกมาก ดังนั้นสาวๆ ควรจัดลงในตารางการเล่นเวทของตัวเองด้วยค่ะ
- หน้าท้อง เป็นกล้ามเนื้อที่สามารถเล่นวันเว้นวัน หรือทุกวันได้ โดยจัดตารางลงกับวันเล่นเวทส่วนอื่นๆ แต่เอาไว้ท้ายสุดของตาราง โดยหน้าท้องจะแบ่งเป็นกล้ามเนื้อท้องส่วนบน, ส่วนล่าง, สีข้าง, หรือกล้ามเนื้อแกน โดยใช้ท่าออกกำลังกายที่แตกต่างกันค่ะ
แต่อย่างไรก็ตามควรนำไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง เพราะสรีระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการกล้ามเนื้อแต่ละคนก็ต่างกัน แต่กล้ามเนื้อทุกส่วนมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการเหมือนกันคือการพักผ่อน เพื่อซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ ไม่ควรเล่นกล้ามเนื้อส่วนนั้นซ้ำๆกันทุกวัน ควรพักหรือเล่นส่วนอื่นแทน และไม่ควรใช้เวลาอยู่ในฟิตเนสนานๆ เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในขณะคุณอยู่ในฟิตเนส แต่จะสร้างขึ้นเมื่อคุณกินอิ่ม นอนหลับพักผ่อนเต็มที่
การแต่งตัวไปออกกำลังกาย สวมใส่เสื้อยืด หรือเสื้อกล้าม กางเกงขายาว หรือขาสั้น ใส่แล้วเรารู้สึกมั่นใจ และเวลาเราออกกำลังกายแล้วคล่องตัว
- รองเท้าใส่ออกกำลังกาย มี 2 แบบ คือ Cross Training Shoes รองเท้าใส่เล่นเวท เต้นแอโรบิค สามารถใช้กับการออกกำลังกายที่หลากหลายได้ จะไม่ค่อยลื่น และยึดเกาะพื้นมากกว่า มีพื้นกว้าง ทำให้การทรงตัวในการเคลื่อนไหวไปด้านข้าง ดีกว่ารองเท้าวิ่ง แต่คุณสมบัติจะด้อยกว่ารองเท้าวิ่งในการรับแรงกระแทกที่ส้นเท้า และ Running Shoes รองเท้าใส่วิ่ง ซึ่งช่วยเซฟแรงกระแทกได้ดี ปกป้องข้อเท้าและเข่าได้ดีกว่า เวลาเลือกซื้อรองเท้า ให้ดูก่อนว่าเท้าตัวเองเป็นเท้าลักษณะไหน เว้ามากเว้าน้อย แล้วเลือกรองเท้าให้ถูกกับลักษณะเท้าด้วย และควรเรื่องซื้อรองเท้าช่วงบ่ายๆ ในขณะซึ่งเท้าได้ขยายตัวเต็มที่แล้ว ควรเลือกขนาดซึ่งเมื่อสวมใส่แล้วยังเหลือช่องว่างให้สอดนิ้วชี้มือลงไปได้พอดีในบริเวณของส้นรองเท้า
- สปอร์ตบรา เรื่องสำคัญที่สาวๆ มักมองข้าม ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์ม แต่ก็อาจแลกมาด้วยหน้าอกที่ดูหย่อนคล้อย สปอร์ตบรา จะมีประเภทหนัก-เบาที่แตกต่างกัน ลองเลือกตัวที่เหมาะสมกับการใช้งาน และลองหาแบบที่ห่อหุ้มหน้าอกทั้งสองข้างได้อย่างมิดชิด สามารถลดการกระเด้งของหน้าอกและทำให้กระชับตัวเสมอในขณะออกกำลัง แนะนำว่าเวลาลองใส่สปอร์ตบราทุกครั้ง ให้ลองกระโดดหมุนแขน และเคลื่อนไหวตัวไปมา
- ถุงมือ สำหรับสาวๆ คงไม่ต้องการมีมือด้านๆ ลองหาถุงมือดีๆ สักอันมาไว้ใช้เวลายกเวท เพื่อกระชับและป้องกันข้อมือของเราด้วยค่ะ
- ผ้าเช็ดหน้าสะอาด สำหรับเช็ดเหงื่อ
- ขวดน้ำ ควรจิบน้ำตลอดเวลา เพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกาย อย่ารอจนกว่าจะรู้สึกกระหายน้ำถึงค่อยดื่ม แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ
จริงๆ แล้วหลักใหญ่ใจความของสุขภาพที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลเรื่องการรับประทานอาหารควบคู่กันไปด้วยจึงจะได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด อาหารคลีนก็คืออาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่างๆ หรือผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดนั่นเอง อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่สดสะอาดไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสใดๆ มากจนเกินไป เช่นเค็มจัดหรือหวานจัด เป็นต้น การปรุงอาหารแบบคลีนๆ ไม่ใช่การเน้นทานผักเยอะๆ แต่เป็นการทานอาหารทุกหมู่อย่างในสัดส่วนที่เหมาะสม คือต้องมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื้อสัตว์ที่ใช้ควรเลือกแบบที่ไม่ใช่สำเร็จรูปหรือผ่านการปรุงรสมาแล้ว เวลาปรุงก็พยายามหลีกเลี่ยงการทำให้สุกด้วยการทอด แต่เป็นพวกนึ่งและต้มแทน พวกขนมขบเคี้ยวที่หลายคนชอบทานก็มักมีแต่แป้งและผงชูรสแถมยังเต็มไปด้วยโซเดียมกับน้ำมัน น้ำอัดลมหลากสีหลากกลิ่นทั้งหลาย รวมทั้งอาหารขยะอย่างเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย ไก่ชุบแป้งทอดก็ด้วย! อาหารเหล่านี้รสชาติดีแค่ตอนเคี้ยว แต่พอกลืนลงท้องไปเมื่อไหร่ละก็ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆค่ะ สำหรับคนที่ทานอาหารนอกบ้านเป็นประจำหรือไม่ค่อยมีเวลาเข้าครัวทำอาหารเองอาจจะทำใจลำบากนึดนึงนะคะกับการกินคลีน เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เค้าเน้นรสชาติอร่อยอย่างเดียว ไม่ได้สนใจหรอกค่ะว่าดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพของคนกิน เผลอๆบางทีสั่งไม่ใส่ผงชูรสยังโดนมองค้อนอีก
ที่มาของบทความนี้: Gushbell
** ต้องบอกว่าปุ้ยเองไม่ได้ทานคลีนทุกมื้อนะคะ จะทานมื้อเช้าและเย็น ส่วนมื้อเที่ยงจะทานข้าวนอกบ้านซะส่วนใหญ่ แต่ก็จะพยายามเลือกทาน แล้วก็จะมีวันทานเค้กบ้าง อาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งค่ะ เพื่อไม่ให้ร่างกายเครียดมากเกินไป
"หันมาออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์กันเถอะคะทุกคน... รูปร่างและสุขภาพที่ดีรอคุณอยู่ สักวันหนึ่งเราต้องเห็นสิ่งที่เราลงมือทำในวันนี้ค่ะ... สู้ๆ นะคะ"
แวะมาหาแรงบันดาลใจกันได้ที่ facebook.com/weight.motivation.3
ลองก้าวออกจากกรอบความรู้เดิมๆ สู่ความรู้ใหม่ๆ... สุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ดีรอคุณอยู่
เพราะเหตุใดคนผอมจึงคิดว่าตัวเองอ้วนตลอดเวลา ??
เพราะเมื่อร่างกายเข้าสู่ Safe Mode จากการอดอาหารเป็นระยะเวลานานๆ กล้ามเนื้อก็จะเริ่มน้อยลง และการสะสมไขมันก็จะเริ่มมากขึ้น เพราะเราทานอาหารน้อยลง แต่ทานทุกอย่างไม่ได้เลือกทาน เช่น บางคนอดข้าวแต่ทานเค้ก ไก่ทอด หรือหมูปิ้งติดมันแทน ฯลฯ เมื่อร่างกายเรามีแต่ไขมัน ทานนิดหน่อยก็มีพุง แขนก็ห้อย ขาก็มีแต่เซลลูไลท์เวลาเดินก็แกว่ง เมื่อเรารู้สึกว่าร่างกายไม่กระชับ... จึงเป็นที่มาของการคิดว่าตัวเองอ้วน จึงอดอาหารต่อไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนรอบข้างคิดว่าผอมมากแล้ว เรามักจะได้ยินเสมอว่า "เราอ้วนมากเลย" จากปากของคนเรานั้น เพราะเจ้าไขมันที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อผ้านั้นเอง...
ร่างกายปรับเข้าสู่ Safe mode คืออะไร ??
การที่เราอดอาหารหรือทานอาหารน้อยๆ มาเป็นเวลานานๆ ร่างกายจะปรับเข้าสู่ safe mode ซึ่งการเผาผลาญจะต่ำลงมากๆ เมื่อทานเข้าไปนิดนึงก็จะเกิดการโยโย่ เนื่องจากตอนที่ร่างกายทำงานปกติ ร่างกายเตือนเราว่า "หิว หิว หิว" เราก็ไม่ทานอะไรเข้าไป เมื่อเตือนบ่อยๆ ครั้ง เราก็ยังไม่ทานอาหาร ร่างกายก็จะไม่มีการเตือน เพราะเตือนไปก็ไม่กิน ดังนั้นเราก็จะไม่ค่อยรู้สึกหิว เพราะร่างกายปรับเข้าสู่ safe mode เป็นที่เรียบร้อย แต่ร่างกายยังคงต้องใช้พลังงาน ดังนั้นสิ่งที่ร่างกายนำมาใช้คือพลังงานจากกล้ามเนื้อ ส่วนไขมันร่างกายไม่นำมาใช้เพราะคิดว่าไขมันเป็นพลังงานสำรอง เก็บไว้ใช้หลังสุด หลังจากใช้กล้ามเนื้อหมดแล้ว ให้นึกถึงเด็กเอธิโอเปียที่หนังหุ้มกระดูก เพราะร่างกายใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อหมดแล้ว แต่อยู่ได้เพราะพลังงานจากไขมันสำรอง... ดังนั้นเมื่อสาวๆ อยากจะปรับการทานอาหารและการทำงานของร่างกายให้ปกติ ต้องเข้าใจก่อนเลยว่า...
1. ถ้ากลับมาทานปกติ ต้องยอมรับว่าจะเกิดการโยโย่ ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยทาน 500 cal ร่างกายเผาผลาญอยู่ที่ 500 cal แต่เมื่อเราทานเข้าไป 1000 cal ที่เหลือร่างกายก็จะเก็บสะสมไว้ แต่เมื่อเราทานแบบนี้และออกกำลังกายทุกๆวัน ร่างกายก็จะกลับมาเผาผลาญปกติ
2. ค่อยๆเพิ่มจำนวนอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละมื้อ เพื่อให้ร่างกายค่อยๆ ปรับ จนร่างกายกลับมาเผาผลายปกติ
แต่อย่างไรก็ตาม ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ถ้าทำๆ หยุดๆ ร่างกายจะงงว่าคุณจะเอายังไง จะกินหรือไม่กิน แล้วผลมันจะแย่กว่าเดิม...
----------------> ลองลดน้ำหนักมาก็หลากหลายวิธี ทั้งยาลดความอ้วน อดอาหาร ฯลฯ ซึ่งบางคนก็เห็นผล บางคนก็ไม่เห็นผล แต่ก็ยังใช้วิธีเดิมๆ วนอยู่อย่างนั้น ทำไมเราไม่ลองหาวิธีใหม่ๆ ที่รูปร่างและสุขภาพดีๆ จะอยู่กับเราถาวร... การออกกำลังกายและการทานอาหารที่มีประโยชน์ วิธีเหล่านี้อาจจะเห็นผลช้ากว่าการอดอาหาร และยาลดความอ้วน แต่สิ่งที่ได้ก็คุ้มค่ากับที่ลงมือทำ <----------------
มาเริ่มต้นออกกำลังกาย และทานอาหารที่มีประโยชน์ กันดีกว่าค่ะ
การคาร์ดิโอ คนที่ผอมอยู่แล้วไม่ต้องเน้นคาร์ดิโอมากนะคะ เน้นไปที่เล่นเวทสร้างกล้ามเนื้อ ส่วนคนที่อ้วนก็เน้นที่คาร์ดิโอแต่ควบคู่เล่นเวทไปด้วย เพราะเวลาไขมันหายไปแล้วผิวหนังจะได้ไม่เหี่ยว ไม่ย้วยค่ะ และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การวอร์มอัพและการยืดเส้น ควรเล่นเวทก่อนคาร์ดิโอ สำหรับคนที่จัดไว้ในวันเดียวกัน แต่ควรใช้เวลาเล่นทั้งหมดไม่เกิน 1 ชั่วโมงครึ่ง
การจัดตารางเล่นเวท ร่างกายประกอบไปด้วยกล้ามเนื้อทั้งหมด 5 ส่วน ได้แก่ ขา, หลัง, หน้าอก, แขน, และหน้าท้อง
- ขา เป็นกล้ามเนื้อมัดที่ใหญ่ที่สุด การเล่นขากับก้นควรอยู่วันเดียวกันเพราะเป็นส่วนที่เล่นแล้วซัพพอร์ตกัน วันที่เล่นขากับก้นจึงควรจัดวันเล่นไปเลยหนึ่งวัน
- หลัง เป็นส่วนที่เล่นแล้วได้หน้าแขนหรือไบเซ็ปส์ด้วย เพราะว่าต้องอาศัยท่าทางเคลื่อนไหวแบบดึงเช่นเดียวกัน โดยการเล่นหลังจะได้ข้อดีอย่างหนึ่งคือหลังไม่ค่อม ช่วยปรับท่าทางให้หลังตั้งตรง ปรับบุคลิกให้งามสง่าขึ้น
- อก จะเป็นส่วนที่เล่นแล้วได้หลังแขนหรือไทรเซ็ปส์ด้วย เพราะทั้งคู่อาศัยการเคลื่อนไหวแบบผลักเช่นเดียวกัน โดยข้อดีของการเล่นหน้าอกคือช่วยให้หน้าอกกระชับขึ้นและไม่หย่อนคล้อยตามแรงโน้มถ่วงของโลกมาก ดังนั้นสาวๆ ควรจัดลงในตารางการเล่นเวทของตัวเองด้วยค่ะ
- หน้าท้อง เป็นกล้ามเนื้อที่สามารถเล่นวันเว้นวัน หรือทุกวันได้ โดยจัดตารางลงกับวันเล่นเวทส่วนอื่นๆ แต่เอาไว้ท้ายสุดของตาราง โดยหน้าท้องจะแบ่งเป็นกล้ามเนื้อท้องส่วนบน, ส่วนล่าง, สีข้าง, หรือกล้ามเนื้อแกน โดยใช้ท่าออกกำลังกายที่แตกต่างกันค่ะ
แต่อย่างไรก็ตามควรนำไปปรับใช้ให้เข้ากับตัวเอง เพราะสรีระของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ความต้องการกล้ามเนื้อแต่ละคนก็ต่างกัน แต่กล้ามเนื้อทุกส่วนมีสิ่งหนึ่งที่ต้องการเหมือนกันคือการพักผ่อน เพื่อซ่อมแซมและสร้างกล้ามเนื้อ ไม่ควรเล่นกล้ามเนื้อส่วนนั้นซ้ำๆกันทุกวัน ควรพักหรือเล่นส่วนอื่นแทน และไม่ควรใช้เวลาอยู่ในฟิตเนสนานๆ เพราะกล้ามเนื้อไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในขณะคุณอยู่ในฟิตเนส แต่จะสร้างขึ้นเมื่อคุณกินอิ่ม นอนหลับพักผ่อนเต็มที่
การแต่งตัวไปออกกำลังกาย สวมใส่เสื้อยืด หรือเสื้อกล้าม กางเกงขายาว หรือขาสั้น ใส่แล้วเรารู้สึกมั่นใจ และเวลาเราออกกำลังกายแล้วคล่องตัว
- รองเท้าใส่ออกกำลังกาย มี 2 แบบ คือ Cross Training Shoes รองเท้าใส่เล่นเวท เต้นแอโรบิค สามารถใช้กับการออกกำลังกายที่หลากหลายได้ จะไม่ค่อยลื่น และยึดเกาะพื้นมากกว่า มีพื้นกว้าง ทำให้การทรงตัวในการเคลื่อนไหวไปด้านข้าง ดีกว่ารองเท้าวิ่ง แต่คุณสมบัติจะด้อยกว่ารองเท้าวิ่งในการรับแรงกระแทกที่ส้นเท้า และ Running Shoes รองเท้าใส่วิ่ง ซึ่งช่วยเซฟแรงกระแทกได้ดี ปกป้องข้อเท้าและเข่าได้ดีกว่า เวลาเลือกซื้อรองเท้า ให้ดูก่อนว่าเท้าตัวเองเป็นเท้าลักษณะไหน เว้ามากเว้าน้อย แล้วเลือกรองเท้าให้ถูกกับลักษณะเท้าด้วย และควรเรื่องซื้อรองเท้าช่วงบ่ายๆ ในขณะซึ่งเท้าได้ขยายตัวเต็มที่แล้ว ควรเลือกขนาดซึ่งเมื่อสวมใส่แล้วยังเหลือช่องว่างให้สอดนิ้วชี้มือลงไปได้พอดีในบริเวณของส้นรองเท้า
- สปอร์ตบรา เรื่องสำคัญที่สาวๆ มักมองข้าม ร่างกายฟิตแอนด์เฟิร์ม แต่ก็อาจแลกมาด้วยหน้าอกที่ดูหย่อนคล้อย สปอร์ตบรา จะมีประเภทหนัก-เบาที่แตกต่างกัน ลองเลือกตัวที่เหมาะสมกับการใช้งาน และลองหาแบบที่ห่อหุ้มหน้าอกทั้งสองข้างได้อย่างมิดชิด สามารถลดการกระเด้งของหน้าอกและทำให้กระชับตัวเสมอในขณะออกกำลัง แนะนำว่าเวลาลองใส่สปอร์ตบราทุกครั้ง ให้ลองกระโดดหมุนแขน และเคลื่อนไหวตัวไปมา
- ถุงมือ สำหรับสาวๆ คงไม่ต้องการมีมือด้านๆ ลองหาถุงมือดีๆ สักอันมาไว้ใช้เวลายกเวท เพื่อกระชับและป้องกันข้อมือของเราด้วยค่ะ
- ผ้าเช็ดหน้าสะอาด สำหรับเช็ดเหงื่อ
- ขวดน้ำ ควรจิบน้ำตลอดเวลา เพื่อรักษาระดับน้ำในร่างกาย อย่ารอจนกว่าจะรู้สึกกระหายน้ำถึงค่อยดื่ม แสดงว่าร่างกายขาดน้ำ
จริงๆ แล้วหลักใหญ่ใจความของสุขภาพที่ดีนั้นไม่ใช่แค่การออกกำลังกายเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องดูแลเรื่องการรับประทานอาหารควบคู่กันไปด้วยจึงจะได้ผลลัพธ์ออกมาดีที่สุด อาหารคลีนก็คืออาหารที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งด้วยสารเคมีต่างๆ หรือผ่านการแปรรูปน้อยที่สุดนั่นเอง อาหารเหล่านี้จะเป็นอาหารที่สดสะอาดไม่ผ่านกระบวนการหมักดองหรือปรุงรสใดๆ มากจนเกินไป เช่นเค็มจัดหรือหวานจัด เป็นต้น การปรุงอาหารแบบคลีนๆ ไม่ใช่การเน้นทานผักเยอะๆ แต่เป็นการทานอาหารทุกหมู่อย่างในสัดส่วนที่เหมาะสม คือต้องมีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เนื้อสัตว์ที่ใช้ควรเลือกแบบที่ไม่ใช่สำเร็จรูปหรือผ่านการปรุงรสมาแล้ว เวลาปรุงก็พยายามหลีกเลี่ยงการทำให้สุกด้วยการทอด แต่เป็นพวกนึ่งและต้มแทน พวกขนมขบเคี้ยวที่หลายคนชอบทานก็มักมีแต่แป้งและผงชูรสแถมยังเต็มไปด้วยโซเดียมกับน้ำมัน น้ำอัดลมหลากสีหลากกลิ่นทั้งหลาย รวมทั้งอาหารขยะอย่างเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย ไก่ชุบแป้งทอดก็ด้วย! อาหารเหล่านี้รสชาติดีแค่ตอนเคี้ยว แต่พอกลืนลงท้องไปเมื่อไหร่ละก็ไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆค่ะ สำหรับคนที่ทานอาหารนอกบ้านเป็นประจำหรือไม่ค่อยมีเวลาเข้าครัวทำอาหารเองอาจจะทำใจลำบากนึดนึงนะคะกับการกินคลีน เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่เค้าเน้นรสชาติอร่อยอย่างเดียว ไม่ได้สนใจหรอกค่ะว่าดีหรือไม่ดีต่อสุขภาพของคนกิน เผลอๆบางทีสั่งไม่ใส่ผงชูรสยังโดนมองค้อนอีก
ที่มาของบทความนี้: Gushbell
** ต้องบอกว่าปุ้ยเองไม่ได้ทานคลีนทุกมื้อนะคะ จะทานมื้อเช้าและเย็น ส่วนมื้อเที่ยงจะทานข้าวนอกบ้านซะส่วนใหญ่ แต่ก็จะพยายามเลือกทาน แล้วก็จะมีวันทานเค้กบ้าง อาทิตย์ละครั้ง หรือเดือนละครั้งค่ะ เพื่อไม่ให้ร่างกายเครียดมากเกินไป
"หันมาออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์กันเถอะคะทุกคน... รูปร่างและสุขภาพที่ดีรอคุณอยู่ สักวันหนึ่งเราต้องเห็นสิ่งที่เราลงมือทำในวันนี้ค่ะ... สู้ๆ นะคะ"
แวะมาหาแรงบันดาลใจกันได้ที่ facebook.com/weight.motivation.3