วันนี้มาเสนอแนวคิด (ที่นั่งเทียนคิดไปเอง) ว่าจริงๆแล้วทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนเป็นไปตามวิถีธรรมชาติ
ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจ และ ตลาดเงิน ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็สัมพันธ์กับธรรมชาติถ้าสืบสาวราวเรื่องขึ้นไป
คือ...เรื่องมีอยู่ว่า มนุษย์เราทุกคนก็จะต้องทำกิจกรรมอะไรต่างๆและทำมาหากิน ตลอดเวลา ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่
เพื่อหาทรัพย์สินเงินทองมาเป็นสื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ บริการต่างๆใช้ในการดำรงชีวิตของเรา (เพราะมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
คงไม่มีใครสามารถเลี้ยงหมู ปลูกข้าว หาปลา คิดค้นยา รักษาโรค ผลิตคอมพิวเตอร์ โปรแกรมต่างๆได้ในคนเดียว)
แล้วที่นี้ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ ที่มนุษย์เราจะรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยขึ้นๆๆเรื่อยๆทุกปีๆ เพราะถ้ามนุษย์ทุกคนคิดว่าตัวเองรวยขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์ก็จะทำงานน้อยลง ไม่หาเงินอีก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้-- ซึ่งก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมนุษย์มีความต้องการบริโภคตลอดชีวิต
เมื่อคนเริ่มจะไม่ทำงานแล้ว ต่อให้มีทรัพย์สินเงินทองมากเพียงใด สินค้าและบริการเข้าถึงยากขึ้น จึงทำให้มันมีราคาสูงขึ้นๆๆ
เงินเฟ้อ มันก็เลยเหมือนเงา ที่ติดตามมนุษย์ทุกคนอยู่ตลอดเวลา มนุษย์ไม่มีทางหนีสิ่งนี้พ้น เมื่อเศรษฐกิจขยายตัว GDP สูง
และเมื่อเงินเฟ้อต่ำ หรือเงินฝืด นั่นหมายถึง มนุษย์ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว GDP ต่ำลง เศรษฐกิจหด คนจะรู้สึกลำบาก อยู่กันอย่างไม่สุขล่ะ เพราะคนไม่จับจ่าย ผลกระทบเป็นลูกโซ่อีก
มนุษย์จึงทำทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ส่งเสริมการลงทุนโดยการลดดอกเบี้ย หรือ อัดฉีดเงินเพิ่ม (เพื่อหลอกระบบ ให้ลูกโช่ฟื้น)
ซึ่งถ้าดูตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าขยายไปมากๆ วันนึงมันก็ต้องหดลง
มันเป็นไปตามวัฎจักร ซึ่งนโยบายของเราอาจจะทำได้เพียงแต่ ยืด และ หด ระยะเวลานั้นๆเท่านั้น คือ ยืดช่วงที่มีความสุข หดเวลาที่ทรมาน
เราจะเห็นว่า ไอสิ่งที่ยืดๆหดๆตามธรรมชาตินี่ มันก็เหมือน ดัชนีหุ้น ที่มีทั้งขาขึ้น และขาลง ที่สะท้อนมาจากพื้นฐาน
แต่โดยภาพใหญ่แล้ว 20 ปี 50 ปี 100 ปี โลกนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป ดัชนี ก็น่าจะมีแนวโน้มขึ้น เพราะโลกนี้ต้องพัฒนาไป ขยายไปตลอดเวลา จะไม่ยอมให้คนอยู่เฉยๆ
สรุปคือ ธรรมชาติ มันบีบบังคับ ให้ผู้คนโดยมากต้องทำงาน ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
แต่ระหว่างทาง เราก็อาจจะเจอวิกฤต และ สิ่งต่างๆผ่านเข้ามาเป็นบททดสอบ หกล้มคลุกคลานกันไป บ้างเจ๊ง บ้างรวย
และคนแบบไหนล่ะที่จะรวย คุณสมบัติที่แท้จริงคืออะไร ลองคิดดู
เนื่องจากทุกคนก็ต่างมีความโลภและความกลัว ทั้งนี้ลึกๆแล้วก็เพื่อความอยู่รอด
ทิ้งปริศนาไว้แต่เพียงเท่านี้
---- จบข่าว
ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ รวมถึงเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องหุ้น ?
ไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องเศรษฐกิจ และ ตลาดเงิน ซึ่งเรื่องพวกนี้ก็สัมพันธ์กับธรรมชาติถ้าสืบสาวราวเรื่องขึ้นไป
คือ...เรื่องมีอยู่ว่า มนุษย์เราทุกคนก็จะต้องทำกิจกรรมอะไรต่างๆและทำมาหากิน ตลอดเวลา ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่
เพื่อหาทรัพย์สินเงินทองมาเป็นสื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ บริการต่างๆใช้ในการดำรงชีวิตของเรา (เพราะมนุษย์ต้องพึ่งพาอาศัยกัน
คงไม่มีใครสามารถเลี้ยงหมู ปลูกข้าว หาปลา คิดค้นยา รักษาโรค ผลิตคอมพิวเตอร์ โปรแกรมต่างๆได้ในคนเดียว)
แล้วที่นี้ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ ที่มนุษย์เราจะรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยขึ้นๆๆเรื่อยๆทุกปีๆ เพราะถ้ามนุษย์ทุกคนคิดว่าตัวเองรวยขึ้นเรื่อยๆ
มนุษย์ก็จะทำงานน้อยลง ไม่หาเงินอีก [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
และเมื่อเงินเฟ้อต่ำ หรือเงินฝืด นั่นหมายถึง มนุษย์ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว GDP ต่ำลง เศรษฐกิจหด คนจะรู้สึกลำบาก อยู่กันอย่างไม่สุขล่ะ เพราะคนไม่จับจ่าย ผลกระทบเป็นลูกโซ่อีก
มนุษย์จึงทำทุกวิถีทางเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น ส่งเสริมการลงทุนโดยการลดดอกเบี้ย หรือ อัดฉีดเงินเพิ่ม (เพื่อหลอกระบบ ให้ลูกโช่ฟื้น)
ซึ่งถ้าดูตามธรรมชาติของมนุษย์แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เศรษฐกิจจะขยายตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าขยายไปมากๆ วันนึงมันก็ต้องหดลง
มันเป็นไปตามวัฎจักร ซึ่งนโยบายของเราอาจจะทำได้เพียงแต่ ยืด และ หด ระยะเวลานั้นๆเท่านั้น คือ ยืดช่วงที่มีความสุข หดเวลาที่ทรมาน
เราจะเห็นว่า ไอสิ่งที่ยืดๆหดๆตามธรรมชาตินี่ มันก็เหมือน ดัชนีหุ้น ที่มีทั้งขาขึ้น และขาลง ที่สะท้อนมาจากพื้นฐาน
แต่โดยภาพใหญ่แล้ว 20 ปี 50 ปี 100 ปี โลกนี้ก็ต้องดำเนินต่อไป ดัชนี ก็น่าจะมีแนวโน้มขึ้น เพราะโลกนี้ต้องพัฒนาไป ขยายไปตลอดเวลา จะไม่ยอมให้คนอยู่เฉยๆ
สรุปคือ ธรรมชาติ มันบีบบังคับ ให้ผู้คนโดยมากต้องทำงาน ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
แต่ระหว่างทาง เราก็อาจจะเจอวิกฤต และ สิ่งต่างๆผ่านเข้ามาเป็นบททดสอบ หกล้มคลุกคลานกันไป บ้างเจ๊ง บ้างรวย
และคนแบบไหนล่ะที่จะรวย คุณสมบัติที่แท้จริงคืออะไร ลองคิดดู
เนื่องจากทุกคนก็ต่างมีความโลภและความกลัว ทั้งนี้ลึกๆแล้วก็เพื่อความอยู่รอด
ทิ้งปริศนาไว้แต่เพียงเท่านี้
---- จบข่าว