เมื่อวันก่อนไปเจอหนังสือแจกฟรี คล้ายๆหนังสือพิมพ์ แถวฟิวเจอร์พาร์ครังสิตมาครับ ชื่อหนังสือ ฟัคกิ้ง นิว (กติเคยเห็นแต่เฟคกิ้ง นิว)
เห็นมันวางอยู่3เล่มที่ทางขึ้นบรรได เห็นว่าน่าสนใจดีเลยแกะเนื้อมาให้อ่าน ผมรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวด้วย
เป็นประเด็นศาสนาที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันเลย ยังไงลองอ่านดู (ที่จริงยาว 12กระดาษเอสี่ มีหลายเรื่อง แล้วก็มีภาพที่ไม่มีการเซนเซอร์ด้วย แต่ผมแกะมาได้เท่านี้ แหะๆ ขี้เกียจด้วย ยุ่งด้วยครับ พิมพ์ผิดก็ขออภัย)
ศาสนาพุธร หรือ พารห์ม? ชมรมต่อต้านส่งงมงาย เหล่า Atheist (เอทิสต์)กลุ่มคนไม่มีศาสนาต่อต้านเทพเจ้า
ในช่วงนี้กระแสศาสนากำลังมาแรงจนเป็นที่จับตาของคนทั้งประเทศ ทุกสื่อเสนอข่าวกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นศาสนา และเหล่าพระสงฆ์เก๊ทั้งหลายแหล่ พระตุ๊ด พระเกย์ หรือแม้แต่เหล่ามิจฉาชีพในคราบผ้าเหลือง ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคคลที่อ้างถึงเทพเจ้า หลอกล่อให้ผู้คนหลงเชื่อในการทำทาน ทำบุญ รูปแบบต่างๆ โดยใช้ศาสนาพุธมาอ้าง ใช้พระธรรมคำสอนที่ตนอุตริคิดขึ้นมาเองมาหากินกับประชาชนที่มีจิตใจอ่อนไหว ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คต่างๆมีการก่อตั้งกลุ่มคนต่อต้านสิ่งงมงายขึ้นมาซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอย่างมาก ทั้งกลุ่มเอทิสต์หรือกลุ่มคนที่ไม่เชื่อในศาสนาโดยอ้างถึงหลักวิทยาศาสตร์ เรื่องเหตุและผล
ในขณะเดียวกันพุธรศาสนิกชนก็รุกขึ้นต่อต้านเพจต่างๆ หาว่าไม่ให้ความเคารพกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือลบหลู่ในองค์เทพบ้าง โดยมีการเอาคำสอนของพระพุธรเจ้ามาอ้างกันไปมา ต่างฝ่ายต่างเชื่อในสิ่งที่ตนเข้าใจและกำลังเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากว่า จริงแล้วนั้น สิ่งที่เรานับถืออยู่เป็น ศาสนาพุธรที่แท้จริงหรือศาสนาพราหมณ์กันแน่?
ในเมื่อสมัยที่พระพุธเจ้าเกิดนั้นพระองค์เกิดขึ้นท่ามกลางความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาที่เชื่อในเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเจ้าแม่ต่างๆรวมถึงเหล่าเทวดา ในพุธประวัติก็ยังมีการแต่งเสริมเติมเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือตามฉบับพราหมณ์โดยการใส่จินตนาการ ใส่องค์เทพต่างๆลงไป อย่างในตอนที่พระองค์กำเนิดก็ได้มีการเขียนเอาไว้ว่ามีเหล่าเทวดามาคอยต้อนรับ ซึ่งเทวดาก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ แต่ในความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเทวดามีตัวตนจริงหรือไม่ แต่ได้มีการเล่าเรื่องราวต่อๆกันมาซึ่งชาวอินเดียเป็นคนเขียนพุธประวัติ เราจึงเข้าใจผิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพองค์ ทรงเจ้า เป็นศาสนาพุธ แก่นของความเป็นพุธแท้จริงแล้วนั้นมีเพียงหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุธเจ้าที่สามารถพิสูจน์ได้จริง มีเหตุและผล ไม่เชื่อตามคำบอกของใคร แต่จงใช้สติปัญญาไตร่ตรองก่อนจะเชื่อ ซึ่งคำสอนของศาสนาพุธโดยแท้ไม่ผิดกับหลักวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีเทพองค์ ไม่เชื่อในผีสาง อีกทั้งยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเรื่องราวที่เขียนในพุธประวัติเป็นเรื่องจริง
หนังสือฟรี ไร้สังกัด The real ขอตีแผร่ แฉ ความเชื่องมงาย และอุบายต่างๆที่เหล่ามิจฉาชีพหลอกล่อเราจากความเชื่อที่เรียกว่าอุปทานหมู่ การวางการตลาด และสิ่งที่เรียกว่าคิดไปเองสำหรับคนจิตใจอ่อนแอ – ยุคสมัยที่วุ่นวายและผู้คนจิตใจอ่อนแอลงทุกวัน เราต่างล้วนต้องการที่พึ่งทางจิตใจ ซึ่งเหตุนี้เองเพราะจิตใจของเราอ่อนแอจึงเป็นช่องทางให้เหล่ามิจฉาชีพมาล่อลวงให้หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริงและไม่ถูกต้อง โดยอ้างชื่อศาสนาพุธ อ้างหลักธรรมคำสอนของพระพุธเจ้า เมื่อบุคคลหลงเชื่อโดยไม่ไตร่ตรองก็นำไปสู่การสูญเสียทรัพย์ต่างๆซึ่งคนเหล่านี้จะใช้หลักอุบายง่ายๆคืออุปทานหมู่ อุปทานหมู่อธิบายง่ายๆคือการทำตาม หรือ เชื่อตามบุคคลส่วนมากอย่างไม่มีเหตุผล อาการเหล่านี้พิสูจน์ได้ตามหลักจิตวิทยาซึ่งเราจะคิดไปเองตามคนหมู่มาก เชื่อตามๆกัน ไปอย่างมองไม่เห็นความจริง
ปัจจัยที่๒ คือการคิดไปเอง มีการทดสอบโดยการสุ่มคน10คน ที่มีวันเดือนปีเกิดและหน้าที่การงานต่างกัน และแจกใบทำนายดวงที่มีคำทำนายเหมือนกันให้แยกกันอ่าน ปรากฏว่ามี7คนที่เชื่อว่าคำทำนายเหล่านั้นแม่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำทำนายเหมือนกันหมดทั้ง10ใบ การทดลองนี้เป็นการพิสูจน์ว่าเมื่อเราได้อ่านคำนายเราจะหาข้อที่ตรงกับตัวเองมาเชื่อมโยงกัน โดยคำทำนายนั้นๆอาจเป็นการทำนายทั่วๆไป ไม่เจาะจงเรื่องใด แต่เราจะนำมันมาเชื่อมโยงให้ตรงกับตัวเราเอง
ปัจจัยที่๓ เกิดจากจิตใจที่อ่อนแอไร้ที่พึ่ง มิจฉาชีพในคราบนักบุญมักมีจิตวิทยาในการพูดจาโน้มน้าวเรา พูดเข้าข้างเราเพื่อให้เกิดกำลังใจและแรงศรัทธา เช่นบอกว่าเรามีกรรม ชีวิตจะยังไม่ดีขึ้นหากไม่ทำบุญกับทางสำนักของตน เมื่อเราเชื่อก็เข้าทางมิจฉาชีพ อาจโดนหลอกเอาทรัพย์สินอีกมากมาย โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนทำอยู่มิใช่แก่นของศาสนาพุธ
ปัจจัยที่๓ การวางการตลาดของลัทธิหรือวัดนั้นๆ เช่น ให้นักข่าวปลอมที่จ้างมาคอยติดตามถ่ายทำ โฆษณาออกสื่อต่างๆ จัดรถขบวนติดตามพระสงฆ์ จัดหน้าม้ามาทำเป็นผู้เลื่อมใส่เพื่อก่อให้เกิดกระแสนิยมหรืออุปทานหมู่ ทำให้ผู้คนหลั่งใหลกันเข้ามาทำบุญที่มีเอาพุธศาสนามาบังหน้า อย่าง กรณี หลวงปู่เณรคำ ที่กำลังเป็นกระแสวิพากย์วิจารณ์กันมากในขณะนี้ หรืออย่างวัดพระธรรมกาย ที่ดูจะเป็นลัทธิมากกว่าพุธศาสนิกชน
ที่ได้กล่าวไปเป็นปัจจัยย่อๆที่กลุ่มคนเหล่านี้ใช้มาหลอกล่อประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภัยต่อสังคมทั้งสิ้นและมีให้เห็นในหลายตัวอย่าง อีกทั้งยังเป็นการทำให้เหล่าพุธศาสนิกชน พระสงฆ์ หรือศาสนาพุธเสื่อมเสีย เป็นการทำให้เข้าใจผิดหลักธรรมคำสอน ซึ่งมีผลต่อพุธศาสนาอย่างไรขอให้อ่านในประเด็นถัดไป
ศังกราจารย์ บุคคลที่ชาวพุธไม่ค่อยรู้จักแต่ควรจะรู้จักให้มากที่สุด ในตำนานย้อนรอยประวัติศาสตร์การเสื่อมสลายของพุธศาสนาในชมพูทวีป ศังกราจารย์เป็นนักปราชญ์อัจฉริยะที่สามารถดึงดูดพุธศาสนิกชนไปเข้าลัทธิของตนเองได้อย่างแนบเนียน โดยทำทีเป็นอ้างว่านับถือศาสนาพุธ แต่ยกให้องค์เทพพระศิวะ หรือองค์เทพต่างๆเป็นสิ่งสูงสุด ซึ่งไม่ใช่ศาสนพุธอย่างแท้จริง แต่เป็นการสมอ้างโดยนำพระพุธเจ้ามาอ้างเพื่อหลอกล่อให้คนหลงเชื่อ และส่งผลให้มีการครอบงำกลืนกินพุธศาสนาไปอย่างแนบเนียน แต่งคำภีร์ คำสอนในลัทธิตัวเองให้สอดคล้องกับพระพุธเจ้าเสีย คือให้พระพุธเจ้าเป็นปรางที่๙ ของพระนารายณ์ ด้วยกลอุบายอันแยบยลนี้ทำให้พุธศาสนิกชนที่มีอยู่ก็กลายเป็นศาสนิกชนในลัทธิของศังกราจารย์ไปด้วย ซึ่งลัทธิของศังกราจารย์ก็มีการก่อตั้งวัดและสังฆะพระตามแบบพุธศาสนาเช่นกัน แต่ผิดกันที่จุดประสงค์ของศังกราจารย์นั้นคือการฝึกสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ฝึกการเป็นยอดคนและแฝงตัวไปอาศัยตามวัดเลียนแบพระพุธเจ้า มีการนำพิธีกรรมหลักคำสอนไปปรับแต่งให้เปลี่ยนไปตามจุดประสงค์ของลัทธิ ทำให้การแทรกซึมเข้าไปในพุธศาสนิกชนนันเป็นเรื่องง่าย และค่อยๆยึดวัดที่เป็นพุธศาสนามาเป็นวัดในลัทธิตัวเอง
หากมองให้ตรงกับปัจจุบันแล้ว เราชาวพุธก็กำลังเจอกับปัญหานี้เช่นกัน อาทิ คนทรงเจ้า ลัทธิแฝง หรือแม้แต่คนที่บวชมาเพื่อใช้คำสอนที่ไม่เป็นจริงหลอกล่อเอาทรัพย์จากประชาชนตามปัจจัยที่ได้กล่าวไป และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของพุธศาสนาเสื่อมลงทุกที เหตุเพราะพุธศาสนิกชนไม่เข้าใจในหลักคำสอน ชอบเรื่องงมงาย การอ้อนวรขอพรต่อสิ่งศักดิสิทธิ์อย่างไม่คิดจะช่วยเหลือตนเอง จิตใจอ่อนไหวไม่มีสติ มีความรู้หากแต่ไม่มีความคิด ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคนที่หลงเชื่อเรื่องเหล่านี้มักเป็นคนมีเงินมีการศึกษาทั้งสิ้น แต่กลับไม่เชื่อมั่นในตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจแก่ชาวพุธยิ่งนัก
การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมเหล่าพระสงฆ์บนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก
นี่ก็เป็นอีกประเด็นฮิตที่ชาวโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กกำลังนิยมการวิพากษ์วิจารณ์ ภาพพระ – เณร ในพฤติกรรมที่ไม่สำรวมต่างๆนาๆที่เจ้าตัวโพสลงเฟสบุ้คแล้วหลุดออกมา หรือคำสอนที่ไม่ตรงกับหลักศาสนา อีกทั้งการล้อเลียนพระต่างๆอย่างสนุกสนาน ซึ่งมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยและเห็นว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น เรียกท่าน ว.วชิรเมธี ว่า หลวงเจ๊ ล้อเลียนลัทธิพระธรรมกาย่า หรือบ้านสวนพีระมิดที่มี สโลแกนด์ อาจารย์อุบลช่วยด้วย ใช้คำไม่เหมาะสม อย่างเช่น หลวงปู่เณรคำดวย ซึ่งเพจเหล่านี้จะทำการล้อเลียนหรือวิพากษ์วิจารณ์คำสอนในลัทธิไปในลักษณะต่างๆ หลบหลู่พิธีกรรมต่างๆ จนเป็นที่สนุกสนานของชาวเพจ แต่กลุ่มคนที่เคารพสิ่งเหล่านี้มองว่าเป็นการกระทำที่ไร้ซึ้งมารยาท ไม่ให้เกรียติให้การเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และงัดเหตุผลต่างๆนาๆมาถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนภาพเณรที่มีพฤติไม่เหมาะสม ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปากเช่นกัน แต่ก็ยังมีผู้เห็นแย้งว่าเณรเหล่านี้อาจจะเพิ่งบวชได้ไม่นานและยังไม่สามารถละกิเลส บ้างก็อ้างเป็นการบวชหน้าไฟ บวชฤดูร้อน แต่ยังไม่เป็นที่วิจารณ์รุนแรงเหมือนประเด็นลัทธิ แต่ออกไปในเชิงขำขัน.
ที่จริงมีอีกคอลัมนึงนี่ผมชอบเป็นพิเศษ แต่อาจดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ คงเป็นเด็มหาลัยทำหรือยังไงก็ไม่ทราบ แต่อ่านแล้วกวนๆดี เป็นรวบรวมพระฉาวลัทธิเพี้ยน ตอนนี้สองจิตสองใจว่าจะลงดีมั้ย เดี๋ยวมีประเด็นดราม่า แต่ผมเชื่อว่าคนที่ไปฟิวเจอร์ เมื่อวันเสาร์ตอนบ่ายๆน่าจะได้เหมือนผมเช่นกัน เอาเป็นว่าวันนี้ลงแคนี้ก่อนครับ "D
ศาสนาพุธหรือพรามหณ์?
เห็นมันวางอยู่3เล่มที่ทางขึ้นบรรได เห็นว่าน่าสนใจดีเลยแกะเนื้อมาให้อ่าน ผมรู้สึกชอบเป็นการส่วนตัวด้วย
เป็นประเด็นศาสนาที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันเลย ยังไงลองอ่านดู (ที่จริงยาว 12กระดาษเอสี่ มีหลายเรื่อง แล้วก็มีภาพที่ไม่มีการเซนเซอร์ด้วย แต่ผมแกะมาได้เท่านี้ แหะๆ ขี้เกียจด้วย ยุ่งด้วยครับ พิมพ์ผิดก็ขออภัย)
ศาสนาพุธร หรือ พารห์ม? ชมรมต่อต้านส่งงมงาย เหล่า Atheist (เอทิสต์)กลุ่มคนไม่มีศาสนาต่อต้านเทพเจ้า
ในช่วงนี้กระแสศาสนากำลังมาแรงจนเป็นที่จับตาของคนทั้งประเทศ ทุกสื่อเสนอข่าวกันอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับประเด็นศาสนา และเหล่าพระสงฆ์เก๊ทั้งหลายแหล่ พระตุ๊ด พระเกย์ หรือแม้แต่เหล่ามิจฉาชีพในคราบผ้าเหลือง ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคคลที่อ้างถึงเทพเจ้า หลอกล่อให้ผู้คนหลงเชื่อในการทำทาน ทำบุญ รูปแบบต่างๆ โดยใช้ศาสนาพุธมาอ้าง ใช้พระธรรมคำสอนที่ตนอุตริคิดขึ้นมาเองมาหากินกับประชาชนที่มีจิตใจอ่อนไหว ในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คต่างๆมีการก่อตั้งกลุ่มคนต่อต้านสิ่งงมงายขึ้นมาซึ่งกำลังเป็นที่สนใจอย่างมาก ทั้งกลุ่มเอทิสต์หรือกลุ่มคนที่ไม่เชื่อในศาสนาโดยอ้างถึงหลักวิทยาศาสตร์ เรื่องเหตุและผล
ในขณะเดียวกันพุธรศาสนิกชนก็รุกขึ้นต่อต้านเพจต่างๆ หาว่าไม่ให้ความเคารพกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือลบหลู่ในองค์เทพบ้าง โดยมีการเอาคำสอนของพระพุธรเจ้ามาอ้างกันไปมา ต่างฝ่ายต่างเชื่อในสิ่งที่ตนเข้าใจและกำลังเป็นข้อถกเถียงกันอย่างมากว่า จริงแล้วนั้น สิ่งที่เรานับถืออยู่เป็น ศาสนาพุธรที่แท้จริงหรือศาสนาพราหมณ์กันแน่?
ในเมื่อสมัยที่พระพุธเจ้าเกิดนั้นพระองค์เกิดขึ้นท่ามกลางความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาที่เชื่อในเทพเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเจ้าแม่ต่างๆรวมถึงเหล่าเทวดา ในพุธประวัติก็ยังมีการแต่งเสริมเติมเรื่องให้ดูน่าเชื่อถือตามฉบับพราหมณ์โดยการใส่จินตนาการ ใส่องค์เทพต่างๆลงไป อย่างในตอนที่พระองค์กำเนิดก็ได้มีการเขียนเอาไว้ว่ามีเหล่าเทวดามาคอยต้อนรับ ซึ่งเทวดาก็เป็นอีกหนึ่งความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ แต่ในความเป็นจริงนั้นเราไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเทวดามีตัวตนจริงหรือไม่ แต่ได้มีการเล่าเรื่องราวต่อๆกันมาซึ่งชาวอินเดียเป็นคนเขียนพุธประวัติ เราจึงเข้าใจผิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพองค์ ทรงเจ้า เป็นศาสนาพุธ แก่นของความเป็นพุธแท้จริงแล้วนั้นมีเพียงหลักคำสอนของพระสัมมาสัมพุธเจ้าที่สามารถพิสูจน์ได้จริง มีเหตุและผล ไม่เชื่อตามคำบอกของใคร แต่จงใช้สติปัญญาไตร่ตรองก่อนจะเชื่อ ซึ่งคำสอนของศาสนาพุธโดยแท้ไม่ผิดกับหลักวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีเทพองค์ ไม่เชื่อในผีสาง อีกทั้งยังไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเรื่องราวที่เขียนในพุธประวัติเป็นเรื่องจริง
หนังสือฟรี ไร้สังกัด The real ขอตีแผร่ แฉ ความเชื่องมงาย และอุบายต่างๆที่เหล่ามิจฉาชีพหลอกล่อเราจากความเชื่อที่เรียกว่าอุปทานหมู่ การวางการตลาด และสิ่งที่เรียกว่าคิดไปเองสำหรับคนจิตใจอ่อนแอ – ยุคสมัยที่วุ่นวายและผู้คนจิตใจอ่อนแอลงทุกวัน เราต่างล้วนต้องการที่พึ่งทางจิตใจ ซึ่งเหตุนี้เองเพราะจิตใจของเราอ่อนแอจึงเป็นช่องทางให้เหล่ามิจฉาชีพมาล่อลวงให้หลงเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นจริงและไม่ถูกต้อง โดยอ้างชื่อศาสนาพุธ อ้างหลักธรรมคำสอนของพระพุธเจ้า เมื่อบุคคลหลงเชื่อโดยไม่ไตร่ตรองก็นำไปสู่การสูญเสียทรัพย์ต่างๆซึ่งคนเหล่านี้จะใช้หลักอุบายง่ายๆคืออุปทานหมู่ อุปทานหมู่อธิบายง่ายๆคือการทำตาม หรือ เชื่อตามบุคคลส่วนมากอย่างไม่มีเหตุผล อาการเหล่านี้พิสูจน์ได้ตามหลักจิตวิทยาซึ่งเราจะคิดไปเองตามคนหมู่มาก เชื่อตามๆกัน ไปอย่างมองไม่เห็นความจริง
ปัจจัยที่๒ คือการคิดไปเอง มีการทดสอบโดยการสุ่มคน10คน ที่มีวันเดือนปีเกิดและหน้าที่การงานต่างกัน และแจกใบทำนายดวงที่มีคำทำนายเหมือนกันให้แยกกันอ่าน ปรากฏว่ามี7คนที่เชื่อว่าคำทำนายเหล่านั้นแม่น โดยที่ไม่รู้เลยว่าคำทำนายเหมือนกันหมดทั้ง10ใบ การทดลองนี้เป็นการพิสูจน์ว่าเมื่อเราได้อ่านคำนายเราจะหาข้อที่ตรงกับตัวเองมาเชื่อมโยงกัน โดยคำทำนายนั้นๆอาจเป็นการทำนายทั่วๆไป ไม่เจาะจงเรื่องใด แต่เราจะนำมันมาเชื่อมโยงให้ตรงกับตัวเราเอง
ปัจจัยที่๓ เกิดจากจิตใจที่อ่อนแอไร้ที่พึ่ง มิจฉาชีพในคราบนักบุญมักมีจิตวิทยาในการพูดจาโน้มน้าวเรา พูดเข้าข้างเราเพื่อให้เกิดกำลังใจและแรงศรัทธา เช่นบอกว่าเรามีกรรม ชีวิตจะยังไม่ดีขึ้นหากไม่ทำบุญกับทางสำนักของตน เมื่อเราเชื่อก็เข้าทางมิจฉาชีพ อาจโดนหลอกเอาทรัพย์สินอีกมากมาย โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนทำอยู่มิใช่แก่นของศาสนาพุธ
ปัจจัยที่๓ การวางการตลาดของลัทธิหรือวัดนั้นๆ เช่น ให้นักข่าวปลอมที่จ้างมาคอยติดตามถ่ายทำ โฆษณาออกสื่อต่างๆ จัดรถขบวนติดตามพระสงฆ์ จัดหน้าม้ามาทำเป็นผู้เลื่อมใส่เพื่อก่อให้เกิดกระแสนิยมหรืออุปทานหมู่ ทำให้ผู้คนหลั่งใหลกันเข้ามาทำบุญที่มีเอาพุธศาสนามาบังหน้า อย่าง กรณี หลวงปู่เณรคำ ที่กำลังเป็นกระแสวิพากย์วิจารณ์กันมากในขณะนี้ หรืออย่างวัดพระธรรมกาย ที่ดูจะเป็นลัทธิมากกว่าพุธศาสนิกชน
ที่ได้กล่าวไปเป็นปัจจัยย่อๆที่กลุ่มคนเหล่านี้ใช้มาหลอกล่อประชาชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นภัยต่อสังคมทั้งสิ้นและมีให้เห็นในหลายตัวอย่าง อีกทั้งยังเป็นการทำให้เหล่าพุธศาสนิกชน พระสงฆ์ หรือศาสนาพุธเสื่อมเสีย เป็นการทำให้เข้าใจผิดหลักธรรมคำสอน ซึ่งมีผลต่อพุธศาสนาอย่างไรขอให้อ่านในประเด็นถัดไป
ศังกราจารย์ บุคคลที่ชาวพุธไม่ค่อยรู้จักแต่ควรจะรู้จักให้มากที่สุด ในตำนานย้อนรอยประวัติศาสตร์การเสื่อมสลายของพุธศาสนาในชมพูทวีป ศังกราจารย์เป็นนักปราชญ์อัจฉริยะที่สามารถดึงดูดพุธศาสนิกชนไปเข้าลัทธิของตนเองได้อย่างแนบเนียน โดยทำทีเป็นอ้างว่านับถือศาสนาพุธ แต่ยกให้องค์เทพพระศิวะ หรือองค์เทพต่างๆเป็นสิ่งสูงสุด ซึ่งไม่ใช่ศาสนพุธอย่างแท้จริง แต่เป็นการสมอ้างโดยนำพระพุธเจ้ามาอ้างเพื่อหลอกล่อให้คนหลงเชื่อ และส่งผลให้มีการครอบงำกลืนกินพุธศาสนาไปอย่างแนบเนียน แต่งคำภีร์ คำสอนในลัทธิตัวเองให้สอดคล้องกับพระพุธเจ้าเสีย คือให้พระพุธเจ้าเป็นปรางที่๙ ของพระนารายณ์ ด้วยกลอุบายอันแยบยลนี้ทำให้พุธศาสนิกชนที่มีอยู่ก็กลายเป็นศาสนิกชนในลัทธิของศังกราจารย์ไปด้วย ซึ่งลัทธิของศังกราจารย์ก็มีการก่อตั้งวัดและสังฆะพระตามแบบพุธศาสนาเช่นกัน แต่ผิดกันที่จุดประสงค์ของศังกราจารย์นั้นคือการฝึกสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ฝึกการเป็นยอดคนและแฝงตัวไปอาศัยตามวัดเลียนแบพระพุธเจ้า มีการนำพิธีกรรมหลักคำสอนไปปรับแต่งให้เปลี่ยนไปตามจุดประสงค์ของลัทธิ ทำให้การแทรกซึมเข้าไปในพุธศาสนิกชนนันเป็นเรื่องง่าย และค่อยๆยึดวัดที่เป็นพุธศาสนามาเป็นวัดในลัทธิตัวเอง
หากมองให้ตรงกับปัจจุบันแล้ว เราชาวพุธก็กำลังเจอกับปัญหานี้เช่นกัน อาทิ คนทรงเจ้า ลัทธิแฝง หรือแม้แต่คนที่บวชมาเพื่อใช้คำสอนที่ไม่เป็นจริงหลอกล่อเอาทรัพย์จากประชาชนตามปัจจัยที่ได้กล่าวไป และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของพุธศาสนาเสื่อมลงทุกที เหตุเพราะพุธศาสนิกชนไม่เข้าใจในหลักคำสอน ชอบเรื่องงมงาย การอ้อนวรขอพรต่อสิ่งศักดิสิทธิ์อย่างไม่คิดจะช่วยเหลือตนเอง จิตใจอ่อนไหวไม่มีสติ มีความรู้หากแต่ไม่มีความคิด ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าคนที่หลงเชื่อเรื่องเหล่านี้มักเป็นคนมีเงินมีการศึกษาทั้งสิ้น แต่กลับไม่เชื่อมั่นในตัวเองซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสลดใจแก่ชาวพุธยิ่งนัก
การวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมเหล่าพระสงฆ์บนโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก
นี่ก็เป็นอีกประเด็นฮิตที่ชาวโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กกำลังนิยมการวิพากษ์วิจารณ์ ภาพพระ – เณร ในพฤติกรรมที่ไม่สำรวมต่างๆนาๆที่เจ้าตัวโพสลงเฟสบุ้คแล้วหลุดออกมา หรือคำสอนที่ไม่ตรงกับหลักศาสนา อีกทั้งการล้อเลียนพระต่างๆอย่างสนุกสนาน ซึ่งมีหลายคนที่ไม่เห็นด้วยและเห็นว่าการกระทำเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม เช่น เรียกท่าน ว.วชิรเมธี ว่า หลวงเจ๊ ล้อเลียนลัทธิพระธรรมกาย่า หรือบ้านสวนพีระมิดที่มี สโลแกนด์ อาจารย์อุบลช่วยด้วย ใช้คำไม่เหมาะสม อย่างเช่น หลวงปู่เณรคำดวย ซึ่งเพจเหล่านี้จะทำการล้อเลียนหรือวิพากษ์วิจารณ์คำสอนในลัทธิไปในลักษณะต่างๆ หลบหลู่พิธีกรรมต่างๆ จนเป็นที่สนุกสนานของชาวเพจ แต่กลุ่มคนที่เคารพสิ่งเหล่านี้มองว่าเป็นการกระทำที่ไร้ซึ้งมารยาท ไม่ให้เกรียติให้การเคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์และงัดเหตุผลต่างๆนาๆมาถกเถียงกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนภาพเณรที่มีพฤติไม่เหมาะสม ก็ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างสนุกปากเช่นกัน แต่ก็ยังมีผู้เห็นแย้งว่าเณรเหล่านี้อาจจะเพิ่งบวชได้ไม่นานและยังไม่สามารถละกิเลส บ้างก็อ้างเป็นการบวชหน้าไฟ บวชฤดูร้อน แต่ยังไม่เป็นที่วิจารณ์รุนแรงเหมือนประเด็นลัทธิ แต่ออกไปในเชิงขำขัน.
ที่จริงมีอีกคอลัมนึงนี่ผมชอบเป็นพิเศษ แต่อาจดูไม่เหมาะสมเท่าไหร่ คงเป็นเด็มหาลัยทำหรือยังไงก็ไม่ทราบ แต่อ่านแล้วกวนๆดี เป็นรวบรวมพระฉาวลัทธิเพี้ยน ตอนนี้สองจิตสองใจว่าจะลงดีมั้ย เดี๋ยวมีประเด็นดราม่า แต่ผมเชื่อว่าคนที่ไปฟิวเจอร์ เมื่อวันเสาร์ตอนบ่ายๆน่าจะได้เหมือนผมเช่นกัน เอาเป็นว่าวันนี้ลงแคนี้ก่อนครับ "D