โดนธนาคารและบริษัทประกันเอาเปรียบ จะทำยังไงดี

อยากขอความเห็นหรือใครมีประสบการณ์ช่วยแนะนำหน่อยค่ะ ตอนนี้ไม่รู้จะทำยังไงดี ช่วยหน่อยนะคะ
        เราถูกเอารัดเอาเปรียบจากธนาคารและบริษัทประกันชีวิตในเครือเดียวกันกับธนาคาร เรื่องมีอยู่ว่าดิฉัน(ผู้กู้ร่วม)และคุณพ่อ(ผู้กู้หลัก)ได้กู้ซื้อบ้านอาคารพานิชย์จากธนาคาร(สีม่วง)เป็นเงินกู้ 4,500,000 (สี่ล้านห้าแสนบาท) ณ. วันที่โอน ที่กรมที่ดินจังหวัดนนทบุรี วันที่ 30 มิถุนายน 2555 มีการนัดโอนกันในตอนเช้าประมาณ 10.00 น. เมื่อไปถึงเราก็ได้พบเจ้าหน้าที่พนักงานธนาคาร และผู้ขาย (เจ้าของอาคารพานิชย์ที่ขายให้กับเรา)เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเดี๋ยวจะเอาเอกสารมาให้เซ็นก่อน พนักงานก็จะคอยเปิดหน้าเอกสารและชี้ให้เซ็น และให้รอเช็คจากธนาคารสาขาใหญ่ พนักงานบอกว่าวันนี้เป็นวันปิดงบกลางปีวันนี้จะยุ่งและช้าหน่อย เราก็คิดว่าไม่เป็นไร หลังจากนั้นพนักงานก็เอาเอกสารมาให้เรากรอกรายชื่อผู้รับผลประโยชน์พนักงานธนาคารบอกว่าต้องทำประกันควบคู่ไปด้วยและให้คุณพ่อเซ็นเราก็คิดว่าไม่มีอะไรหลังจากนั้นก็รอแล้วรออีก จนผู้ขายก็อารมณ์เสียเพราะรอนานมาก ผู้ขายมาจากต่างจังหวัดและมีธุระต่อ เรารอเช็คจากธนาคารตั้งแต่เช้าเช็คมาถึงประมาน 19.30 น. รอจนค่ำมืด หลังจากนั้นธนาคารก็จะให้เราเซ็นเอกสารรับว่าเราเป็นหนี้เท่าไหร่ ก่อนที่คุณพ่อจะเซ็นคุณพ่อก็สงสัยว่าทำไมเรากู้ 4,500,000 บาท แต่ยอดรวมหนี้ถึงเป็น 5,011,717.50 บาท ก็เลยถามกับเจ้าหน้าที่ว่าอีกห้าแสนกว่ามาจากไหน พนักงานเลยบอกว่าเป็นค่าเบี้ยประกันโดยชำระครั้งเดียว นั่นหมายถึงเราต้องเป็นหนี้เพิ่มโดยที่เราไม่ทราบมาก่อน พนักงานไม่ได้บอกเราก่อนและไม่ชี้แจงว่าประกันที่เราทำมีข้อมูลหรือผลประโยชร์อะไรบ้างเพียงบอกแต่ว่า มีประกันชีวิตเป็นประกันหลัก(ไม่มีเบิกค่ารักษาพยาบาล ตายอย่างเดียวทุกกรณี)วงเงินเอาประกัน 3,150,000 บาทและมีสัญญาเพิ่มเติมเป็นประกันอุบัติเหตุ วงเงินเอาประกัน 3,150,000 บาท นั่นหมายความว่าถ้าเสียชีวิตโดยอุบัติเหตุวงเงินประกันรวมเป็น 6,300,000 บาท ถึงตรงนี้เราบอกได้เลยว่าเราช็อก เราช็อกเพราะเราไม่เคยซื้อบ้านและต้องทำประกันมากมายขนาดนี้ ถ้าคนเป็นหนี้น่าจะเข้าใจความรู้สึกของเราตอนนั้นว่าเป็นหนี้ก็มากพอแล้วแล้วยังเป็นหนี้โดยไม่มีเวลาได้คิด ไม่ทราบมาก่อน เท่ากับว่ามัดมือชกเราให้เป็นหนี้โดยจำยอม ไม่ชี้แจงรายละเอียด ว่าเราต้องทำยังไง ต้องตรวจสุขภาพรึป่าว ไม่มีตัวเลือกให้เราได้เลือก บอกได้เลยว่าเราก็ไม่มีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ กินไม่ได้นอนไม่หลับแต่ก็คิดเสียว่ายังไงเราก็ได้บ้านมา ช่วยกันทำช่วยกันจ่ายเดี๋ยวก็หมด... หลังจากนั้นกรมธรรม์มาที่บ้านเราก็ไม่ได้ดูเพราะที่เป็นหนี้อยู่ก็ช้ำพอแล้วไม่อยากจะดู....
         หลังจากนั้นวันที่ 12 กันยายน 2555 คุณพ่อขึ้นไปทากันรั่วกันซึมที่ขอบหลังคาหลังบ้านหลังคาไม่สูงมาก(สูงจากพื้นน่าจะ2เมตรถึง2เมตรครึ่ง ช่วงนั้นฝนตกบ่อย แล้วเราจะทำบุญขึ้นบ้านใหม่กันวันที่ 14 กันยายน 2555 และสิ่งที่ไม่คาดคิดคุณพ่อตกลงมาทะลุหลังคา ผ่าตัดสมองรักษาตัวอยู่โรงพยาบาล 28 วัน วันที่ 10 ตุลาคม 2555 คุณพ่อก็ได้จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับ ตอนนี้ก็เหลือแต่เราแม่ลูกที่ทำใจไม่ได้กับการที่ต้องสูญเสียหัวหน้าครอบครัวไป หลังจากที่คุณพ่อเสียไปประมาณ 2 อาทิตย์ เราเลยติดต่อกับทางพนักงานธนาคารที่เราติดต่อสินเชื่อด้วย(คนเดียวกับวันที่โอนที่กรมที่ดิน)ฝากเอกสารให้ หลังจากนั้นก็มีติดต่อกลับมาขอเอกสารเพิ่มเติม เราก็ส่งให้หมด รวมถึงใบมรณะบัตรที่ลงสาเหตุการตาย อุบัติเหตุตกจากที่สูง ใบชันสูตรพลิกศพ ทุกอย่างที่ขอมา แต่แล้วหลังจากนั้น 3 เดือนเพิ่งได้รับการติดต่อจากบริษัทประกันชีวิตเป็นจดหมายส่งมาที่บ้านในรายละเอียดจดหมาย  บอกล้างสัญญาและปฏิเสธสินไหมมรณกรรมโดยให้เหตุผลว่า ทางผู้เอาประกันไม่ได้เปิดเผยสาระสำคัญเกี่ยวกับสุขภาพที่ทราบดีอยู่แล้วให้บริษัททราบ จึงถือว่าสัญญาประกันชีวิตดังกล่าวเป็น โมฆียะ และคืนเบี้ยประกัน 511,717.50 บาทโดยแนบมากับจดหมาย...(แต่คิดดอกเบี้ยเราตั้งแต่ที่เราเซ็นเป็นหนี้) แต่เราไม่รับและส่งคืน
         ถึงตรงนี้เราแม่ลูกแทบช็อกว่าทำไมถึงทำกับเราได้ ตอนที่ให้เราทำก็ไม่เคยถามซักคำ ว่าเราอยากจะทำมั้ย เราไม่เอาได้รึป่าว เราต้องทำยังไงบ้าง ไม่ถามถึงว่าต้องตรวจสุขภาพมั้ย เคยเข้ารับการรักษาอะไรรึป่าว เราพึ่งมารู้ว่าที่บริษัทปฏิเสธเราเพราะเค้าดูในประวัติการรักษาก่อนที่คุณพ่อจะเกิดอุบัติเหตุพบว่าคุณพ่อเคยตรวจพบว่าเป็นเบาหวานและความดันโลหิตสูงแต่คุณพ่อไม่เคยรับการรักษาเพราะคุณพ่อดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ซึ่งถ้าถามเราแต่แรกหรือขอรายละเอียดแต่แรกเราก็ยินดี แต่ไม่มีใครหรือพนักงานคนไหนเลยมาถาม ไม่มีใครเข้ามาคุยรายละเอียดและชี้แจงให้เราทราบ ถ้าวันนี้คุณพ่อไม่จากไปทางธนาคารและบริษัทประกันก็ยังคงไม่ติดต่อมา... ไม่มีใครเข้ามาพูดและไม่มีใครให้เราได้พูด
      มา ณ. วันนี้วันที่เราสูญเสียเรายังไม่รู้ว่าเราจะอยู่กันยังไง ธนาคารและบริษัทประกันยังเอารัดเอาเปรียบเราได้ขนาดนี้ เราแม่ลูกจึงตัดสินใจเข้าไปร้องเรียนที่ คปภ. (คุ้มครองผู้เอาประกันภัย) ครั้งแรกที่เราเข้าไปร้องเรียนเราแทบจะล้มทั้งยืน ด้วยเหตุผลที่ว่าทางกฎหมายบริษัทมีสิทธิ์บอกล้างสัญญาผู้เอาประกันภายใน 2 ปี เราแม่ลูกงงไปเลย ตอนที่ให้เราเป็นหนี้ตอนที่ขายประกันให้กับเรา บริษัทไม่เคยชี้แจงไม่เคยบอกว่ามีกฎหมายผู้เอาประกันห้ามตายภายใน 2ปี ช็อกกันเลยทีเดียว แล้วอย่างนี้ใครจะช่วยเรา ทาง คปภ. แนะนำว่าถ้าจะสู้ก็ต้องจ้างทนายขึ้นศาล อย่างมากอาจจะได้แค่แสนสองแสน เราแม่ลูกแทบล้มทั้งยืน วันนี้เราโดนกระทำโดนเอารัดเอาเปรียบ เราเป็นแค่คนทำมาหากินและสูญเสียเสาหลักของครอบครัว เราสู้ทุกวิถีทางติดต่อกับพนักงานบริษัทประกันพนักงานธนาคารที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ตอนแรกก็พยายามให้เราจบโดยคืนค่าเบี้ย เพราะถ้าเราร้องเรียนพนักงานที่เกี่ยวข้องอาจโดนไล่ออก แต่คุณเคยมาดูมั้ยว่าตอนที่คุณทำให้ได้เป้าให้ได้ยอดยังมีคนที่เดือดร้อนและโดนเอารัดเอาเปรียบ ตอนนี้จะอยู่กันยังไง จนตอนนี้ เมื่อ17 กรกฎาคม 2556 (จะเกือบปีแล้ว)ทางบริษัทประกันยอมจ่ายค่าสินไหมทดแทนอุบัติเหตุ 3,150,000 บาทหักค่าเบี้ยอุบัติเหตุ(เพิ่มเติม) 44,163 บาท ยอดสินไหมสุทธิ 3,105,837 บาท โดยเช็คสั่งจ่ายธนาคารเพื่อหักค่าสินเชื่อบ้าน.
        เราเองพยายามอธิบายว่าตอนที่คุณขายคุณบอกว่าประกันหลักจ่ายให้สำหรับตายทุกกรณี มาวันนี้ยังมีหน้ามาหาจุดบอดของกรมธรรม์เพื่อเอาเปรียบประชาชนอย่างเรา ใจคุณทำด้วยอะไร วันนี้จะให้เราขึ้นศาลเราก็ไม่มีปัญญาจะจ้างทนายเราเองก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้ ถ้าตามหลักกฎหมายเราคงไม่เป็นมืออาชีพอย่างเค้า แต่ตามหลักมนุษยธรรม บริษัทประกันและธนาคารเอาเปรียบเราทุกวิถีทาง วันนี้เราแม่ลูกที่ออกมาเรียกร้องเราไม่ได้หลับหูหลับตาเรียกร้องเกินความเป็นจริงที่เราต้องได้ แต่นั่นเป็นสิทธิ์ตามความเป็นจริงที่เราต้องได้ มันเทียบไม่ได้กับการสูญเสียคนที่เรารัก มันเทียบไม่ได้จริงๆ
         เราแม่ลูกอยากให้ธนาคารและบริษัทประกันออกมารับผิดชอบจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ครบตามจำนวนที่เอาประกัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่