....จบไปแล้วนะครับ สำหรับการทัวร์เอเชียแห่งที่สองของยูไนเต็ด ที่่ออสเตรเลีย ในเกมส์ที่พวกเค้ากดรวมดารา A-league ไปครึ่งแม็กด้วยสกอร์ 5-1 แน่นอนล่ะว่าแฟนบอลอย่างเราๆ คงไม่สามารถวัดอะไรได้มากนักจากคุณภาพระหว่างทีมที่ห่างกันพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะสังเกตุเห็นมันได้คืออะไรนะหรือ?... นอกจาก สภาพความฟิต รูปเกมส์ รวมไปถึงความแก่นแก้วแสนซนของ
วิลเฟร็ด ซาฮา ที่พยายามจะเลียนแบบทั้งหน้าตาและทรงผมของรุ่นพี่ในคณะอย่าง แดนนี่ เวลเบ็ค แล้ว...
สำหรับผมสิ่งเดียวที่มันควรจะเป็นถือว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆที่จับต้องได้นั้นคือ สกอร์สี่ในห้าลูกที่พวกเค้าทำได้นั้นดันมาจากการขึ้นเกมส์รุกตรงกลางสนามทั้งหมด?... มันจะแปลกอะไรนะเหรอ มันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกครับถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับทีมอื่นที่ไม่ใช่
"แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" ทีมที่ฝากชีวิตทั้งหมดที่มีเอาไว้กับ
"ปีก" ทั้งสองข้างเป็นหลักนะคุณ..
"เซ็ทบอลจากแดนกลาง ไหลออกข้าง แล้วเข้าทำจากปีก" คือคำสั่งที่
"ป๋า" บรรจงฝังมันเอาไว้ในรูปแบบของไมโครชิพที่แกนสมองของนักเตะทุกคนที่นี่ อย่าคาดหวังถึงมิติเกมส์รุก หรือ การสร้างสรรค์รูปแบบการเล่นอันวิจิตรตระการตาอื่นๆจากเฟอร์กี้
"โยนเถอะพ่อ" คือสิ่งเดียวที่เค้าเชี่ยวชาญ และทำมันได้ดีที่สุด..
เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าหนึ่งในวิธีการที่ชั่วร้ายที่สุด ที่ฝ่ายตรงข้ามจะสามารถทำเพื่อหยุดยูไนเต็ดได้นั้น คือการบุกไปที่บ้านของ แอนโทนี่ วาเลนเซีย ในบ่ายวันเสาร์ก่อนที่จะจับ
"น้องเมีย" ของเค้ามาเป็นตัวประกันเอาไว้.. เชื่อผมเถอะครับ เมื่อปีกตัวเอ้อย่าง แอนโทนี่ ไม่กล้าขึ้นเกมส์เนื่องจากกังวลถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับน้องเมียของตัวเองแล้ว อย่าหวังเลยครับว่ายูไนเต็ดจะทำอะไรคู่แข่งได้... ฟังดูน่ากลัวนะครับ แต่คุณต้องคิดว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ในเมื่อยูไนเต็ดเองนั้นมักปิดโอกาสตัวเองด้วยการที่จ้องแต่จะขึ้นเกมส์ทางปีกเพียงอย่างเดียวเสมอๆ...
กลับมาที่เกมส์ของยูไนเต็ดเมื่อวานนี้... เดวิด มอยส์ หรือว่า เดวิด ฮะ-มอยส์ ตามที่แฟนบอลคู่แข่งบางทีมพยายามดัดจริตจะออกเสียงเรียกให้ได้นั้น เริ่มที่จะทำความเข้าใจกับทีมที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ... สิ่งที่ผมเห็นคือ มอยส์ กำลังเริ่มงานของเค้าด้วยการ พยายามที่จะปรับยูไนเต็ดจาก 4-4-2 แบบโบราณ ให้เป็น 4-4-1-1 แบบกล้อมแกล้มนะครับ ถึงมันจะไม่ใช่ 4-2-3-1 แบบที่เค้าทำกับเอฟเวอร์ตัน แต่มันก็ง่ายกว่าที่จะค่อยๆพยายามปรับแท็กติกส์ของทีมไปที่ละนิด .. พวกเค้าใช้งาน ไรอัน กิกส์ ในรูปแบบตัวรุกหลังกองหน้า ในขณะที่หากคุณสังเกตุนั้น จะเห็นว่า ปีกทั้งสองข้าง พยายามที่จะทำเกมส์รุกในรูปแบบที่ต่างออกไป พวกเค้าพยายามที่จะตัดเข้าใน และ เชื่อมเกมส์รุกด้วยการเล่นบอลบนพื้นกับแนวรุกคนอื่นๆเอาไว้ ซึ่อย่างน้อยงผมก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ
ลด-ละ-เลิก พฤติกรรม การขึ้นเกมส์โดยใช้การตะบี้ตะบันครอสบอลเข้ากลางเพียงอย่างเดียวเหมือนก่อนหน้านี้...
ในขณะที่ ซาฮา ที่อาจจะดูแพงไปนิด แต่ก็มีฝีเท้า ความกล้า รวมไปถึงหน้าตาที่เกินวัย.. หน้าเป้าอย่าง แดนนี่ เว็ลเบ็ค หรือชื่อในวงการว่า
"แดน เชิญยิ้ม" นั้นก็อาจจะสร้างความประทับใจให้กับมอยส์ได้พอสมควร เอาตรงๆนะหากเรา ตั้งใจมอง และ สลัดความฮาของหมอนี่ออกไป คุณจะเห็นว่า แดนนี่ เองนั้นมีคุณสมบัติที่ดีนะครับ เด็หนุ่มที่แข็งแกร่ง รวดเร็ว ลูกกลางอากาศที่ใช้ได้ และทักษะที่เอาไว้เรียกความฮาในยามคับขัน มันเหมือนกับที่ มอยส์ เคยพูดเกี่ยวกับกับแดนนี่เอาไว้นั่นแหละ ว่าเมื่อมันถึงเวลานั้นเค้าจะต้องตัดสินใจเลือกเอาเองว่าต้องการที่จะเป็นตัวเลือกในแดนหน้าของยูไนเต็ด หรือว่าจะเติบโตเป็นดาวตลกชื่อก้องในอนาคต ...
พูดถึงรูปเกมส์ำ สำหรับผมเองนั้นหากดูภาพรวมของทีมทั้งหมด นักเตะดาวรุ่งอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด กลับเป็นคนที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุด แน่นอน เจสซี่ อาจจะมีรูปร่างที่ดูเก้งก้าง ขายาว ผอมเกรง และ ช่วงลำคอที่สั้น แต่ด้วยลักษณะเหล่านี้กลับทำให้เค้าดูโดดเด่นนะครับ ด้วยลักษณะการวิ่งที่ดูเหมือนมีบาลานส์ที่ดี เค้าวิ่งได้เรื่อยๆแม้ไม่ได้รวดเร็วมากกว่าคนอื่นๆ แต่มีลักษณะการวิ่งที่เหมือนว่าจะสามารถเร่งความเร็วเมื่อไหร่ก็ได้ เจสซี่ นั้นดูเหมือนจะมีทักษะการเล่นแบบตัวรุกอิสระด้านข้างที่ชื่นชอบในการตัดเข้าในเพื่อทำประตู เมื่อรวมเข้ากับความเข้าใจเกมส์บวกกับสองประตูระดับคุณภาพ และ ลักษณะท่าทางการวิ่งที่ดันไปละม้ายคล้ายคลึงกับปีกพระกาฬชาวอาร์เจนไตน์อย่าง
อังเคล ดิมาเรีย นั้นเพียงพอที่จะสร้างความหวังเล็กๆให้เราได้ ... อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เห็นจากเกมส์เมื่อวานคืออะไรที่เราจะสามารถมองเห็นถึงพัฒนาการของดาวรุ่งที่มีจากฟอร์มการเล่นของพวกเค้า เมื่อรวมกับ แนวทางการเล่นที่เยือกเย็นสุดขั้วประหนึ่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ฮอลคูลไอซ์ของ ไมเคิล คาร์ริค และ ประตูปิดท้ายในจังหวะโต้กลับของ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ จากเครดิตการผ่านบอลทะลุช่องตัดหลังแนวรับระยะ 40 หลาของ อันแดร์สัน แล้ว เราคงสามารถพูดได้ว่าคงไม่แย่เกินไปนักสำหรับเกมส์ลองทีมนัดที่สองของ เดวิด มอยส์ เองเช่นเดียวกัน...
ในขณะที่บรรยากาศมาคุนอกสนามเริ่มผ่อนคลาย... ช่วงเวลาที่เด็กโข่งอย่าง แดนนี่ บอย พยายามที่จะหลีกหนีความเป็น
"เชิญยิ้ม" ในสนามมากเท่าไหร่ ... ตรงกันข้าม นักเตะที่
"เคย" เป็นตัวหลักอย่าง รูนีย์ ก็กำลังตกอยู่ในสถานะการณ์พิจารณาคำตอบรับ
"เชิญย้าย" จากสิงห์บลูส์อย่างช่วยไม่ได้เช่นเดียวกัน... เมื่อมองถึงการที่คนอย่าง มูริญโญ่ กำลังแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในตัวนักเตะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ...
"เฮียจะเอาคนนี้" คือคำพูดที่ออกจากปากของคนอย่างมูริญโญ่ และแน่นอนว่ามันกังวานพอที่จะสะเทือนถึงตูดของ เดวิด มอยส์ ที่เอเชียนี่เช่นเดียวกัน....
และในขณะที่ผมกำลังนั่งดูดอิชิตันพลางวิเคราะห์ถึงอนาคตของรูนีย์อยู่นั้น พลันก็ดันคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีอยู่สามประเด็นด้วยกันที่จะสนับสนุนดีลนี้ให้
"Official" ได้..
อย่างแรก แน่นอนที่สุด เดวิด มอยส์ ไม่มีทางเอา เวนย์ รูนีย์ อยู่..ผมไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่ เดวิด มอยส์ จะสามารถดร๊อปนักเตะอย่าง เวนย์ รูนีย์ ให้นั่งเกา
"หรรม" บนม้านั่งสำรองแบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้ได้ มันไม่มีทางเกิดขึ้น ... ขนาดคนอย่าง เฟอร์กี้ ที่อุดมไปด้วย ศีล สมาธิ และ วิริยะบารมี ยังแทบจะปริออกมา ลองคิดดูว่าหากเกิดสถานะการณ์ละเอียดอ่อนที่อาจสร้างผลกระทบถึงสปิริตภายในทีมขึ้นมา ผมมองไม่เห็นว่าจะมีใครในสโมสรที่จะสามารถควบคุมหมอนี่ได้..
สอง คือมันดันมาเหมาะเจาะเหลือเกินกับการที่เปเอสเช
ดันทะลึ่งโชว์รวย ด้วยการสอยเป้าหมายหลักของเชลซีอย่าง เอดิสัน คาวานี่ ตัดหน้าสิงบลูส์ไป ทั้งๆที่พวกเค้าไม่ได้มีปัญหาในแนวรุกหนักหนาอะไรเลยด้วยซ้ำ?... มันส่งผลกระทบกับแนวทางการเสริมทัพ ระบบการเล่น และ แท็กติกส์ ของเชลซี ที่ผมกล้าบอกได้เลยว่าคนเดียวที่ มูริญโญ่ ต้องการคือ คาวานี่ เท่านั้น...ทำไมนะหรือ ทั้งหมดคือลักษณะการเล่นของ เอดิสัน คาวานี่ เท่านั้น...
"ลูกทุ่งเงินล้าน" คือคำจำกัดความของหมอนี่ได้ดีที่สุด คาวานี่ไม่ได้มีทักษะระดับสุดตีน ลีลาการเล่นที่สวยงาม หรือ ระดับคลาสที่แพรวพราว นั่นคือสิ่งที่มูริญโญ่ไม่เคยต้องการ หมอนี่คือไอ้หนุ่มเลือดสุพรรณ ที่เต็มไปด้วย
ความถึก สมบุกสมบัน แถมยังขยัน อดทน มีวินัย ไฝ่คุณธรรม และทำงานหนักราวกับชนชั้นแรงงาน ทั้งๆที่เก่งเป็นลำดับต้นๆในหมู่กองหน้าพรสวรรค์ด้วยกันเอง เล่นง่าย เข้าใจจังหวะเกมส์ และใช้เทคนิคที่มีได้อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุด เป็นสไตรเกอร์ที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของ มูริญโญ่ ...และ
ข้อสุดท้าย ที่ผมจะบอกก็คือ จากการพลาดในการได้ตัว เอดิสัน คาวานี่ มูริญโญ่อาจจะสามารถมองหาตัวเลือกอื่นๆที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง และการเล่นแบบยึดประสิทธิภาพเป็นหลักได้จาก รูนีย์ ผมหมายถึงพวกเค้าอาจจะมองหาทางที่จะปลดล๊อกพลังมหาศาลของ รูนีย์ ด้วยลักษณะการใช้งานในรูปแบบข้างต้นที่กล่าวมาได้.....
ขยายความได้ก็คือ ตราบไดที่ รูนีย์ ยังเล่นในระบบ 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 นั้นเค้าจะเป็นได้เพียงแค่ศูนย์หน้า หรือ หน้าต่ำ ที่อาจจะดีในระดับพรีเมียร์ลีก ยิงได้ ทำเกมส์ได้กิ๊บเก๋พอประมาณ และลงมาช่วยเกมส์รับในบางครั้ง แต่ไม่มีทางดีไปกว่า ฟานพอร์ซี่ ในเมื่อระบบนี้ยูไนเต็ดต้องการกองหน้าที่มีทักษะระดับสูงที่ทำเกมส์ได้เยี่ยมพอๆกับจบสกอร์ได้ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ คือคำตอบนั้น แต่กลับกันถ้าหาก หมูรูน ตกไปอยู่ในมือของ โชเซ่ โดยลักษณะการเล่นเป็นสไตรเกอร์หน้าเป้าในระบบ 4-3-3 ของเชลซีเื่มื่อไหร่ พลังทำลายล้างระดับ
"สิบล้อเมายาเบรคแตก แหกทุกด่าน" จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที ด้วยการที่แท็กติกส์ของ มูริญโญ่ นั้น หน้าเป้า ของพวกเค้าไม่ต้องลงไปล้วงบอลมาทำเกมส์ ไม่ต้องแบกทีม หรือ กำหนดทิศทางเกมส์รุกระยะสุดท้ายเอาไว้เหมือนที่รูนีย์เคยทำกับยูไนเต็ด แค่เก็บบอลให้ได้ เล่นให้ง่าย แต่ทรงประสิทธิภาพเข้าไว้ แท็กติกส์ของโชเซ่คือให้ทีมกระจายภาระกันอย่างชัดเจน...
เช่นเดียวกัน สำหรับยูไนเต็ดตอนนี้ผมเชื่อว่าพวกเค้าสามารเล่นได้โดยไม่มีรูนีย์ได้ การเก็บรูนีย์ไว้โดยไม่การันตีตำแหน่งตัวจริงรังแต่จะสร้างปัญหาจากบรรยากาศมาคุยามที่รูนต้องตกเป็นตัวสำรอง ดียิ่งกว่าสำหรับยูไนเต็ดคือตัดปัญหาไม่ต้องไปโยนภาระและให้สิทธ์กำหนดทิศทางการเล่นทั้งหมดไว้กับคนๆเดียวเหมือนเมื่อก่อน รูนีย์ไม่ผิดหรอกนะ แต่เค้าชอบแบกทั้งทีมไว้ทั้งๆที่ไม่ได้มีจุดเด่นที่ คลาส หรือ ทักษะระดับสูง รวมไปถึง สภาพจิตใจที่แข็งแกร่งถึงระดับนั้น..ขณะเดียวกันถ้าหากว่าย้ายมาที่เชลซี รูนีย์จะเป็นนักเตะกองหน้าที่ดีกว่าเดิมแน่นอน บางทีอาจจะไปถึงระดับท๊อปห้าของโลกด้วยซ้ำ เมื่ออยู่ในมือของโคตรคน มูริญโญ่ แต่ปัญหาคือ ยูไนเต็ดจะ
"โง่จุงเบย" พอที่จะหยิบยื่นอาวุธหนักให้ศัตรูมาปลิดชีพพวกเค้าในอนาคตหรือเปล่าล่ะ? เชลซี ที่มี
รูนีย์ ฮวนมาต้า ออสก้าร์ และ เอแดง อาซาร์ จะกระทืบพวกเค้าและฝังไว้ที่ป่าช้าไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ซ้ำยังถือเป็นการอัญเชิญถ้วยพรีเมียร์ลีกให้คู่แข่งทางอ้อมในอีกสามหรือห้าปีข้างหน้าอีกด้วย ... ในเมื่อทั้งหมดดูเหมือนจะอีรุงตุงนังพันกันไปหมด... ถึงตอนนี้ เดวิด มอยส์ คงรู้แล้วว่าเฟอร์กี้ที่ตอนนี้ล่องเรื่อสบายใจเฉิบที่สก๊อตแลนด์นั้น ไม่ได้แค่ให้ทีมแห่งอนาคตของเค้าเอาไว้ให้เฉยๆ แต่ยังดันแถมปัญหาที่โคตรจะยุ่งยากระดับระเบิดไมเกรนไว้ให้อีกด้วย ..
ปัญหาที่รอวันมาคุของยูไนเต็ด ...
....จบไปแล้วนะครับ สำหรับการทัวร์เอเชียแห่งที่สองของยูไนเต็ด ที่่ออสเตรเลีย ในเกมส์ที่พวกเค้ากดรวมดารา A-league ไปครึ่งแม็กด้วยสกอร์ 5-1 แน่นอนล่ะว่าแฟนบอลอย่างเราๆ คงไม่สามารถวัดอะไรได้มากนักจากคุณภาพระหว่างทีมที่ห่างกันพอสมควร แต่สิ่งหนึ่งที่เราควรจะสังเกตุเห็นมันได้คืออะไรนะหรือ?... นอกจาก สภาพความฟิต รูปเกมส์ รวมไปถึงความแก่นแก้วแสนซนของ วิลเฟร็ด ซาฮา ที่พยายามจะเลียนแบบทั้งหน้าตาและทรงผมของรุ่นพี่ในคณะอย่าง แดนนี่ เวลเบ็ค แล้ว...
สำหรับผมสิ่งเดียวที่มันควรจะเป็นถือว่าเป็นความสำเร็จเล็กๆที่จับต้องได้นั้นคือ สกอร์สี่ในห้าลูกที่พวกเค้าทำได้นั้นดันมาจากการขึ้นเกมส์รุกตรงกลางสนามทั้งหมด?... มันจะแปลกอะไรนะเหรอ มันคงจะไม่แปลกอะไรหรอกครับถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับทีมอื่นที่ไม่ใช่ "แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" ทีมที่ฝากชีวิตทั้งหมดที่มีเอาไว้กับ "ปีก" ทั้งสองข้างเป็นหลักนะคุณ.. "เซ็ทบอลจากแดนกลาง ไหลออกข้าง แล้วเข้าทำจากปีก" คือคำสั่งที่ "ป๋า" บรรจงฝังมันเอาไว้ในรูปแบบของไมโครชิพที่แกนสมองของนักเตะทุกคนที่นี่ อย่าคาดหวังถึงมิติเกมส์รุก หรือ การสร้างสรรค์รูปแบบการเล่นอันวิจิตรตระการตาอื่นๆจากเฟอร์กี้ "โยนเถอะพ่อ" คือสิ่งเดียวที่เค้าเชี่ยวชาญ และทำมันได้ดีที่สุด..
เหมือนที่ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าหนึ่งในวิธีการที่ชั่วร้ายที่สุด ที่ฝ่ายตรงข้ามจะสามารถทำเพื่อหยุดยูไนเต็ดได้นั้น คือการบุกไปที่บ้านของ แอนโทนี่ วาเลนเซีย ในบ่ายวันเสาร์ก่อนที่จะจับ "น้องเมีย" ของเค้ามาเป็นตัวประกันเอาไว้.. เชื่อผมเถอะครับ เมื่อปีกตัวเอ้อย่าง แอนโทนี่ ไม่กล้าขึ้นเกมส์เนื่องจากกังวลถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับน้องเมียของตัวเองแล้ว อย่าหวังเลยครับว่ายูไนเต็ดจะทำอะไรคู่แข่งได้... ฟังดูน่ากลัวนะครับ แต่คุณต้องคิดว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้ในเมื่อยูไนเต็ดเองนั้นมักปิดโอกาสตัวเองด้วยการที่จ้องแต่จะขึ้นเกมส์ทางปีกเพียงอย่างเดียวเสมอๆ...
กลับมาที่เกมส์ของยูไนเต็ดเมื่อวานนี้... เดวิด มอยส์ หรือว่า เดวิด ฮะ-มอยส์ ตามที่แฟนบอลคู่แข่งบางทีมพยายามดัดจริตจะออกเสียงเรียกให้ได้นั้น เริ่มที่จะทำความเข้าใจกับทีมที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ... สิ่งที่ผมเห็นคือ มอยส์ กำลังเริ่มงานของเค้าด้วยการ พยายามที่จะปรับยูไนเต็ดจาก 4-4-2 แบบโบราณ ให้เป็น 4-4-1-1 แบบกล้อมแกล้มนะครับ ถึงมันจะไม่ใช่ 4-2-3-1 แบบที่เค้าทำกับเอฟเวอร์ตัน แต่มันก็ง่ายกว่าที่จะค่อยๆพยายามปรับแท็กติกส์ของทีมไปที่ละนิด .. พวกเค้าใช้งาน ไรอัน กิกส์ ในรูปแบบตัวรุกหลังกองหน้า ในขณะที่หากคุณสังเกตุนั้น จะเห็นว่า ปีกทั้งสองข้าง พยายามที่จะทำเกมส์รุกในรูปแบบที่ต่างออกไป พวกเค้าพยายามที่จะตัดเข้าใน และ เชื่อมเกมส์รุกด้วยการเล่นบอลบนพื้นกับแนวรุกคนอื่นๆเอาไว้ ซึ่อย่างน้อยงผมก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของการ ลด-ละ-เลิก พฤติกรรม การขึ้นเกมส์โดยใช้การตะบี้ตะบันครอสบอลเข้ากลางเพียงอย่างเดียวเหมือนก่อนหน้านี้...
ในขณะที่ ซาฮา ที่อาจจะดูแพงไปนิด แต่ก็มีฝีเท้า ความกล้า รวมไปถึงหน้าตาที่เกินวัย.. หน้าเป้าอย่าง แดนนี่ เว็ลเบ็ค หรือชื่อในวงการว่า "แดน เชิญยิ้ม" นั้นก็อาจจะสร้างความประทับใจให้กับมอยส์ได้พอสมควร เอาตรงๆนะหากเรา ตั้งใจมอง และ สลัดความฮาของหมอนี่ออกไป คุณจะเห็นว่า แดนนี่ เองนั้นมีคุณสมบัติที่ดีนะครับ เด็หนุ่มที่แข็งแกร่ง รวดเร็ว ลูกกลางอากาศที่ใช้ได้ และทักษะที่เอาไว้เรียกความฮาในยามคับขัน มันเหมือนกับที่ มอยส์ เคยพูดเกี่ยวกับกับแดนนี่เอาไว้นั่นแหละ ว่าเมื่อมันถึงเวลานั้นเค้าจะต้องตัดสินใจเลือกเอาเองว่าต้องการที่จะเป็นตัวเลือกในแดนหน้าของยูไนเต็ด หรือว่าจะเติบโตเป็นดาวตลกชื่อก้องในอนาคต ...
พูดถึงรูปเกมส์ำ สำหรับผมเองนั้นหากดูภาพรวมของทีมทั้งหมด นักเตะดาวรุ่งอย่าง เจสซี่ ลินการ์ด กลับเป็นคนที่ทำให้ผมประหลาดใจมากที่สุด แน่นอน เจสซี่ อาจจะมีรูปร่างที่ดูเก้งก้าง ขายาว ผอมเกรง และ ช่วงลำคอที่สั้น แต่ด้วยลักษณะเหล่านี้กลับทำให้เค้าดูโดดเด่นนะครับ ด้วยลักษณะการวิ่งที่ดูเหมือนมีบาลานส์ที่ดี เค้าวิ่งได้เรื่อยๆแม้ไม่ได้รวดเร็วมากกว่าคนอื่นๆ แต่มีลักษณะการวิ่งที่เหมือนว่าจะสามารถเร่งความเร็วเมื่อไหร่ก็ได้ เจสซี่ นั้นดูเหมือนจะมีทักษะการเล่นแบบตัวรุกอิสระด้านข้างที่ชื่นชอบในการตัดเข้าในเพื่อทำประตู เมื่อรวมเข้ากับความเข้าใจเกมส์บวกกับสองประตูระดับคุณภาพ และ ลักษณะท่าทางการวิ่งที่ดันไปละม้ายคล้ายคลึงกับปีกพระกาฬชาวอาร์เจนไตน์อย่าง อังเคล ดิมาเรีย นั้นเพียงพอที่จะสร้างความหวังเล็กๆให้เราได้ ... อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เห็นจากเกมส์เมื่อวานคืออะไรที่เราจะสามารถมองเห็นถึงพัฒนาการของดาวรุ่งที่มีจากฟอร์มการเล่นของพวกเค้า เมื่อรวมกับ แนวทางการเล่นที่เยือกเย็นสุดขั้วประหนึ่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ฮอลคูลไอซ์ของ ไมเคิล คาร์ริค และ ประตูปิดท้ายในจังหวะโต้กลับของ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ จากเครดิตการผ่านบอลทะลุช่องตัดหลังแนวรับระยะ 40 หลาของ อันแดร์สัน แล้ว เราคงสามารถพูดได้ว่าคงไม่แย่เกินไปนักสำหรับเกมส์ลองทีมนัดที่สองของ เดวิด มอยส์ เองเช่นเดียวกัน...
ในขณะที่บรรยากาศมาคุนอกสนามเริ่มผ่อนคลาย... ช่วงเวลาที่เด็กโข่งอย่าง แดนนี่ บอย พยายามที่จะหลีกหนีความเป็น "เชิญยิ้ม" ในสนามมากเท่าไหร่ ... ตรงกันข้าม นักเตะที่ "เคย" เป็นตัวหลักอย่าง รูนีย์ ก็กำลังตกอยู่ในสถานะการณ์พิจารณาคำตอบรับ "เชิญย้าย" จากสิงห์บลูส์อย่างช่วยไม่ได้เช่นเดียวกัน... เมื่อมองถึงการที่คนอย่าง มูริญโญ่ กำลังแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในตัวนักเตะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ... "เฮียจะเอาคนนี้" คือคำพูดที่ออกจากปากของคนอย่างมูริญโญ่ และแน่นอนว่ามันกังวานพอที่จะสะเทือนถึงตูดของ เดวิด มอยส์ ที่เอเชียนี่เช่นเดียวกัน....
และในขณะที่ผมกำลังนั่งดูดอิชิตันพลางวิเคราะห์ถึงอนาคตของรูนีย์อยู่นั้น พลันก็ดันคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด ซึ่งอาจจะมีอยู่สามประเด็นด้วยกันที่จะสนับสนุนดีลนี้ให้ "Official" ได้..อย่างแรก แน่นอนที่สุด เดวิด มอยส์ ไม่มีทางเอา เวนย์ รูนีย์ อยู่..ผมไม่สามารถจินตนาการถึงภาพที่ เดวิด มอยส์ จะสามารถดร๊อปนักเตะอย่าง เวนย์ รูนีย์ ให้นั่งเกา"หรรม" บนม้านั่งสำรองแบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวเอาไว้ได้ มันไม่มีทางเกิดขึ้น ... ขนาดคนอย่าง เฟอร์กี้ ที่อุดมไปด้วย ศีล สมาธิ และ วิริยะบารมี ยังแทบจะปริออกมา ลองคิดดูว่าหากเกิดสถานะการณ์ละเอียดอ่อนที่อาจสร้างผลกระทบถึงสปิริตภายในทีมขึ้นมา ผมมองไม่เห็นว่าจะมีใครในสโมสรที่จะสามารถควบคุมหมอนี่ได้..สอง คือมันดันมาเหมาะเจาะเหลือเกินกับการที่เปเอสเชดันทะลึ่งโชว์รวย ด้วยการสอยเป้าหมายหลักของเชลซีอย่าง เอดิสัน คาวานี่ ตัดหน้าสิงบลูส์ไป ทั้งๆที่พวกเค้าไม่ได้มีปัญหาในแนวรุกหนักหนาอะไรเลยด้วยซ้ำ?... มันส่งผลกระทบกับแนวทางการเสริมทัพ ระบบการเล่น และ แท็กติกส์ ของเชลซี ที่ผมกล้าบอกได้เลยว่าคนเดียวที่ มูริญโญ่ ต้องการคือ คาวานี่ เท่านั้น...ทำไมนะหรือ ทั้งหมดคือลักษณะการเล่นของ เอดิสัน คาวานี่ เท่านั้น...
"ลูกทุ่งเงินล้าน" คือคำจำกัดความของหมอนี่ได้ดีที่สุด คาวานี่ไม่ได้มีทักษะระดับสุดตีน ลีลาการเล่นที่สวยงาม หรือ ระดับคลาสที่แพรวพราว นั่นคือสิ่งที่มูริญโญ่ไม่เคยต้องการ หมอนี่คือไอ้หนุ่มเลือดสุพรรณ ที่เต็มไปด้วยความถึก สมบุกสมบัน แถมยังขยัน อดทน มีวินัย ไฝ่คุณธรรม และทำงานหนักราวกับชนชั้นแรงงาน ทั้งๆที่เก่งเป็นลำดับต้นๆในหมู่กองหน้าพรสวรรค์ด้วยกันเอง เล่นง่าย เข้าใจจังหวะเกมส์ และใช้เทคนิคที่มีได้อย่างทรงประสิทธิภาพที่สุด เป็นสไตรเกอร์ที่สมบูรณ์แบบในอุดมคติของ มูริญโญ่ ...และ ข้อสุดท้าย ที่ผมจะบอกก็คือ จากการพลาดในการได้ตัว เอดิสัน คาวานี่ มูริญโญ่อาจจะสามารถมองหาตัวเลือกอื่นๆที่แข็งแกร่ง ทรงพลัง และการเล่นแบบยึดประสิทธิภาพเป็นหลักได้จาก รูนีย์ ผมหมายถึงพวกเค้าอาจจะมองหาทางที่จะปลดล๊อกพลังมหาศาลของ รูนีย์ ด้วยลักษณะการใช้งานในรูปแบบข้างต้นที่กล่าวมาได้.....
ขยายความได้ก็คือ ตราบไดที่ รูนีย์ ยังเล่นในระบบ 4-4-2 หรือ 4-4-1-1 นั้นเค้าจะเป็นได้เพียงแค่ศูนย์หน้า หรือ หน้าต่ำ ที่อาจจะดีในระดับพรีเมียร์ลีก ยิงได้ ทำเกมส์ได้กิ๊บเก๋พอประมาณ และลงมาช่วยเกมส์รับในบางครั้ง แต่ไม่มีทางดีไปกว่า ฟานพอร์ซี่ ในเมื่อระบบนี้ยูไนเต็ดต้องการกองหน้าที่มีทักษะระดับสูงที่ทำเกมส์ได้เยี่ยมพอๆกับจบสกอร์ได้ โรบิน ฟานเพอร์ซี่ คือคำตอบนั้น แต่กลับกันถ้าหาก หมูรูน ตกไปอยู่ในมือของ โชเซ่ โดยลักษณะการเล่นเป็นสไตรเกอร์หน้าเป้าในระบบ 4-3-3 ของเชลซีเื่มื่อไหร่ พลังทำลายล้างระดับ "สิบล้อเมายาเบรคแตก แหกทุกด่าน" จะถูกปลดปล่อยออกมาทันที ด้วยการที่แท็กติกส์ของ มูริญโญ่ นั้น หน้าเป้า ของพวกเค้าไม่ต้องลงไปล้วงบอลมาทำเกมส์ ไม่ต้องแบกทีม หรือ กำหนดทิศทางเกมส์รุกระยะสุดท้ายเอาไว้เหมือนที่รูนีย์เคยทำกับยูไนเต็ด แค่เก็บบอลให้ได้ เล่นให้ง่าย แต่ทรงประสิทธิภาพเข้าไว้ แท็กติกส์ของโชเซ่คือให้ทีมกระจายภาระกันอย่างชัดเจน...
เช่นเดียวกัน สำหรับยูไนเต็ดตอนนี้ผมเชื่อว่าพวกเค้าสามารเล่นได้โดยไม่มีรูนีย์ได้ การเก็บรูนีย์ไว้โดยไม่การันตีตำแหน่งตัวจริงรังแต่จะสร้างปัญหาจากบรรยากาศมาคุยามที่รูนต้องตกเป็นตัวสำรอง ดียิ่งกว่าสำหรับยูไนเต็ดคือตัดปัญหาไม่ต้องไปโยนภาระและให้สิทธ์กำหนดทิศทางการเล่นทั้งหมดไว้กับคนๆเดียวเหมือนเมื่อก่อน รูนีย์ไม่ผิดหรอกนะ แต่เค้าชอบแบกทั้งทีมไว้ทั้งๆที่ไม่ได้มีจุดเด่นที่ คลาส หรือ ทักษะระดับสูง รวมไปถึง สภาพจิตใจที่แข็งแกร่งถึงระดับนั้น..ขณะเดียวกันถ้าหากว่าย้ายมาที่เชลซี รูนีย์จะเป็นนักเตะกองหน้าที่ดีกว่าเดิมแน่นอน บางทีอาจจะไปถึงระดับท๊อปห้าของโลกด้วยซ้ำ เมื่ออยู่ในมือของโคตรคน มูริญโญ่ แต่ปัญหาคือ ยูไนเต็ดจะ "โง่จุงเบย" พอที่จะหยิบยื่นอาวุธหนักให้ศัตรูมาปลิดชีพพวกเค้าในอนาคตหรือเปล่าล่ะ? เชลซี ที่มี รูนีย์ ฮวนมาต้า ออสก้าร์ และ เอแดง อาซาร์ จะกระทืบพวกเค้าและฝังไว้ที่ป่าช้าไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ซ้ำยังถือเป็นการอัญเชิญถ้วยพรีเมียร์ลีกให้คู่แข่งทางอ้อมในอีกสามหรือห้าปีข้างหน้าอีกด้วย ... ในเมื่อทั้งหมดดูเหมือนจะอีรุงตุงนังพันกันไปหมด... ถึงตอนนี้ เดวิด มอยส์ คงรู้แล้วว่าเฟอร์กี้ที่ตอนนี้ล่องเรื่อสบายใจเฉิบที่สก๊อตแลนด์นั้น ไม่ได้แค่ให้ทีมแห่งอนาคตของเค้าเอาไว้ให้เฉยๆ แต่ยังดันแถมปัญหาที่โคตรจะยุ่งยากระดับระเบิดไมเกรนไว้ให้อีกด้วย ..