มะเร็ง vs เมียของคนที่เป็นมะเร็ง อะไรน่ากลัวกว่ากัน

กระทู้สนทนา
สวัสดีค่ะ เรื่องอาจจะยาวนิดหนึงนะคะ กระทู้นี้เป็นกระทู้สนทนา ระบาย สำนึกผิด ขอคำแนะนำ ฯลฯ ท่านใดอยากแชร์ประสบการณ์ แนะนำ ติติง เชิญเลยนะคะ

ตามหัวกระทู้เลยค่ะ เพื่อนๆเรามันบอกว่าเราน่ากลัวกว่ามะเร็งอีกอ่าาาาา Facepalm คือสามีของเราเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ตอนตรวจเจอเนี่ยก็ระยะสี่แล้ว ลามไปที่กระดูก  พอเรารู้ผลตรวจจากหมอเราก็โมโหสิคะ วีนก่อนเลยคนอะไรไม่ดูแลตัวเองเล้ยยยยย ละเลยสุขภาพตัวเองสุดๆ เราก็บ่นๆๆใส่หูคุณสามี "เห็นม๊ะ ชั้นบอกให้ไปหาหมอตรวจสุขภาพตั้งแต่ปีที่แล้วก็ไม่ยอมไป. บอกอยู่ได้ว่าไม่ไรเป็นแข็งแรงดี. ทีนี้แหละเป็นไงเจอที่ก็ระยะสี่เลย แล้วไอ้เสียงที่แหบมาแปดเดือนเนี่ยไม่ใช่ว่าเป็นมะเร็งกล่องเสียงด้วยเหรอ...ห๊า@&#%}$**+ "จนเพื่อนต้องสะกิด บอกเมิงๆกุว่าเยอะไปแระ หยุดเลยๆ นั่นแหละค่ะสติถึงมา 5555 พอมองหน้าสามีแกก็นั่งหน้าแดงหูแดง(เพราะเครียด)หัวเราะในลำคอ หึหึ
เราเลยปลอบด้วยน้ำเสียงนางเอ๊กกกนางเอกว่า ไม่เป็นไรแดดดี้เป็นแล้วก็รักษากันไป และก็ถือว่าพวกเราน่ะโชคดีที่มารู้ว่าเป็นตอนนี้ ตอนที่เราพอจะมีเงินมารักษาตัว ถ้าเป็นเมื่อสี่ปี่ก่อนนะชั้นจะปล่อยให้เธอตายไม่รักษาหรอกเพราะตอนนั้นพวกเราไม่มีเงินไงจำได้ไหม 555555. สามีเราก็ตอบรับเลย yes you're right !


ขอย้อนเล่าเหตุการณ์ก่อนนะคะ คือหลายเดือนก่อนคุณเธอบ่นปวดขาด้านซ้าย บางครั้งก็ให้เราช่วยนวดให้ พร้อมๆกับมีอาการเสียงแหบซึ่งเราก็ให้แกไปหาหมอนะ แกก็ไม่ยอมไป บอกเดี๊ยวหายๆอยู่นั่นแหละ จนถึงตอนนี้เสียงแหบก็ยังไม่หาย. อีกไม่กี่วันก็แหบครบปีแล้ว หุหุหุ มาต่อเรื่องปวดขา เราก็นวดให้นะคะเอายาหม่องนวด มันก็ดูเหมือนจะดีขึ้นนะ แต่อีกวันสองวันก็ปวดอีก บางครั้งแกก็ยืดเส้นยืดสายทำโยคะ พร้อมๆกับสังเกตุเห็นว่าแกกินยาแก้ปวดวันละเม็ดสองเม็ด ผ่านไปเป็นเดือนๆอ่ะ แกก็ยังบ่นปวดขาอยู่ เราก็หงุดหงิดจะพาไปหาหมอก็ไม่เอา จนวันหนึ่งที่บ้านเราเห็นแกเอาเก้าอี้นั่งกินข้าวมานั่งทำงาน. เราก็งงดิเพราะเก้าอี้กินข้าวบ้านเรามันสูงกว่าโต๊ะแบบที่ว่าคนปกตินั่งต้องปวดหลังแน่ๆเพราะต้องโน้มตัวลง พอเราถามแกก็บอกว่าเก้าอี้เดิมนั่งไม่สบาย ถัดมาอีกวันแกไปขนเก้าอี้ทำงานของออฟฟิตมาที่บ้าน  เราก็ยังแซวขำๆอีกนะว่าเก้าอี้ที่ออฟฟิศนั่งสบายใช่ไหมหละ ฉันเลือกเก่งไหม ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่านั่นแหละสัญญาณอันตราย 555555

สองอาทิตย์ถัดมา แม่เราถามว่าคุณเค้าเป็นอะไรป่าวไม่สบายป่าวข้าวปลาไม่ยอมกิน หน้าก็ดูหงอยๆตอนเช้าบอกให้ทำโน่นนี่นั่นไว้แต่พอกลับบ้านมาก็ไม่กินเข้านอนเลย เรายังคิดว่าไม่เป็นอะไรมั้งเพราะปกติพวกเราจะกินข้าวกลางวันสายบางทีก็เกือบเย็น พอกลับบ้านก็ไม่หิว ตอนอยู่ที่ทำงานก็ดูปกติดี จนแม่เราพาหลานๆกลับมาบ้านที่กรุงเทพช่วงปิดเทอม เราก็อยู่กับสามีสองคนและหมาอีกสี่ตัว ทุกอย่างก็ดูเรียบร้อยดี สามีก็บ่นปวดขาวันเว้นสองวัน แกก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรให้เราวิตก แต่เราก็มีนอยด์บ้างนะคะว่าทำไมไม่ไปหาหมอสักที ตอนนั้นเราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะกล้ามเนื้ออักเสบ อะไรทำนองนั้น ยังแซวอยู่เลยว่าเดี๊ยวได้โดนตัดขาแน่ๆ ผ่านไปอีกเดือนกว่าๆจนเด็กๆกับแม่ใกล้จะกลับมาแล้วเพราะเปิดเทอม แกปลุกเราตอนเช้าว่าให้ช่วยพาไปหาหมอหน่อย ปวดขามาก แอบดีใจลึกๆนั่นแหละที่อยากได้ยิน เพราะเห็นแกปวดมานานแล้ว ตอนกำลังเตรียมตัวจะไป รพ เรา้ห็นท่าสามีเดินแล้วแอบหวั่นใจ คือแกเดินแทบไม่ได้เลย สีหน้าบ่งบอกว่าเจ็บปวดสุดๆ เอาแล้วไงฉันสามีฉันป่วยเป็นอะไร(วะ)เนี่ย

ระหว่างทางเราก็ถามอาการนะว่าเป็นอะไรยังไง ปวดแบบไหน สามีบอกว่าเค้าปวดจนแทบจะเดินไม่ได้เลย ปลายเท้ารู้สึกเหมือนมีเข็มตำ ตรงน่องปวดเหมือนตระคริวกินตลอดเวลา ตอนนั้นเราไม่ได้คิดถึงมะรงมะเร็งอะไรเลยด้วยที่ไม่มีความรู้เรื่องมะเร็งและคิดว่าโรคนี้มันห่างไกลเรามากๆ ในใจคิดแค่เพียงว่าคงเป็นโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อพวกนั้น

ถึง รพ กว่าที่สามีเราจะก้าวลงจากรถได้เนี่ยนานมากๆ จนท เอารถเข็นมาให้แกก็ไม่นั่ง เดินกระโหย่งกระเหย่งเข้าไปยื่นบัตร จนท ก็มองเราด้วยสายตาที่มีคำถาม ประมาณว่าทำไมไม่นั่งรถเข็นทั้งๆที่เดินจะไม่ไหวอยู่แล้ว เราเลยชิงพูดเชิงบ่นกับตัวเองแบบให้เค้าได้ยินว่า ทำไมไม่นั่งรถเข็น(วะ). 555555 พอมารู้เหตุผลตอนหลังเราก็อ๋อออออ คือแกบอกว่านั่งก็ปวด เดินก็ปวด แล้วเวลาจะนั่งจะยืนยิ่งปวดเลยเลือกเดินดีกว่า

หลังจากพบคุณหมอด้านกระดูก พยาบาลก็เดินมาบอกเราว่ายังไม่รู้สาเหตุว่าเป็นอะไรคุณหมออยากให้ทำ MRI. วันรุ่งขึ้น และมีคิวว่างตอนแปดโมง ให้เรามาใหม่ตอนเช้า เจ็ดโมงครึ่ง ได้ยินดังนั้นอิฉันก็ไม่รอช้าสั่งแอทมิทเลย ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจไปกลับถึงแม้ว่าบ้านจะห่างจาก รพ แค่สิบกิโลก็เหอะ รถก็ไม่ได้ติดมากแต่อิฉันขี้เกียจตื่นเช้า 55555 และคุณสามีก็ไม่สะดวกขึ้นรถลงรถสักเท่าไหร่ นอนๆไปเหอะแค่คืนเดียวเอง ทำMRI เสร็จก็เช็คเอ้าท์ คุณพยาบาลก็ทำหน้าปุเลี่ยนๆถามว่าพวกเรามีประกันหรือเปล่า พอเราบอกว่ามีหน้าคุณพยาบาลปุเลี่ยนหนักกว่าเดิมอีก หยอกเย้า เรารู้ทันว่าคุณพยาบาลคิดอะไรอยู่ เราเลยบอกว่าไม่เคลมประกันค่ะแค่คืนเดียวเราจ่ายเอง (จริงๆแล้วพลาดมากกกกเศร้าเศร้าเศร้า )

เช็คอินขึ้นห้องพัก ก็ยังหลั่นล้าๆกับสามีอยู่ คิดเสียว่ามาพักผ่อน จัดการสั่งงานน้องๆ กลับบ้านไปเอาเสื้อผ้ามานอนเป็นเพื่อนคุณสามี เอาข้าวให้ลูกๆทั้งสี่ แล้วก็มาชิลๆที่ รพ รอเวลาทำ MRI ระหว่างนั้นเราเลยแจ้งคุณพยาบาลไปว่าอยากให้เช็คสุขภาพของสามี และก็เช็คเรื่องเสียงแหบ จนท ก็เอาแพคเกจมาให้เลือก และก็ส่งต่อไปแผนกต่างๆ สามีเริ่มทำการขัดขืนแล้วทีนี้ บ่นงึมงัมๆ ว่าไม่ได้เป็นอะไรมาโน่นนี่นั่น จนเราต้องส่งสายตาพิฆาต ให้อยู่เงียบๆอย่ามีปากมีเสียง ฉันบอกให้ตรวจก็ต้องตรวจ เข้าใจไหมห๊ะ!!!!  แกก็ okey okey ตามสไตลด์ จริงๆแล้วเราแอบสะใจ หุหุ บอกให้ตรวจสุขภาพตั้งนานแล้วไม่ยอมตรวจสักที วันนี้แหละเสร็จเรา 5555555

เดี๊ยวมาต่อ ขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ ร้อนมว๊ากกกกก
ปล 1 เรื่องยาวหน่อยนะคะ
ปล 2 เราพิมพ์ด้วยไอแพด ถ้าสะกดผิดบ้างไรบ้างบอกได้เดี๊ยวเราแก้ไขให้แต่อย่าด่าเรานะ แหะๆๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่