วันที่ 23 กรกฎาคม 2556 01:00
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
“จักร” ธนาเดช โสมะบุตร สมาชิก Stock2morrow โชว์พอร์ต“ตราสารสิทธิ”(Options)ตลาดหุ้นนิวยอร์กหลักแสนเหรียญ สลัดแล้วเป้าหมายร้อยล้านเน้นพอเพียง
ความโลภทำให้โดนหลอก!!
ก่อน “จักร” ธนาเดช โสมะบุตร วัย 39 ปี นักลงทุนสมาชิก Stock2morrow จะกอบโกยกำไรจากการลงทุน “ตราสารสิทธิ” (Options) ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก “ทะลุ 1000%” ภายในระยะเวลา 4 ปี “หนุ่มเมืองชลบุรี” คนนี้เคยถูกหลอกให้จ่ายเงิน 300,000 บาท เพื่อลงเรียนคอร์สตราสารสิทธิของต่างประเทศนาน 6 วัน
“กำไร 1000% ภายใน 1 วัน” คำโฆษณาเว่อร์เกินจริง ทำให้ “ชายหนุ่ม” ดีกรีวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือกับ “หลงเชื่อหมดใจ” ตลอด 6 วัน เขาตั้งใจเรียน แต่ที่ “งง ไม่เข้าใจ” คือ ผลลัพท์ที่ได้รับหลังจบคอร์ส
“อยากรวยทำให้โลภ” “ธนาเดช” ย้อนความหลังให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง พื้นฐานครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย คุณพ่อรับราชการตำรวจและเสียชีวิตไปตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส่วนคุณแม่ทำอาชีพแม่บ้าน ดูแลผมกับน้องชาย (ยิ้ม) นับตั้งแต่คุณพ่อไม่อยู่ ก็ได้ “คุณอา” ที่มีอาชีพเป็นหมอเด็กคอยดูแลเลี้ยงดูเราทั้งครอบครัว
หลังเรียนจบปริญญาตรี ก็เริ่มต้นอาชีพมุนษย์เงินเดือนในโรงงานอุตสาหกรรมแถวๆบ้าน ทำได้ไม่นานก็ลาออก เพราะสอบติดปริญญาโท คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ก่อนจะมาเริ่มทำงานอีกครั้งในบริษัทต่างประเทศ สัญชาติออสเตรเลีย ย่านสีลม ทำได้แค่ 2 ปีกว่าๆ ก็ออกมาเปิดธุรกิจร่วมกับเพื่อนๆเพื่อขายอุปกรณ์ไอที
ทำงานและเรียนไปพร้อมๆกัน เหนื่อยมาก จึงตัดสินใจปิดบริษัท และย้ายไปทำงานในบริษัท NET ENG TEL จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการวางระบบคอมพิวเตอร์ในการรักษาความปลอดภัย ก่อนจะโยกไปทำงานใน “น้ำตาลมิตรผล “อยู่ได้ 4 ปี ย้ายอีก รอบนี้มาทำที่ “โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น” (DTAC) ก่อนจะลาออก เพราะอยากเปลี่ยนชีวิต
ตัวเองเป็น Freedom Trader !!
ครั้งแรกที่ยอมลาออกจากงานที่แสนมั่นคง เพื่อหันมาเปิดกิจการเป็นคนตัวเอง ก็เพียงเพราะต้องการทำตามความฝัน เมื่อมันเหนื่อยเกินไป ก็ต้องมองลู่ทางการทำเงินใหม่ กว่าชีวิตจะมีความอิสระทางการเงิน “ผมเคยขายน้ำผลไม้ปั่น ขายน้ำแข็งปั่น รับจ้างติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ มาแล้ว”
ช่วงที่โดนโฆษณาชวนเชื่อ หลอกเงินในกระเป๋า 300,000 บาท ตอนนั้นยังทำงานในดีแทคอยู่เลย วันหนึ่งมีเพื่อนเดินมาบอกว่าลองไปเรียนสิ ด้วยความอยากรวยมาก ผนวกกับเห็นคนดังหลายคนมาเป็นวิทยากรจึงตัดสินใจลงเรียน คิดไปคิดมา เขาก็คงไม่ได้หลอก เราหลงเชื่อเขาเอง (หัวเราะ) เรียนจบชีวิตออกแนวงงๆ จำได้อารมณ์ตอนนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามสอน คนสอนเขามโนเองว่าลงทุนแล้วต้องได้กำไรกลับมาอย่าง “มหาศาล” สุดท้ายเราได้แค่พื้นฐานการลงทุน
จบคอร์ส 6 วัน 300,000 บาท แต่เรายังไม่หยุด แม้จะรู้สึกแย่สุดๆ แต่ก็พยายามหากำลังใจให้ตัวเองใหม่ ด้วยการเริ่มต้นออกไปนั่งฟังงานสัมมนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ครั้งหนึ่งเคยบินไปงานฟังสัมนาประเทศสิงคโปร์กับเพื่อน 10 คน ในหัวข้อ “ไขรหัสลับสมองเงินล้าน” ภายในงานจะพูดว่า “คนรวยเขาคิดอย่างไรถึงรวย เหตุใดเขาถึงกล้าลงมือทำ”
ถือเป็นการเปิดมุมมองของตัวเอง พอกลับมาจากงานสัมมนา ทำให้ไฟในตัวเริ่มพลุ่งพล่าน ความมุ่งมั่นในการซื้อขายจริงๆมาละ ในปี 2551 จึงตัดสินใจเปิดพอร์ตลงทุนกับโบรกเกอร์ประเทศสิงคโปร์ มูลค่าลงทุนก้อนแรก 30,000 เหรียญ เพื่อลงทุนตราสารสิทธิในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
“เล่นตลาดหุ้นนอกประเทศ เพราะอีโก้แรงไปหน่อย” (หัวเราะ)
“ผมลงทุนตราสารสิทธิโดยอ้างอิงหุ้น HASBRO Inc. (HAS) เป็นตัวแรก สอยแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาทำธุรกิจอะไร รู้แค่ว่าเขาเป็นบริษัท Holding Company ออกแนวซื้อตามเพื่อนว่างั้น ควักเงินก้อนแรกร่วมทุนกับเพื่อนราวๆ 3,500 เหรียญ ซื้อมา 30 สัญญา ปรากฎว่า “ขาดทุน 100%” นี่ขนาดทดลองเล่นพอร์ตจำลองมาแล้ว 3 เดือน แต่พอลงสนามจริงดันตื่นเต้น นั่งอยู่ใต้แอร์ แต่เหงื่อมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด เห็นพอร์ตติดลบเกิดอาการหน้ามืด รู้รสชาติความเป็นเม่าน่อยทันที (ฮ่าฮ่า) เดินออกจากบ้านตาลอยๆ
จริงๆแล้วหุ้น HAS เป็นหุ้นที่ดี แต่จังหวะที่เราเข้าไปลงทุน หุ้นดันกลับตัว เพื่อนๆก็ขาดทุนเหมือนกัน แต่เขารู้วิธีตัดขาดทุน เขาตัดกันตอนขาดทุน 30% แต่ไอ้เราคิดว่ามันจะไปต่อ เพราะบทวิเคราะห์บอกว่าเป็นหุ้นที่ดี แต่ลืมไปบทวิเคราะห์บอกว่าดีในระยะยาว แต่เป้าหมายการลงทุนของเราเน้นถือสั้นๆ สุดท้ายขาดทุน 100%
ขนาดพอร์ตขาดทุน แต่ยังไม่คิดจะหาความรู้เพิ่มเติม เพราะคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมาเยอะแล้ว ทำให้ตลอดระยะเวลา 1 ปี ของการลงทุนออกแนว “ได้บ้างเสียบ้าง” สลับไปมาแบบนี้ ความรู้แค่ “หางอึ่ง” แต่ดันไม่หาอาหารสมองเพิ่มเติม การลงทุนในอดีต เปรียบเหมือน “เล่นการพนัน” ชีวิตไม่หลับไม่นอน กลางคืนเปิดคอมพิวเตอร์ซื้อขาย เพราะเวลาบ้านเขากับเรามันต่างกัน
สไตล์การลงทุนช่วง 1ปีแรก กราฟของพอร์ตจะมีลักษณะขึ้นๆลงๆ เราลงทุนตามทิศทางผลประกอบการทุกๆ 3 เดือน หุ้นต่างประเทศมีเป็น 1,000 บริษัท เยอะกว่าหุ้นไทยหลายเท่าตัว ทุกครั้งที่ประกาศผลประกอบการจะมีหุ้นให้เราเล่นประมาณ 2 เดือน เรียกว่ามีให้ลงทุนตลอด
ผลการลงทุนปีแรกๆ “พอร์ตเป็นสีแดง” ทำให้เงินในพอร์ตหดหายไปมาก จาก 30,000 เหรียญ เหลือไม่ถึง 3,000 เหรียญ อย่าลืมนะไม่ใช่เงินผมคนเดียวมีของเพื่อนด้วย เมื่อขาดทุนหนักอีโก้ในตัวเริ่มลดลง เริ่มรู้สึกว่าหุ้นต่างประเทศเล่นยากจัง ลองหันมาดูหุ้นไทยบ้างมั้ย!! ตอนนี้มีหุ้นรายตัวในต่างประเทศแค่ 2 ตัว เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ชอบเพราะเทรนด์กำลังมา ตอนนี้กำลังดูๆว่าจะขายดีมั้ย เพราะว่าตลาดปรับตัวลงมาเยอะมาก กำไรที่เคยสูง ก็เริ่มหดหาย
ระหว่างนั้นก็เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับหุ้นไทยมากขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือของ “แพท” ภาววิทย์ กลิ่นประทุม หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Stock2morrow และไปฟังงานสัมมนาต่างๆ เช่น งานของ “อาจารย์หยง” ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ มือเทรดฟิวเจอร์สชั้น “เซียน” เขาสอนเกี่ยวกับเทคนิคการลงทุน และ “แพท-ภาว วิทย์” ที่สอนเกี่ยวกับพื้นฐานการลงทุนหุ้น
หลังเรียน 2 คอร์สจบเริ่มมีความรู้มากขึ้น แต่ด้วยความอยากรู้ลึกมากกว่านี้เลยไปลงเรียนด้านเทคนิคกับ "อาจารย์ปุย" ประกาศิต ทิตาราม เจ้าของนิคเนม "Wave Rider บนโลกออนไลน์" เรียนคอร์สนี้ ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” เราเริ่มนำกลับไปปรับใช้กับการลงทุนในแบบฉบับของตัวเอง
ช่วงนั้นได้ค้นพบตัวเองว่า กลยุทธ์ที่ใช้ลงทุนตลอด 1 ปี เป็นเพียงเศษเสี้ยวของการวิเคราะห์ แท้จริงแล้วเราแทบไม่มีความรู้เลย ที่ผ่านมาการลงทุน คือ การพนัน คราวนี้เราเริ่มนำความรู้ที่ได้จากการฟังสัมมนามาทบทวน
“ผมใช้เวลา 3 เดือน ในการอ่านหนังสือ อ่านบทวิเคราะห์ต่างประเทศ” เพื่อกอบกู้พอร์ตลงทุนต่างประเทศให้กลับมายืน 30,000 เหรียญเหมือนเดิม สุดท้าย ทำได้ครับพี่น้อง!!!
วิธีการ คือ หันมาลงทุนในหุ้นกลุ่ม S&P 500 อาทิ หุ้น AAPL หุ้น GOOGLE เป็นต้น และหุ้นในกลุ่ม NASDAQ ส่วนใหญ่เน้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นเหล่านี้ราคายังไม่แพง ทุกครั้งที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้น 3% กำไรตราสารสิทธิจะขึ้นไปถึง 100%
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในตราสารสิทธิ หลักการลงทุนจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน นั่นคือ “เทคนิค-ตัดขาดทุน-บริการการเงิน” ได้วิธีนี้มาจากการเรียนคอร์สกับทาง Stock2morrow เขาจะสอนให้เราบริหารเงินลงทุน สมมุติเรามีเงิน 1 ก้อน มูลค่า 10,000 เหรียญ เราจะแบ่งออกเป็น 20 ส่วน ซึ่ง 1 ส่วนแรกคือ 500 เหรียญ ถ้าลงทุนถูกทางจะได้กำไร 20-30% หรือประมาณวันละ 100 เหรียญ ส่วนที่ก็เก็บไว้เผื่อมีโอกาส หากพลาด 1 ไม้ ก็ยังมีไม้ 2 และไม้ 3
ก่อนจะลงทุนในตราสารสิทธิสัก 1 ตัว ในอดีตจะซื้อตามเพื่อน แต่ปัจจุบันจะใช้เวลาทำ “การบ้าน” ประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยความที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเปิดมาเป็น 100 ปี เครื่องมือเกี่ยวกับการหาข้อมูลในการลงทุนมีค่อนข้างเยอะตามเว็บไซด์ฟรี
“ผมจะเน้นหาข้อมูล 3-4 ส่วน ข้อแรก ดูกราฟราคาหุ้น ไม่ว่าจะเป็นกราฟราย 60 นาที กราฟ 5 นาที หรือกราฟ 1 นาที ข้อสอง ดูจังหวะเวลาในการซื้อขาย อาทิ แนวรับ แนวต้าน ข้อสาม ดูตลาดหุ้นเอเชีย และยุโรปว่ามีทิศทางอย่างไร
ข้อสุดท้าย “คัดหุ้น” เราต้องเลือกออกมา 70 ตัว จากกว่า 1000 ตัว แต่เวลาซื้อขายจริงๆ จะเหลือแค่ 2-4 ตัว เราไม่มีเวลาโฟกัสทุกตัว แม้ในความเป็นจริงจะมีหลายตัวน่าสนใจก็ตาม ซื้อขายตราสารสิทธิส่วนใหญ่ใช้เวลาสั้นมากๆ เคยใช้เวลาน้อยสุดแค่ 5 นาที นานสุด 1 ปี
“ลงทุนทุกวัน ตกวันละ 1% ของพอร์ต ทำให้มูลค่าลงทุนในวันนี้ของผมยืนหลัก 250,000 เหรียญ”
ถามถึงความฝัน? ครั้งหนึ่งเคยอยากมีพอร์ตลงทุน “มูลค่าพันล้านบาท” แต่ตอนนี้ไม่อยากได้แล้ว รู้สึกว่าการตั้งเป้าใหญ่ขนาดนี้ มุมหนึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีเส้นชัยที่จะต้องไปให้ถึง แต่อีกฟากหนึ่ง คือ ความเครียด-กดดัน ความเครียดมีผลต่อการซื้อขายอย่างมาก บั้นปลายชีวิตขอแค่มีเงินไปซื้อตราสารสิทธิที่เราชอบก็พอแล้ว
1 ปี ได้ผลตอบแทนไม่ถึง 100% แค่นี้ก็พอใจแล้ว!!
"ธนาเดช” บอกว่า หลังเข้ามาคลุกคลีใน Stock2morrow ก็เริ่มรู้สึกอยากลงทุนหุ้นไทยกะว่าปี 2557 จะเข้าไปสอยสักตัวสองตัว ยอมรับวันนี้ความรู้หุ้นไทยยังน้อยมากๆ คนอื่นเขาเพิ่งเข้า “อนุบาลเม่าน้อย” แต่เรายังเป็น “เม่าน้อยแรกเกิด” ระหว่างนี้ก็จะศึกษาพฤติกรรมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปพรางๆ
เน้นดูว่าปัจจัยอะไรบ้างที่กระทบต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนเรื่องของตัวหุ้น เท่าที่เห็นพฤติกรรมนักลงทุนไทยไม่ค่อยนิยมเล่นหุ้นตัวใหญ่ ส่วนมากจะเล่นตัวเล็กๆ แต่นักลงทุนไทยเริ่มมีความรู้มากขึ้น แต่ละคนก็เก่งๆ ทำให้อีโก้ของเราเริ่มหดหายไป
เมื่อก่อนไม่กล้าเล่นหุ้นไทย เพราะหุ้นไทย “ผันผวน” มีเจ้ามือ มีขาใหญ่ ทำให้เราหวาดกลัว เล่นหุ้นนอกน่าจะง่ายกว่า ตลอดการลงทุนตราสารสิทธิต่างประเทศ 4 ปี “ผมก็ศึกษาตลาดหุ้นไทยตลอดนะ” ติดตามอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เข้าเว็บไซด์พันทิพย์ แต่มองว่าลงทุนหุ้นต่างประเทศผลตอบแทนน่าจะดีกว่าหุ้นไทย
ถามว่าการลงทุนหุ้นรายตัวกับตราสารสิทธิมีความแตกต่างกันอย่างไร? จริงๆ มีความยากคนละแบบ ถ้าเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หากลงทุนผิดทาง แต่ยังไม่ถึงเวลาตัดขาดทุน เราก็ยังสามารถถือต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเรื่องเวลามาเป็นตัวกำหนด แต่หากเป็นตราสารสิทธิจะมีเรื่องเวลา อยู่ที่ว่าเราซื้อสัญญานานแค่ไหน เพราะว่าหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ มูลค่าสัญญาจะค่อยๆลดลง ซึ่งในสูตรคำนวนราคาจะมีเรื่องของเวลคงเหลือด้วย นักลงทุนตราสารต่างๆจะต้องคอนโทรล 3 ปัจจัย นั่นคือ ข้อแรก ทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ข้อสอง เรื่องของเวลา และสุดท้าย เลือกราคา
ตราสารสิทธิคืออะไร?
ตราสารสิทธิของประเทศไทย เป็นหนังสือสัญญา หรือตราสารทางการเงินประเภทตราสารอนุพันธ์ โดยมีสินค้าอ้างอิงเป็นดัชนี SET50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีลักษณะให้สิทธิแก่ผู้ถือตราสาร เมื่อเปิดสถานะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายที่จะใช้สิทธิซื้อหรือขายในวันที่กำหนด วันสิ้นสิทธิแต่ละงวดแบ่งเป็น 4 งวดในหนึ่งปี หรือจะปิดสถานะแบบมีสิทธิก่อนวันหมดอายุก็ได้ ตามตราสารสิทธิแบบอเมริกา
รูปแบบตราสารสิทธิมีหลายรูปแบบ อาทิ ตราสารสิทธิแบบยุโรป (European option) คือ ตราสารที่สามารถใช้สิทธิได้เมื่อถึงวันสิ้นสิทธิ ,ตราสารสิทธิแบบอเมริกา (American option) คือ ตราสารที่สามารถใช้สิทธิในวันทำการใด ๆ ก่อนหรือภายในวันสิ้นสิทธิ ,ตราสารสิทธิแบบ
“ธนาเดช โสมะบุตร” เซียนขั้นเทพ “ตราสารสิทธิ”
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
“จักร” ธนาเดช โสมะบุตร สมาชิก Stock2morrow โชว์พอร์ต“ตราสารสิทธิ”(Options)ตลาดหุ้นนิวยอร์กหลักแสนเหรียญ สลัดแล้วเป้าหมายร้อยล้านเน้นพอเพียง
ความโลภทำให้โดนหลอก!!
ก่อน “จักร” ธนาเดช โสมะบุตร วัย 39 ปี นักลงทุนสมาชิก Stock2morrow จะกอบโกยกำไรจากการลงทุน “ตราสารสิทธิ” (Options) ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก “ทะลุ 1000%” ภายในระยะเวลา 4 ปี “หนุ่มเมืองชลบุรี” คนนี้เคยถูกหลอกให้จ่ายเงิน 300,000 บาท เพื่อลงเรียนคอร์สตราสารสิทธิของต่างประเทศนาน 6 วัน
“กำไร 1000% ภายใน 1 วัน” คำโฆษณาเว่อร์เกินจริง ทำให้ “ชายหนุ่ม” ดีกรีวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือกับ “หลงเชื่อหมดใจ” ตลอด 6 วัน เขาตั้งใจเรียน แต่ที่ “งง ไม่เข้าใจ” คือ ผลลัพท์ที่ได้รับหลังจบคอร์ส
“อยากรวยทำให้โลภ” “ธนาเดช” ย้อนความหลังให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง พื้นฐานครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย คุณพ่อรับราชการตำรวจและเสียชีวิตไปตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ส่วนคุณแม่ทำอาชีพแม่บ้าน ดูแลผมกับน้องชาย (ยิ้ม) นับตั้งแต่คุณพ่อไม่อยู่ ก็ได้ “คุณอา” ที่มีอาชีพเป็นหมอเด็กคอยดูแลเลี้ยงดูเราทั้งครอบครัว
หลังเรียนจบปริญญาตรี ก็เริ่มต้นอาชีพมุนษย์เงินเดือนในโรงงานอุตสาหกรรมแถวๆบ้าน ทำได้ไม่นานก็ลาออก เพราะสอบติดปริญญาโท คณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ก่อนจะมาเริ่มทำงานอีกครั้งในบริษัทต่างประเทศ สัญชาติออสเตรเลีย ย่านสีลม ทำได้แค่ 2 ปีกว่าๆ ก็ออกมาเปิดธุรกิจร่วมกับเพื่อนๆเพื่อขายอุปกรณ์ไอที
ทำงานและเรียนไปพร้อมๆกัน เหนื่อยมาก จึงตัดสินใจปิดบริษัท และย้ายไปทำงานในบริษัท NET ENG TEL จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับการวางระบบคอมพิวเตอร์ในการรักษาความปลอดภัย ก่อนจะโยกไปทำงานใน “น้ำตาลมิตรผล “อยู่ได้ 4 ปี ย้ายอีก รอบนี้มาทำที่ “โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น” (DTAC) ก่อนจะลาออก เพราะอยากเปลี่ยนชีวิต
ตัวเองเป็น Freedom Trader !!
ครั้งแรกที่ยอมลาออกจากงานที่แสนมั่นคง เพื่อหันมาเปิดกิจการเป็นคนตัวเอง ก็เพียงเพราะต้องการทำตามความฝัน เมื่อมันเหนื่อยเกินไป ก็ต้องมองลู่ทางการทำเงินใหม่ กว่าชีวิตจะมีความอิสระทางการเงิน “ผมเคยขายน้ำผลไม้ปั่น ขายน้ำแข็งปั่น รับจ้างติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ มาแล้ว”
ช่วงที่โดนโฆษณาชวนเชื่อ หลอกเงินในกระเป๋า 300,000 บาท ตอนนั้นยังทำงานในดีแทคอยู่เลย วันหนึ่งมีเพื่อนเดินมาบอกว่าลองไปเรียนสิ ด้วยความอยากรวยมาก ผนวกกับเห็นคนดังหลายคนมาเป็นวิทยากรจึงตัดสินใจลงเรียน คิดไปคิดมา เขาก็คงไม่ได้หลอก เราหลงเชื่อเขาเอง (หัวเราะ) เรียนจบชีวิตออกแนวงงๆ จำได้อารมณ์ตอนนั้นไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพยายามสอน คนสอนเขามโนเองว่าลงทุนแล้วต้องได้กำไรกลับมาอย่าง “มหาศาล” สุดท้ายเราได้แค่พื้นฐานการลงทุน
จบคอร์ส 6 วัน 300,000 บาท แต่เรายังไม่หยุด แม้จะรู้สึกแย่สุดๆ แต่ก็พยายามหากำลังใจให้ตัวเองใหม่ ด้วยการเริ่มต้นออกไปนั่งฟังงานสัมมนาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ครั้งหนึ่งเคยบินไปงานฟังสัมนาประเทศสิงคโปร์กับเพื่อน 10 คน ในหัวข้อ “ไขรหัสลับสมองเงินล้าน” ภายในงานจะพูดว่า “คนรวยเขาคิดอย่างไรถึงรวย เหตุใดเขาถึงกล้าลงมือทำ”
ถือเป็นการเปิดมุมมองของตัวเอง พอกลับมาจากงานสัมมนา ทำให้ไฟในตัวเริ่มพลุ่งพล่าน ความมุ่งมั่นในการซื้อขายจริงๆมาละ ในปี 2551 จึงตัดสินใจเปิดพอร์ตลงทุนกับโบรกเกอร์ประเทศสิงคโปร์ มูลค่าลงทุนก้อนแรก 30,000 เหรียญ เพื่อลงทุนตราสารสิทธิในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก
“เล่นตลาดหุ้นนอกประเทศ เพราะอีโก้แรงไปหน่อย” (หัวเราะ)
“ผมลงทุนตราสารสิทธิโดยอ้างอิงหุ้น HASBRO Inc. (HAS) เป็นตัวแรก สอยแบบไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เขาทำธุรกิจอะไร รู้แค่ว่าเขาเป็นบริษัท Holding Company ออกแนวซื้อตามเพื่อนว่างั้น ควักเงินก้อนแรกร่วมทุนกับเพื่อนราวๆ 3,500 เหรียญ ซื้อมา 30 สัญญา ปรากฎว่า “ขาดทุน 100%” นี่ขนาดทดลองเล่นพอร์ตจำลองมาแล้ว 3 เดือน แต่พอลงสนามจริงดันตื่นเต้น นั่งอยู่ใต้แอร์ แต่เหงื่อมาจากไหนไม่รู้เต็มไปหมด เห็นพอร์ตติดลบเกิดอาการหน้ามืด รู้รสชาติความเป็นเม่าน่อยทันที (ฮ่าฮ่า) เดินออกจากบ้านตาลอยๆ
จริงๆแล้วหุ้น HAS เป็นหุ้นที่ดี แต่จังหวะที่เราเข้าไปลงทุน หุ้นดันกลับตัว เพื่อนๆก็ขาดทุนเหมือนกัน แต่เขารู้วิธีตัดขาดทุน เขาตัดกันตอนขาดทุน 30% แต่ไอ้เราคิดว่ามันจะไปต่อ เพราะบทวิเคราะห์บอกว่าเป็นหุ้นที่ดี แต่ลืมไปบทวิเคราะห์บอกว่าดีในระยะยาว แต่เป้าหมายการลงทุนของเราเน้นถือสั้นๆ สุดท้ายขาดทุน 100%
ขนาดพอร์ตขาดทุน แต่ยังไม่คิดจะหาความรู้เพิ่มเติม เพราะคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมาเยอะแล้ว ทำให้ตลอดระยะเวลา 1 ปี ของการลงทุนออกแนว “ได้บ้างเสียบ้าง” สลับไปมาแบบนี้ ความรู้แค่ “หางอึ่ง” แต่ดันไม่หาอาหารสมองเพิ่มเติม การลงทุนในอดีต เปรียบเหมือน “เล่นการพนัน” ชีวิตไม่หลับไม่นอน กลางคืนเปิดคอมพิวเตอร์ซื้อขาย เพราะเวลาบ้านเขากับเรามันต่างกัน
สไตล์การลงทุนช่วง 1ปีแรก กราฟของพอร์ตจะมีลักษณะขึ้นๆลงๆ เราลงทุนตามทิศทางผลประกอบการทุกๆ 3 เดือน หุ้นต่างประเทศมีเป็น 1,000 บริษัท เยอะกว่าหุ้นไทยหลายเท่าตัว ทุกครั้งที่ประกาศผลประกอบการจะมีหุ้นให้เราเล่นประมาณ 2 เดือน เรียกว่ามีให้ลงทุนตลอด
ผลการลงทุนปีแรกๆ “พอร์ตเป็นสีแดง” ทำให้เงินในพอร์ตหดหายไปมาก จาก 30,000 เหรียญ เหลือไม่ถึง 3,000 เหรียญ อย่าลืมนะไม่ใช่เงินผมคนเดียวมีของเพื่อนด้วย เมื่อขาดทุนหนักอีโก้ในตัวเริ่มลดลง เริ่มรู้สึกว่าหุ้นต่างประเทศเล่นยากจัง ลองหันมาดูหุ้นไทยบ้างมั้ย!! ตอนนี้มีหุ้นรายตัวในต่างประเทศแค่ 2 ตัว เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ชอบเพราะเทรนด์กำลังมา ตอนนี้กำลังดูๆว่าจะขายดีมั้ย เพราะว่าตลาดปรับตัวลงมาเยอะมาก กำไรที่เคยสูง ก็เริ่มหดหาย
ระหว่างนั้นก็เริ่มหาความรู้เกี่ยวกับหุ้นไทยมากขึ้น ด้วยการอ่านหนังสือของ “แพท” ภาววิทย์ กลิ่นประทุม หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Stock2morrow และไปฟังงานสัมมนาต่างๆ เช่น งานของ “อาจารย์หยง” ธำรงชัย เอกอมรวงศ์ มือเทรดฟิวเจอร์สชั้น “เซียน” เขาสอนเกี่ยวกับเทคนิคการลงทุน และ “แพท-ภาว วิทย์” ที่สอนเกี่ยวกับพื้นฐานการลงทุนหุ้น
หลังเรียน 2 คอร์สจบเริ่มมีความรู้มากขึ้น แต่ด้วยความอยากรู้ลึกมากกว่านี้เลยไปลงเรียนด้านเทคนิคกับ "อาจารย์ปุย" ประกาศิต ทิตาราม เจ้าของนิคเนม "Wave Rider บนโลกออนไลน์" เรียนคอร์สนี้ ถือเป็น “จุดเปลี่ยน” เราเริ่มนำกลับไปปรับใช้กับการลงทุนในแบบฉบับของตัวเอง
ช่วงนั้นได้ค้นพบตัวเองว่า กลยุทธ์ที่ใช้ลงทุนตลอด 1 ปี เป็นเพียงเศษเสี้ยวของการวิเคราะห์ แท้จริงแล้วเราแทบไม่มีความรู้เลย ที่ผ่านมาการลงทุน คือ การพนัน คราวนี้เราเริ่มนำความรู้ที่ได้จากการฟังสัมมนามาทบทวน
“ผมใช้เวลา 3 เดือน ในการอ่านหนังสือ อ่านบทวิเคราะห์ต่างประเทศ” เพื่อกอบกู้พอร์ตลงทุนต่างประเทศให้กลับมายืน 30,000 เหรียญเหมือนเดิม สุดท้าย ทำได้ครับพี่น้อง!!!
วิธีการ คือ หันมาลงทุนในหุ้นกลุ่ม S&P 500 อาทิ หุ้น AAPL หุ้น GOOGLE เป็นต้น และหุ้นในกลุ่ม NASDAQ ส่วนใหญ่เน้นกลุ่มเทคโนโลยี หุ้นเหล่านี้ราคายังไม่แพง ทุกครั้งที่ราคาหุ้นวิ่งขึ้น 3% กำไรตราสารสิทธิจะขึ้นไปถึง 100%
ถามถึงกลยุทธ์การลงทุนในตราสารสิทธิ หลักการลงทุนจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วน นั่นคือ “เทคนิค-ตัดขาดทุน-บริการการเงิน” ได้วิธีนี้มาจากการเรียนคอร์สกับทาง Stock2morrow เขาจะสอนให้เราบริหารเงินลงทุน สมมุติเรามีเงิน 1 ก้อน มูลค่า 10,000 เหรียญ เราจะแบ่งออกเป็น 20 ส่วน ซึ่ง 1 ส่วนแรกคือ 500 เหรียญ ถ้าลงทุนถูกทางจะได้กำไร 20-30% หรือประมาณวันละ 100 เหรียญ ส่วนที่ก็เก็บไว้เผื่อมีโอกาส หากพลาด 1 ไม้ ก็ยังมีไม้ 2 และไม้ 3
ก่อนจะลงทุนในตราสารสิทธิสัก 1 ตัว ในอดีตจะซื้อตามเพื่อน แต่ปัจจุบันจะใช้เวลาทำ “การบ้าน” ประมาณ 2 ชั่วโมง ด้วยความที่ตลาดหุ้นต่างประเทศเปิดมาเป็น 100 ปี เครื่องมือเกี่ยวกับการหาข้อมูลในการลงทุนมีค่อนข้างเยอะตามเว็บไซด์ฟรี
“ผมจะเน้นหาข้อมูล 3-4 ส่วน ข้อแรก ดูกราฟราคาหุ้น ไม่ว่าจะเป็นกราฟราย 60 นาที กราฟ 5 นาที หรือกราฟ 1 นาที ข้อสอง ดูจังหวะเวลาในการซื้อขาย อาทิ แนวรับ แนวต้าน ข้อสาม ดูตลาดหุ้นเอเชีย และยุโรปว่ามีทิศทางอย่างไร
ข้อสุดท้าย “คัดหุ้น” เราต้องเลือกออกมา 70 ตัว จากกว่า 1000 ตัว แต่เวลาซื้อขายจริงๆ จะเหลือแค่ 2-4 ตัว เราไม่มีเวลาโฟกัสทุกตัว แม้ในความเป็นจริงจะมีหลายตัวน่าสนใจก็ตาม ซื้อขายตราสารสิทธิส่วนใหญ่ใช้เวลาสั้นมากๆ เคยใช้เวลาน้อยสุดแค่ 5 นาที นานสุด 1 ปี
“ลงทุนทุกวัน ตกวันละ 1% ของพอร์ต ทำให้มูลค่าลงทุนในวันนี้ของผมยืนหลัก 250,000 เหรียญ”
ถามถึงความฝัน? ครั้งหนึ่งเคยอยากมีพอร์ตลงทุน “มูลค่าพันล้านบาท” แต่ตอนนี้ไม่อยากได้แล้ว รู้สึกว่าการตั้งเป้าใหญ่ขนาดนี้ มุมหนึ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะมีเส้นชัยที่จะต้องไปให้ถึง แต่อีกฟากหนึ่ง คือ ความเครียด-กดดัน ความเครียดมีผลต่อการซื้อขายอย่างมาก บั้นปลายชีวิตขอแค่มีเงินไปซื้อตราสารสิทธิที่เราชอบก็พอแล้ว
1 ปี ได้ผลตอบแทนไม่ถึง 100% แค่นี้ก็พอใจแล้ว!!
"ธนาเดช” บอกว่า หลังเข้ามาคลุกคลีใน Stock2morrow ก็เริ่มรู้สึกอยากลงทุนหุ้นไทยกะว่าปี 2557 จะเข้าไปสอยสักตัวสองตัว ยอมรับวันนี้ความรู้หุ้นไทยยังน้อยมากๆ คนอื่นเขาเพิ่งเข้า “อนุบาลเม่าน้อย” แต่เรายังเป็น “เม่าน้อยแรกเกิด” ระหว่างนี้ก็จะศึกษาพฤติกรรมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปพรางๆ
เน้นดูว่าปัจจัยอะไรบ้างที่กระทบต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนเรื่องของตัวหุ้น เท่าที่เห็นพฤติกรรมนักลงทุนไทยไม่ค่อยนิยมเล่นหุ้นตัวใหญ่ ส่วนมากจะเล่นตัวเล็กๆ แต่นักลงทุนไทยเริ่มมีความรู้มากขึ้น แต่ละคนก็เก่งๆ ทำให้อีโก้ของเราเริ่มหดหายไป
เมื่อก่อนไม่กล้าเล่นหุ้นไทย เพราะหุ้นไทย “ผันผวน” มีเจ้ามือ มีขาใหญ่ ทำให้เราหวาดกลัว เล่นหุ้นนอกน่าจะง่ายกว่า ตลอดการลงทุนตราสารสิทธิต่างประเทศ 4 ปี “ผมก็ศึกษาตลาดหุ้นไทยตลอดนะ” ติดตามอ่านข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เข้าเว็บไซด์พันทิพย์ แต่มองว่าลงทุนหุ้นต่างประเทศผลตอบแทนน่าจะดีกว่าหุ้นไทย
ถามว่าการลงทุนหุ้นรายตัวกับตราสารสิทธิมีความแตกต่างกันอย่างไร? จริงๆ มีความยากคนละแบบ ถ้าเป็นการลงทุนในหุ้นรายตัว หากลงทุนผิดทาง แต่ยังไม่ถึงเวลาตัดขาดทุน เราก็ยังสามารถถือต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเรื่องเวลามาเป็นตัวกำหนด แต่หากเป็นตราสารสิทธิจะมีเรื่องเวลา อยู่ที่ว่าเราซื้อสัญญานานแค่ไหน เพราะว่าหากปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ มูลค่าสัญญาจะค่อยๆลดลง ซึ่งในสูตรคำนวนราคาจะมีเรื่องของเวลคงเหลือด้วย นักลงทุนตราสารต่างๆจะต้องคอนโทรล 3 ปัจจัย นั่นคือ ข้อแรก ทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง ข้อสอง เรื่องของเวลา และสุดท้าย เลือกราคา
ตราสารสิทธิคืออะไร?
ตราสารสิทธิของประเทศไทย เป็นหนังสือสัญญา หรือตราสารทางการเงินประเภทตราสารอนุพันธ์ โดยมีสินค้าอ้างอิงเป็นดัชนี SET50 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีลักษณะให้สิทธิแก่ผู้ถือตราสาร เมื่อเปิดสถานะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายที่จะใช้สิทธิซื้อหรือขายในวันที่กำหนด วันสิ้นสิทธิแต่ละงวดแบ่งเป็น 4 งวดในหนึ่งปี หรือจะปิดสถานะแบบมีสิทธิก่อนวันหมดอายุก็ได้ ตามตราสารสิทธิแบบอเมริกา
รูปแบบตราสารสิทธิมีหลายรูปแบบ อาทิ ตราสารสิทธิแบบยุโรป (European option) คือ ตราสารที่สามารถใช้สิทธิได้เมื่อถึงวันสิ้นสิทธิ ,ตราสารสิทธิแบบอเมริกา (American option) คือ ตราสารที่สามารถใช้สิทธิในวันทำการใด ๆ ก่อนหรือภายในวันสิ้นสิทธิ ,ตราสารสิทธิแบบ