ผี
.......ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดของภาคอีสาน หมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นหมู่บ้านธรรมดาๆ ที่หนึ่ง ก็มีทั่วๆไปเหมือนหมู่บ้านในภาคอีสาน ในหมู่บ้านจะมีวัด 1 แห่ง อยู่ท้ายหมู่บ้าน วัดนี้ก็มีอะไรที่เหมือนวัดทั่วๆ ไปในภาคอีสานมีกัน ในอดีตผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าว่า วัดแห่งนี้ เคยเป็นที่เก็บศพของทหารไทยและอเมริกันที่เสียชีวิตจากสงครามเวียตนาม ทหารที่ตายก็จะนำศพมาเผา ณ ที่วัดแห่งนี้ โดนกองทัพทหารอเมริกัน ได้มอบรถถังพ่วงไว้ให้ทางวัดเพื่อนำมาข่นศพ รถถังพ่วงคันนี้เมื่อก่อนทหารอเมริกันใช้รากพ่วงกับรถจี๊ป และก็ขนสัมภาระ ก็มีกระบะใหญ่พอสมควร ใส่ศพน่าจะได้ซักประมาณสิบกว่าศพ หลังจากหมดสงครามเวียตนามแล้วทหารอเมริกาก็ยกทัพกลับประเทศ แล้วก็ปล่อยรถพ่วงถังคันนี้ไว้ให้วัดใช้เป็นรถข่นศพ หรือใช่แห่ศพตามงานศพในหมู่บ้าน ศพแล้วศพเล่าที่รถถังพ่วงคันนี้ได้บรรทุกร่างอันไร้วิญญาณของคนในหมู่บ้านและก็ส่งต่อเข้าสู่กองฟอนเผ่าศพ (สมัยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนที่วัดยังไม่มีเมรุเลยต้องเผาศพบนกองไม้ที่ญาติของผู้ตายมากองเรียงกันไว้เป็นทรงสามเหลี่ยมแต่ตรงปลายนั้นเว้นพื้นที่ไว้ให้ว่างโลงศพได้ เรียกว่า กองฟอน) เวลารถถังพ่วงคันนี้ไม่ได้ใช้ ทางวัดก็จะจดไว้ใต้กุฏิเล็ก กุฏิหลังนี้ก็สร้างด้วยไม่ทั้งหลัง เวลามีลมพัดมาแรงๆ ก็มีเสียงหลังคาสังกะสีดัง เอี๊ยดแอ๊ด อยู่บ้าง ซึ่งถ้าหากพระได้มานอนจำพรรษาที่กุฏิหลังนี้ก็น่ากลัวพอสมควร ประกอบด้วยมีรถถังพ่วงคันนี้จดอยู่ข้างล่าง ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นไปอีก
.................... และแล้วเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีพระรูปหนึ่งได้ถูกเชิญนิมนต์มาจากอีกจังหวัดหนึ่งมาจำพรรษา ณ ที่วัดแห่งนี้และที่สำคัญต้องจำวัดที่กุฏิแห่งนี้ด้วย พระรูปนี้ชื่อว่า "พระเก่ง" หรือ "หลวงพี่เก่ง" นั่นเอง วันแรกที่พระรูปนี้เข้ามาถึงที่วัด ท่านก็ได้พบปะกับญาติโยม และทำความรู้จักกับท่านเจ้าอาวาสและพระลูกวัดท่านอื่นๆ
เจ้าอาวาส : หลวงพี่เก่งเอ่ย.....
หลวงพี่เก่ง : ครับหลวงพ่อ
เจ้าอาวาส : ท่านได้ไปตรวจดูกุฏิที่ท่านจะพักรึยังล่ะ?
หลวงพี่เก่ง : ยังเลยครัุบ.
เจ้าอาวาส : งั้นตามหลวงพ่อมาเลย ตรวจดูหน่อย ความเรียบร้อย
...และแล้ว หลวงพี่เก่ง ก็ได้เดินตามเจ้าอาวาสไปดูกุฏิที่จะต้องจำวัด หลวงพ่อเดินมาถึงกฏิ
เจ้าอาวาส : นี่นะหลวงพี่เก่ง กุฏิที่ท่านจะต้องอยู่
หลวงพี่เก่ง : ครับท่าน.
......หลวงพี่เก่งก็มองไปที่กุฏิ มองรอบๆ กุฏิก็ดูสะอาดสะอ้าน ชั้นล่างโล่งยกสูง และก็มีรถถังพ่วงจอดอยู่ข้างล่าง พอหลวงพี่เก่งเห็นก็หยุดสายตาจ้องมองอยู่พักหนึ่ง ด้วยความสงสัย จึงได้ถามเจ้าอาวาส
"หลวงพ่อครับ ที่จอดอยู่นี่คือรถอะไรครับ?" : หลวงพี่เก่ง ถามด้วยความสงสัย
"อ๋อ เป็นที่ใช้ข่นศพตามงานศพอ่ะท่าน" : หลวงพ่อตอบแล้วก็หันไปยิมเล็กๆ ให้หลวงพี่เก่ง
หลวงพี่เก่ง ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะมีรถข่นศพก็เป็นเรื่องธรรมดา แปลกแต่เพียงว่า รถข่นศพที่วัดแห่งนี้ไม่เหมือนวัดอื่นๆ เท่านั้นเอง
เจ้าอาวาส : ป่ะ หลวงพี่ขี้นไปดูชั้นบนกัน
หลวงพี่เก่ง : ครับขึ้นไปเลยครับ
.......เจ้าอาวาสเดินขึ้นไปกับหลวงพี่เก่ง ถึงชั้นสองปุ๊บ เจ้าอาวาสก็เดินไปเปิดประตูกุฏิ หลวงพี่เก่งก็เดินเข้ามาสำรวจห้องของกุฏิ มองไปก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากโต๊ะหมู่บูชา และก็แคร่ไม่ใผ่ 1 หลัง มีหมอนใบเดียวและก็ผ้าห่ม หลวงพี่เก่งก็แหงนดูเพดานก็เจอพัดลมเพดานเก่าๆ ตัวนึง ทันใดนั้นเจ้าอาวาสก็ยื่นมือไปเปิดสวิตพัดลมให้ เพื่อที่จะแสดงว่ามันใช้งานได้อยู่
เจ้าอาวาส : หลวงพี่ก็พักอยู่ที่กุฏินี้แล้วกันนะ เดี๋ยวหลวงพ่อไปแล้วนะ กลับกุฏิก่อน มีอะไรก็เรียกถามพระในวัดได้เลย
หลวงพี่เก่ง : ครับหลวงพ่อ
พอถึงยามค่ำ พระในวัดก็ลั่นระฆังเพื่อที่จะเป็นเสียงเตือนว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่พระสงฆ์ในวัดจะทำวัตรเย็นแล้วนะ เมื่อพระทุกรูปในวัดได้ยินเสียงระฆังจึงคลุมผ้าแล้วก็มาร่วมทำวัตรเย็นกันที่อุโบสถของวัด หลังจากทำวัตรเสร็จเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง หลวงพ่อเจ้าิอาวาสก็ได้ให้โอวาสแก่พระสงฆ์ภายใต้การปกครองของท่าน เจ้าอาวาสก็ได้กล่าวแนะนำหลวงพี่เก่ง แก่พระเก่าที่จำพรรษาอยู่ในวัดอีกสามรูป
เจ้าอาวาส : "หลวงพี่โย หลวงพี่เกศ และหลวงตาเผือก นี่แนะนำหน่อย องค์นี้หลวงพี่เก่งนะ มาใหม่จะมาจำพรรษาที่วัดเรา มีอะไรก็ให้คำปรึกษาแก่หลวงพี่เก่งท่านหน่อย มีงานอะไรก็ช่วยๆ กัน"
.....พระทั้งสามก็ยินดีที่มีพระใหม่เข้ามาจำพรรษาด้วย
หลวงตาเผือก ก็ได้ถามหลวงพี่เก่งว่า "ท่านพักกุฏิไหนละหลวงพี่?"
"อ๋อ กุฎิเล็กครับท่าน" : หลวงพี่เก่งตอบ
"มีอะไรก็เรียก เราได้นะท่าน" : หลวงตาเผือกบอก ด้วยอัทธยาศัยดี
เจ้าอาวาส : "เอาล่ะ งั้นกลับกุฏิไปพักผ่อนกันนะ"
พระทุกรูปต่างก็แยกย้ายกันกลับกุฏิของตัวเอง
ในค่ำคืนนั้นเอง หลังจากที่หลวงพี่เก่งได้สงค์น้ำและก็ขึ้นกุฏิเข้านอนเป็นคืนแรก หลวงพี่เก่งนอนได้ 2 ชั่วโมงก็รู้สึกว่า พัดลมเพดานมันพัดแรงบางพัดเบาบ้าง เหมือนมันมีระบบแรงเองผ่อนเองโดยอัตโนมัติ สักพักพัดลมก็ดับไปเอง โดยไม่มีใครกดปุ่มให้ดับ หลวงพี่เก่งก็งง แล้วก็ลุกขึ้นมาเปิดไฟหาสาเหตุของพัดลมที่ดับไปว่าดับเพราะอะไร หลวงพี่เก่งอุทานในใจว่า เฮ้ยมันเป็นอะไรหว๊ากำลังนอนเลยดับได้งัย พอนิ้วกดเปิดสวิตไฟทันใดนั้น..!! หลวงพี่เ้ก่งก็มองเห็นเงามือดำๆ ประหลาดๆ อยู่มุมหน่าต่างข้างๆแคร่ที่นอน เห็นเกาะอยู่แ๊ว๊ปเงามือดำๆ ก็ดึงออกจากหน้าต่าง แล้วก็หายไป หลวงพี่เก่งก็เดินไปดูเงามือสีดำเงานั้นที่ขอบหน้าต่าง ก็ไม่เจออะไร แล้วหลวงพี่เก่งก็มองไปข้างนอกหน้าต่าง มองไปรอบๆก็ไม่เจออะไร มีแต่ความมืดสนิทของกลางคืน หลวงพี่เก่งก็เลยกลับมามีสมาธิที่สวิตพัดลมเพดานอีกครั้งหนึ่ง มองไปที่สวิตก็เห็นสวิตนั้นไม่ได้กดไปที่เบอร์ความแรงของพัดลมเบอร์อะไรเลย เห็นแต่เพียงสวิตที่ยังไม่ได้กด หลวงพี่เก่งจึงไปกดสวิตพัดลมไปที่เบอร์ 2 คือ ความแีรงปานกลาง และแล้วหลวงพี่เก่งก็นอนต่อ นอนไปสักพักหลวงพี่เก่งก็ได้ยินเสียงของคนจำนวนมากเข้ามาในหู เสียงนั้นดังมาจากข้างล่างกุฏิของหลวงพี่เก่งเอง มีเสียงชายบ้างหญิงบ้างปนกันไป หลวงพี่เก่งก็เริ่มเอ๋ะใจอีกรอบ เลยลองตัดสินใจเดินลงมาดูข้างล่างของกุฏิ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ว่าเสียงนั้นมาจากที่ไหนกันแน่ หลวงพี่เก่งเปิิดไฟห้องและก็เปิดประตูเดินลงไปที่ข้างล่างกุฏิ แต่ยังเดินไม่ถึงพื้นแค่บันไดขั้นที่ 4 ที่หลวงพี่เก่งลงมาเท่า่นั้น เสียงที่ได้ยินก็หายไป หลวงพี่เก่งเลยเดินลงมาต่อจนถึงชั้นล่างและก็เปิดไฟดู ว่ามีใคร หรือ คนเข้ามานั่งคุยกันแถวนี้รึป่าว ปรากฏว่า ไม่มีใครเลยซักคน มีเพียงรถถังพ่วงคันเดียว มองไปรอบๆ กุฏิหลังอื่นก็ปิดไฟเงียบสนิทไปหมด หลวงพี่เก่งก็เลยปิดไฟใต้กุฏิแล้วก็เดินกลับขึ้นไปที่ห้อง หลวงพี่เก่งก็นอนตามปรกติ นอนไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงคุยกันนั้นก็ลอยเข้ามาในหูของหลวงพี่เก่งอีกรอบ คราวนี้ได้ยินดังขึ้น หลวงพี่เก่งก็เริ่มนึกกลัว แล้วก็ทำจิตรให้ว่างไม่คิดให้เป็นเรื่องอื่นนอกจากว่า คิดไปเองว่ามีคนคุยกัน เพราะไปพิสูจน์แล้วก็หาคนไม่เจอซักคนเดียว หลวงพี่เก่งคิดในในใจ "เราคิดไปเองเราคิดไปเอง" แต่เสียงนั้นก็ยังไม่หาย เสียงที่ได้ยินนั้นบ้างก็เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ บ้างก็เป็นเสียงร้องของความทรมาน บ้างก็เป็นเสียงดุด่า บ้างก็เป็นเสียงสนทนา ฯลฯ ซึ่งมันก็ทำให้หลวงพี่เก่ง ปั่นป่วนในความคิดพอสมควร ในครั้งที่สองนี้หลวงพี่เก่งได้ตัดสินใจลุกขึ้นไปพิสูจน์ดูอีกครั้งว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่ ต้องเห็นให้ได้กับตา หลวงพี่เก่งจึงลุกขึ้นมาอีกรอบ หลวงพี่เก่งเปิดไฟแล้วก็เดินลงบันไดไป ปรากฏว่าเหมือนเดิม ไม่ได้ยินเสียงคุยกัน ไม่มีคนนั่งคุยกัน ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากรถถังพ่วงคันยเดียวที่จดใต้กุฏิเหมือนเดิม หลวงพี่เก่งจึงพูดออกมาว่า "หากนี่คือเสียงที่คนคุยกัน ก็ควรออกมาเป็นคนให้เราเห็น หรือ ถ้าหากไม่ใช่คน ก็ควรที่จะหยุด เพราะเราจะพักผ่อน วันนี้เป็นคืนแรกเราขอพักผ่อนเถอะนะ อย่ากวนกันเลย" ทันใดนั้นหลวงพี่เก่งก็ปิดไฟใต้กุฏิ พอปิดปุ๊บ ก็เห็นเงาดำๆ วิ่งผ่านหน้าห้องน้ำหลังกุฏิซึ่งห่างจากกุฏิประมาณ 5 เมตร หลวงพี่เก่งคิดว่าคงจะไม่มีอะไร คงจะตาฝาดไปเอง เลยเดินกลับขึ้นไปนอนที่บนกุฏิอีกครั้งหนึ่ง พอนอนครั้งที่ 3 นอนได้สักพักก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเข้ามาในหูอีกเหมือนเคย หลวงพี่เก่งเริ่มจะกลัวและไม่ไหวกับเสียงนั่นแล้ว เลยตัดสินใจลงไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอดอีกครั้งหนึ่ง หลวงพี่เก่งลุกขึ่นแล้วก็เปิดไฟในห้อง ปิดพัดลมเพดาน ที่นี้เสียงยิ่งได้ยินชัดเจนอีกครั้ง เลยเดินลงไปดู กะว่าถ้าเหมือนเดิมก็จะไปขอนอนกับหลวงตาเผือกให้ผ่านคืนนี้ไปเลย พอหลวงพี่เก่งเดินลงมาบันใดยิ่งได้ยินเสียงดังขึ้นและเสียงก็ไม่หายไปเหมือนครั้งที่ผ่านมา เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ หลวงพี่เก่งก็ค่อยๆ เดินลงมา เดินๆ ลงมาจนถึงพื้น แล้วหลวงพี่เก่งก็หันไปมอง ณ จุดที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนั้น ปรากฏว่า หลวงพี่เก่ง เห็นเหมือนคนมากมาย จากไฟข้างบนกุฏิที่ส่องลงมาเป็นแสงพรางๆ มีทั้งเงาดำด้วย อยู่ในสภาพที่ร่างกายช้ำดำเขียว เหมือนกับศพ บ้างก็ใส่ชุดทหาร บ้างก็ใส่ชุดธรรมดาเหมือนชาวบ้าน แต่ชุดนั้นขาดหลุดรุ่ย มีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำเหลืองไหลออกมาจากร่างกาย หน้าแดงก่ำ กำลังนั่งคุยกันบนรถถังพ่วง หลายสิบตนทันใดนั้น หลวงพี่เก่งก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กำลังมองด้วยความอึ้ง เนื้อตัวหลวงพี่เก่งสั่นไปหมด สั่นไปทั้งตัว ทันใดนั้น..มี 1 ในที่คุยกันอยู่ก็ได้มองมาทางหลวงพี่เก่ง จ้องหน้าหลวงพี่เก่งด้วยสายตาที่เขม่น ทำให้หลวงพี่เก่งหลบหน้า หลวงพี่เก่งเลย
ตัดสินใจทันที่ วิ่งไปทางกูฏิหลวงตาเผือกเพื่อที่จะไปขอนอนพัก พอถึงกุฏิหลวงตาเผือก หลวงพี่เก่งก็เล่าให้หลวงตาเผือกฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
หลวงตาเผือกก็บอกว่า "หลวงพี่เอ่ยไม่เป็นไรหรอก หลวงตาเองก็เจอมาแล้วหลายครั้ง เขาเห็นหลวงพี่มาใหม่ก็เลยจะมาขอส่วนบุญละมั่ง พรุ่งนี้ก่อนนอนอย่าลืมแผ่เมตตาให้เขาล่ะ" หลวงตาเผือกกล่าว
เรื่องโดย ส.เสงี่ยม
ป.ล. ............ผมเพิ่งจะหัดลองแต่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ ถ้าอ่านแล้วมีอะไรจะคอมเม้นท์เชิญครับ......
ผี...
.......ณ หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในจังหวัดของภาคอีสาน หมู่บ้านแห่งนี้ก็เป็นหมู่บ้านธรรมดาๆ ที่หนึ่ง ก็มีทั่วๆไปเหมือนหมู่บ้านในภาคอีสาน ในหมู่บ้านจะมีวัด 1 แห่ง อยู่ท้ายหมู่บ้าน วัดนี้ก็มีอะไรที่เหมือนวัดทั่วๆ ไปในภาคอีสานมีกัน ในอดีตผู้เฒ่าผู้แก่เคยเล่าว่า วัดแห่งนี้ เคยเป็นที่เก็บศพของทหารไทยและอเมริกันที่เสียชีวิตจากสงครามเวียตนาม ทหารที่ตายก็จะนำศพมาเผา ณ ที่วัดแห่งนี้ โดนกองทัพทหารอเมริกัน ได้มอบรถถังพ่วงไว้ให้ทางวัดเพื่อนำมาข่นศพ รถถังพ่วงคันนี้เมื่อก่อนทหารอเมริกันใช้รากพ่วงกับรถจี๊ป และก็ขนสัมภาระ ก็มีกระบะใหญ่พอสมควร ใส่ศพน่าจะได้ซักประมาณสิบกว่าศพ หลังจากหมดสงครามเวียตนามแล้วทหารอเมริกาก็ยกทัพกลับประเทศ แล้วก็ปล่อยรถพ่วงถังคันนี้ไว้ให้วัดใช้เป็นรถข่นศพ หรือใช่แห่ศพตามงานศพในหมู่บ้าน ศพแล้วศพเล่าที่รถถังพ่วงคันนี้ได้บรรทุกร่างอันไร้วิญญาณของคนในหมู่บ้านและก็ส่งต่อเข้าสู่กองฟอนเผ่าศพ (สมัยเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนที่วัดยังไม่มีเมรุเลยต้องเผาศพบนกองไม้ที่ญาติของผู้ตายมากองเรียงกันไว้เป็นทรงสามเหลี่ยมแต่ตรงปลายนั้นเว้นพื้นที่ไว้ให้ว่างโลงศพได้ เรียกว่า กองฟอน) เวลารถถังพ่วงคันนี้ไม่ได้ใช้ ทางวัดก็จะจดไว้ใต้กุฏิเล็ก กุฏิหลังนี้ก็สร้างด้วยไม่ทั้งหลัง เวลามีลมพัดมาแรงๆ ก็มีเสียงหลังคาสังกะสีดัง เอี๊ยดแอ๊ด อยู่บ้าง ซึ่งถ้าหากพระได้มานอนจำพรรษาที่กุฏิหลังนี้ก็น่ากลัวพอสมควร ประกอบด้วยมีรถถังพ่วงคันนี้จดอยู่ข้างล่าง ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นไปอีก
.................... และแล้วเหตุการณ์นี้ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อมีพระรูปหนึ่งได้ถูกเชิญนิมนต์มาจากอีกจังหวัดหนึ่งมาจำพรรษา ณ ที่วัดแห่งนี้และที่สำคัญต้องจำวัดที่กุฏิแห่งนี้ด้วย พระรูปนี้ชื่อว่า "พระเก่ง" หรือ "หลวงพี่เก่ง" นั่นเอง วันแรกที่พระรูปนี้เข้ามาถึงที่วัด ท่านก็ได้พบปะกับญาติโยม และทำความรู้จักกับท่านเจ้าอาวาสและพระลูกวัดท่านอื่นๆ
เจ้าอาวาส : หลวงพี่เก่งเอ่ย.....
หลวงพี่เก่ง : ครับหลวงพ่อ
เจ้าอาวาส : ท่านได้ไปตรวจดูกุฏิที่ท่านจะพักรึยังล่ะ?
หลวงพี่เก่ง : ยังเลยครัุบ.
เจ้าอาวาส : งั้นตามหลวงพ่อมาเลย ตรวจดูหน่อย ความเรียบร้อย
...และแล้ว หลวงพี่เก่ง ก็ได้เดินตามเจ้าอาวาสไปดูกุฏิที่จะต้องจำวัด หลวงพ่อเดินมาถึงกฏิ
เจ้าอาวาส : นี่นะหลวงพี่เก่ง กุฏิที่ท่านจะต้องอยู่
หลวงพี่เก่ง : ครับท่าน.
......หลวงพี่เก่งก็มองไปที่กุฏิ มองรอบๆ กุฏิก็ดูสะอาดสะอ้าน ชั้นล่างโล่งยกสูง และก็มีรถถังพ่วงจอดอยู่ข้างล่าง พอหลวงพี่เก่งเห็นก็หยุดสายตาจ้องมองอยู่พักหนึ่ง ด้วยความสงสัย จึงได้ถามเจ้าอาวาส
"หลวงพ่อครับ ที่จอดอยู่นี่คือรถอะไรครับ?" : หลวงพี่เก่ง ถามด้วยความสงสัย
"อ๋อ เป็นที่ใช้ข่นศพตามงานศพอ่ะท่าน" : หลวงพ่อตอบแล้วก็หันไปยิมเล็กๆ ให้หลวงพี่เก่ง
หลวงพี่เก่ง ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร เพราะมีรถข่นศพก็เป็นเรื่องธรรมดา แปลกแต่เพียงว่า รถข่นศพที่วัดแห่งนี้ไม่เหมือนวัดอื่นๆ เท่านั้นเอง
เจ้าอาวาส : ป่ะ หลวงพี่ขี้นไปดูชั้นบนกัน
หลวงพี่เก่ง : ครับขึ้นไปเลยครับ
.......เจ้าอาวาสเดินขึ้นไปกับหลวงพี่เก่ง ถึงชั้นสองปุ๊บ เจ้าอาวาสก็เดินไปเปิดประตูกุฏิ หลวงพี่เก่งก็เดินเข้ามาสำรวจห้องของกุฏิ มองไปก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากโต๊ะหมู่บูชา และก็แคร่ไม่ใผ่ 1 หลัง มีหมอนใบเดียวและก็ผ้าห่ม หลวงพี่เก่งก็แหงนดูเพดานก็เจอพัดลมเพดานเก่าๆ ตัวนึง ทันใดนั้นเจ้าอาวาสก็ยื่นมือไปเปิดสวิตพัดลมให้ เพื่อที่จะแสดงว่ามันใช้งานได้อยู่
เจ้าอาวาส : หลวงพี่ก็พักอยู่ที่กุฏินี้แล้วกันนะ เดี๋ยวหลวงพ่อไปแล้วนะ กลับกุฏิก่อน มีอะไรก็เรียกถามพระในวัดได้เลย
หลวงพี่เก่ง : ครับหลวงพ่อ
พอถึงยามค่ำ พระในวัดก็ลั่นระฆังเพื่อที่จะเป็นเสียงเตือนว่า ขณะนี้เป็นเวลาที่พระสงฆ์ในวัดจะทำวัตรเย็นแล้วนะ เมื่อพระทุกรูปในวัดได้ยินเสียงระฆังจึงคลุมผ้าแล้วก็มาร่วมทำวัตรเย็นกันที่อุโบสถของวัด หลังจากทำวัตรเสร็จเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง หลวงพ่อเจ้าิอาวาสก็ได้ให้โอวาสแก่พระสงฆ์ภายใต้การปกครองของท่าน เจ้าอาวาสก็ได้กล่าวแนะนำหลวงพี่เก่ง แก่พระเก่าที่จำพรรษาอยู่ในวัดอีกสามรูป
เจ้าอาวาส : "หลวงพี่โย หลวงพี่เกศ และหลวงตาเผือก นี่แนะนำหน่อย องค์นี้หลวงพี่เก่งนะ มาใหม่จะมาจำพรรษาที่วัดเรา มีอะไรก็ให้คำปรึกษาแก่หลวงพี่เก่งท่านหน่อย มีงานอะไรก็ช่วยๆ กัน"
.....พระทั้งสามก็ยินดีที่มีพระใหม่เข้ามาจำพรรษาด้วย
หลวงตาเผือก ก็ได้ถามหลวงพี่เก่งว่า "ท่านพักกุฏิไหนละหลวงพี่?"
"อ๋อ กุฎิเล็กครับท่าน" : หลวงพี่เก่งตอบ
"มีอะไรก็เรียก เราได้นะท่าน" : หลวงตาเผือกบอก ด้วยอัทธยาศัยดี
เจ้าอาวาส : "เอาล่ะ งั้นกลับกุฏิไปพักผ่อนกันนะ"
พระทุกรูปต่างก็แยกย้ายกันกลับกุฏิของตัวเอง
ในค่ำคืนนั้นเอง หลังจากที่หลวงพี่เก่งได้สงค์น้ำและก็ขึ้นกุฏิเข้านอนเป็นคืนแรก หลวงพี่เก่งนอนได้ 2 ชั่วโมงก็รู้สึกว่า พัดลมเพดานมันพัดแรงบางพัดเบาบ้าง เหมือนมันมีระบบแรงเองผ่อนเองโดยอัตโนมัติ สักพักพัดลมก็ดับไปเอง โดยไม่มีใครกดปุ่มให้ดับ หลวงพี่เก่งก็งง แล้วก็ลุกขึ้นมาเปิดไฟหาสาเหตุของพัดลมที่ดับไปว่าดับเพราะอะไร หลวงพี่เก่งอุทานในใจว่า เฮ้ยมันเป็นอะไรหว๊ากำลังนอนเลยดับได้งัย พอนิ้วกดเปิดสวิตไฟทันใดนั้น..!! หลวงพี่เ้ก่งก็มองเห็นเงามือดำๆ ประหลาดๆ อยู่มุมหน่าต่างข้างๆแคร่ที่นอน เห็นเกาะอยู่แ๊ว๊ปเงามือดำๆ ก็ดึงออกจากหน้าต่าง แล้วก็หายไป หลวงพี่เก่งก็เดินไปดูเงามือสีดำเงานั้นที่ขอบหน้าต่าง ก็ไม่เจออะไร แล้วหลวงพี่เก่งก็มองไปข้างนอกหน้าต่าง มองไปรอบๆก็ไม่เจออะไร มีแต่ความมืดสนิทของกลางคืน หลวงพี่เก่งก็เลยกลับมามีสมาธิที่สวิตพัดลมเพดานอีกครั้งหนึ่ง มองไปที่สวิตก็เห็นสวิตนั้นไม่ได้กดไปที่เบอร์ความแรงของพัดลมเบอร์อะไรเลย เห็นแต่เพียงสวิตที่ยังไม่ได้กด หลวงพี่เก่งจึงไปกดสวิตพัดลมไปที่เบอร์ 2 คือ ความแีรงปานกลาง และแล้วหลวงพี่เก่งก็นอนต่อ นอนไปสักพักหลวงพี่เก่งก็ได้ยินเสียงของคนจำนวนมากเข้ามาในหู เสียงนั้นดังมาจากข้างล่างกุฏิของหลวงพี่เก่งเอง มีเสียงชายบ้างหญิงบ้างปนกันไป หลวงพี่เก่งก็เริ่มเอ๋ะใจอีกรอบ เลยลองตัดสินใจเดินลงมาดูข้างล่างของกุฏิ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ว่าเสียงนั้นมาจากที่ไหนกันแน่ หลวงพี่เก่งเปิิดไฟห้องและก็เปิดประตูเดินลงไปที่ข้างล่างกุฏิ แต่ยังเดินไม่ถึงพื้นแค่บันไดขั้นที่ 4 ที่หลวงพี่เก่งลงมาเท่า่นั้น เสียงที่ได้ยินก็หายไป หลวงพี่เก่งเลยเดินลงมาต่อจนถึงชั้นล่างและก็เปิดไฟดู ว่ามีใคร หรือ คนเข้ามานั่งคุยกันแถวนี้รึป่าว ปรากฏว่า ไม่มีใครเลยซักคน มีเพียงรถถังพ่วงคันเดียว มองไปรอบๆ กุฏิหลังอื่นก็ปิดไฟเงียบสนิทไปหมด หลวงพี่เก่งก็เลยปิดไฟใต้กุฏิแล้วก็เดินกลับขึ้นไปที่ห้อง หลวงพี่เก่งก็นอนตามปรกติ นอนไปได้ประมาณครึ่งชั่วโมง เสียงคุยกันนั้นก็ลอยเข้ามาในหูของหลวงพี่เก่งอีกรอบ คราวนี้ได้ยินดังขึ้น หลวงพี่เก่งก็เริ่มนึกกลัว แล้วก็ทำจิตรให้ว่างไม่คิดให้เป็นเรื่องอื่นนอกจากว่า คิดไปเองว่ามีคนคุยกัน เพราะไปพิสูจน์แล้วก็หาคนไม่เจอซักคนเดียว หลวงพี่เก่งคิดในในใจ "เราคิดไปเองเราคิดไปเอง" แต่เสียงนั้นก็ยังไม่หาย เสียงที่ได้ยินนั้นบ้างก็เป็นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ บ้างก็เป็นเสียงร้องของความทรมาน บ้างก็เป็นเสียงดุด่า บ้างก็เป็นเสียงสนทนา ฯลฯ ซึ่งมันก็ทำให้หลวงพี่เก่ง ปั่นป่วนในความคิดพอสมควร ในครั้งที่สองนี้หลวงพี่เก่งได้ตัดสินใจลุกขึ้นไปพิสูจน์ดูอีกครั้งว่ามันเป็นเสียงอะไรกันแน่ ต้องเห็นให้ได้กับตา หลวงพี่เก่งจึงลุกขึ้นมาอีกรอบ หลวงพี่เก่งเปิดไฟแล้วก็เดินลงบันไดไป ปรากฏว่าเหมือนเดิม ไม่ได้ยินเสียงคุยกัน ไม่มีคนนั่งคุยกัน ไม่มีอะไรทั้งสิ้นนอกจากรถถังพ่วงคันยเดียวที่จดใต้กุฏิเหมือนเดิม หลวงพี่เก่งจึงพูดออกมาว่า "หากนี่คือเสียงที่คนคุยกัน ก็ควรออกมาเป็นคนให้เราเห็น หรือ ถ้าหากไม่ใช่คน ก็ควรที่จะหยุด เพราะเราจะพักผ่อน วันนี้เป็นคืนแรกเราขอพักผ่อนเถอะนะ อย่ากวนกันเลย" ทันใดนั้นหลวงพี่เก่งก็ปิดไฟใต้กุฏิ พอปิดปุ๊บ ก็เห็นเงาดำๆ วิ่งผ่านหน้าห้องน้ำหลังกุฏิซึ่งห่างจากกุฏิประมาณ 5 เมตร หลวงพี่เก่งคิดว่าคงจะไม่มีอะไร คงจะตาฝาดไปเอง เลยเดินกลับขึ้นไปนอนที่บนกุฏิอีกครั้งหนึ่ง พอนอนครั้งที่ 3 นอนได้สักพักก็ได้ยินเสียงคนคุยกันเข้ามาในหูอีกเหมือนเคย หลวงพี่เก่งเริ่มจะกลัวและไม่ไหวกับเสียงนั่นแล้ว เลยตัดสินใจลงไปดูให้มันรู้แล้วรู้รอดอีกครั้งหนึ่ง หลวงพี่เก่งลุกขึ่นแล้วก็เปิดไฟในห้อง ปิดพัดลมเพดาน ที่นี้เสียงยิ่งได้ยินชัดเจนอีกครั้ง เลยเดินลงไปดู กะว่าถ้าเหมือนเดิมก็จะไปขอนอนกับหลวงตาเผือกให้ผ่านคืนนี้ไปเลย พอหลวงพี่เก่งเดินลงมาบันใดยิ่งได้ยินเสียงดังขึ้นและเสียงก็ไม่หายไปเหมือนครั้งที่ผ่านมา เสียงดังขึ้นเรื่อยๆ หลวงพี่เก่งก็ค่อยๆ เดินลงมา เดินๆ ลงมาจนถึงพื้น แล้วหลวงพี่เก่งก็หันไปมอง ณ จุดที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนั้น ปรากฏว่า หลวงพี่เก่ง เห็นเหมือนคนมากมาย จากไฟข้างบนกุฏิที่ส่องลงมาเป็นแสงพรางๆ มีทั้งเงาดำด้วย อยู่ในสภาพที่ร่างกายช้ำดำเขียว เหมือนกับศพ บ้างก็ใส่ชุดทหาร บ้างก็ใส่ชุดธรรมดาเหมือนชาวบ้าน แต่ชุดนั้นขาดหลุดรุ่ย มีกลิ่นเหม็นเหมือนน้ำเหลืองไหลออกมาจากร่างกาย หน้าแดงก่ำ กำลังนั่งคุยกันบนรถถังพ่วง หลายสิบตนทันใดนั้น หลวงพี่เก่งก็ตกใจ ทำอะไรไม่ถูก กำลังมองด้วยความอึ้ง เนื้อตัวหลวงพี่เก่งสั่นไปหมด สั่นไปทั้งตัว ทันใดนั้น..มี 1 ในที่คุยกันอยู่ก็ได้มองมาทางหลวงพี่เก่ง จ้องหน้าหลวงพี่เก่งด้วยสายตาที่เขม่น ทำให้หลวงพี่เก่งหลบหน้า หลวงพี่เก่งเลย
ตัดสินใจทันที่ วิ่งไปทางกูฏิหลวงตาเผือกเพื่อที่จะไปขอนอนพัก พอถึงกุฏิหลวงตาเผือก หลวงพี่เก่งก็เล่าให้หลวงตาเผือกฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
หลวงตาเผือกก็บอกว่า "หลวงพี่เอ่ยไม่เป็นไรหรอก หลวงตาเองก็เจอมาแล้วหลายครั้ง เขาเห็นหลวงพี่มาใหม่ก็เลยจะมาขอส่วนบุญละมั่ง พรุ่งนี้ก่อนนอนอย่าลืมแผ่เมตตาให้เขาล่ะ" หลวงตาเผือกกล่าว
เรื่องโดย ส.เสงี่ยม
ป.ล. ............ผมเพิ่งจะหัดลองแต่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกครับ ถ้าอ่านแล้วมีอะไรจะคอมเม้นท์เชิญครับ......