ตลาดกระทิง 3 ระยะ
2.1 ระยะสะสม (Accumulation Phase) : ระยะนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่สนใจว่าแนวโน้มราคาหลักทรัพย์กำลังเกิดขึ้น แต่จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเรื่มสะสมหุ้น อาจจะเป็น นักลงทุน VI หรือ นักลงทุนรายใหญ่
2.2 ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ในขาขึ้น (Big Move phase) : เป็นระยะที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนั้น หรือ ลงทุนในตลาดฯ
2.3 ระยะอื่มตัว (Excess phase) : ระยะนี้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาในตลาดหุ้นจำนวนมาก ตลาดเริ่มอิ่มตัว และเป็นระยะที่ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว
ตลาดหมี 3 ระยะ
2.1 ระยะกระจายตัว ( Distribution phase) : ระยะนี้เป็นการจบรอบนักลงทุน VI และรายใหญ่เริ่มถอนตัวออกจากตลาดฯ และขายให้กับนักลงทุนรายย่อย (ที่เข้ามาในตลาดจำนวนมาก)
2.2 ระยะปรับตัวครั้งใหญ่ในขาลง (Big Move Phase) : ระยะนี้เป็นการร่วงลงอย่างรวดเร็ว และกินระยะเวลาช่วงหนึ่ง (นักลงทุนรายย่อยจะขาดทุนอย่างมาก)
2.3 ระยะสิ้นหวัง (Despair) : ระยะนี้เป็นระยะที่นักลงทุนรายใหญ่ เริ่มถอนตัวจากตลาดจากการขาดทุนอย่างหนัก และ จะเกิดใกล้ๆ กับจุดต่ำสุดของขาลง เมื่อเจอจุดต่ำสุดแล้วจะกลับไปเป็นระยะสะสมใหม่อีกครั้ง
ทีนี้เราคงทราบกันแล้วว่า แนวโน้มหลักของตลาดนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ระยะซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาแต่คำถามก็คือแล้วหน้าตาของแต่ละระยะล่ะ จะสังเกตได้อย่างไร เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าของนักลงทุน เรามาดูหน้าตาของแต่ละระยะกันเลยครับ
คำอธิบายภาพ
Bull Market หรือ ตลาดกระทิง ซึ่งเป็นตลาดขาขึ้น
#ระยะที่ 1 ระยะสะสม (Accumulation) : จะเป็นช่วงที่ตลาดยังทรงๆ ในช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่นักลงทุนไม่ค่อยสนใจกับตลาดหุ้น สังเกตได้จากตลาดจะเคลื่อนที่แบบไม่มีแนวโน้ม (Non-Trend) หรือ Sideway นั่นเอง
#ระยะที่ 2 ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ (Big Move) : ระยะนี้เริ่มเมื่อเกิดการทะลุแนวต้านของ Sideway ขึ้นมา แล้วการย่อตัวในครั้งนั้น ไม่ทำ New Low หรือ ไม่หลุดแนวรับ (ที่เคยเป็นแนวต้าน) จากนั้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
#ระยะที่ 3 ระยะอิ่มตัว (Excess) : ระยะนี้เป็นระยะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัด จนมีคำหล่าวในตลาด Wall Street ว่า "หากคนขับ Taxi พูดถึงเรื่องหุ้น" เมื่อไรแปลว่าจุดสูงสุดของตลาดนั้นใกล้เข้ามาแล้ว [สังเกตได้จากบริเวณใกล้ๆ จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น]
Bear Market หรือ ตลาดหมี ซึ่งเป็นตลาดขาลง
#ระยะที่ 1 ระยะแจกจ่าย (Distribution) : สังเกตได้จากตลาดไม่ทำ New High แต่กลับวิ่ง Sideway หรือ Non-Trend และอยู่บริเวณจุดสูงสุด
#ระยะที่ 2 ระยะปรับตัวลงครั้งใหญ่ (Big Move) : สังเกตได้จากหากราคาปรับตัวหลุดแนวรับ แล้วทำจุดต่ำสุดใหม่ และ Rebound ไม่ผ่านแนวต้าน (ที่เป็นแนวรับเดิม) จากนั้นราคาจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ต่ำลงเรื่อยๆ
#ระยะที่ 3 ระยะสิ้นหวัง (Despair) : นักลงทุนที่ลงทุนไว้ขายขาดทุนออกมาเป็นจำนวนมาก และออกจากตลาดหุ้นไป สังเกตได้จากการเห็นจุดต่ำสุด หากเห็นจุดต่ำสุดจะถือว่าเป็นการจบแน้วโน้มขาลง และจะเข้าสู้ ระยะที่ 1 ของตลาดกระทิงใหม่นั่นเอง
เครดิตที่มา
http://www.investmentory.com/2013/05/dow-down-3.html
วัฏจักรของตลาดหุ้น ตลาดกระทิง และตลาดหมี
2.1 ระยะสะสม (Accumulation Phase) : ระยะนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่สนใจว่าแนวโน้มราคาหลักทรัพย์กำลังเกิดขึ้น แต่จะมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งเรื่มสะสมหุ้น อาจจะเป็น นักลงทุน VI หรือ นักลงทุนรายใหญ่
2.2 ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ในขาขึ้น (Big Move phase) : เป็นระยะที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในหุ้นตัวนั้น หรือ ลงทุนในตลาดฯ
2.3 ระยะอื่มตัว (Excess phase) : ระยะนี้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาในตลาดหุ้นจำนวนมาก ตลาดเริ่มอิ่มตัว และเป็นระยะที่ใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้ว
ตลาดหมี 3 ระยะ
2.1 ระยะกระจายตัว ( Distribution phase) : ระยะนี้เป็นการจบรอบนักลงทุน VI และรายใหญ่เริ่มถอนตัวออกจากตลาดฯ และขายให้กับนักลงทุนรายย่อย (ที่เข้ามาในตลาดจำนวนมาก)
2.2 ระยะปรับตัวครั้งใหญ่ในขาลง (Big Move Phase) : ระยะนี้เป็นการร่วงลงอย่างรวดเร็ว และกินระยะเวลาช่วงหนึ่ง (นักลงทุนรายย่อยจะขาดทุนอย่างมาก)
2.3 ระยะสิ้นหวัง (Despair) : ระยะนี้เป็นระยะที่นักลงทุนรายใหญ่ เริ่มถอนตัวจากตลาดจากการขาดทุนอย่างหนัก และ จะเกิดใกล้ๆ กับจุดต่ำสุดของขาลง เมื่อเจอจุดต่ำสุดแล้วจะกลับไปเป็นระยะสะสมใหม่อีกครั้ง
ทีนี้เราคงทราบกันแล้วว่า แนวโน้มหลักของตลาดนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 ระยะซึ่งจะเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาแต่คำถามก็คือแล้วหน้าตาของแต่ละระยะล่ะ จะสังเกตได้อย่างไร เพื่อไม่ให้เสียเวลาอันมีค่าของนักลงทุน เรามาดูหน้าตาของแต่ละระยะกันเลยครับ
คำอธิบายภาพ
Bull Market หรือ ตลาดกระทิง ซึ่งเป็นตลาดขาขึ้น
#ระยะที่ 1 ระยะสะสม (Accumulation) : จะเป็นช่วงที่ตลาดยังทรงๆ ในช่วงนั้นยังเป็นช่วงที่นักลงทุนไม่ค่อยสนใจกับตลาดหุ้น สังเกตได้จากตลาดจะเคลื่อนที่แบบไม่มีแนวโน้ม (Non-Trend) หรือ Sideway นั่นเอง
#ระยะที่ 2 ระยะปรับตัวขึ้นครั้งใหญ่ (Big Move) : ระยะนี้เริ่มเมื่อเกิดการทะลุแนวต้านของ Sideway ขึ้นมา แล้วการย่อตัวในครั้งนั้น ไม่ทำ New Low หรือ ไม่หลุดแนวรับ (ที่เคยเป็นแนวต้าน) จากนั้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
#ระยะที่ 3 ระยะอิ่มตัว (Excess) : ระยะนี้เป็นระยะที่นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัด จนมีคำหล่าวในตลาด Wall Street ว่า "หากคนขับ Taxi พูดถึงเรื่องหุ้น" เมื่อไรแปลว่าจุดสูงสุดของตลาดนั้นใกล้เข้ามาแล้ว [สังเกตได้จากบริเวณใกล้ๆ จุดสูงสุดของแนวโน้มขาขึ้น]
Bear Market หรือ ตลาดหมี ซึ่งเป็นตลาดขาลง
#ระยะที่ 1 ระยะแจกจ่าย (Distribution) : สังเกตได้จากตลาดไม่ทำ New High แต่กลับวิ่ง Sideway หรือ Non-Trend และอยู่บริเวณจุดสูงสุด
#ระยะที่ 2 ระยะปรับตัวลงครั้งใหญ่ (Big Move) : สังเกตได้จากหากราคาปรับตัวหลุดแนวรับ แล้วทำจุดต่ำสุดใหม่ และ Rebound ไม่ผ่านแนวต้าน (ที่เป็นแนวรับเดิม) จากนั้นราคาจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องทำจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ต่ำลงเรื่อยๆ
#ระยะที่ 3 ระยะสิ้นหวัง (Despair) : นักลงทุนที่ลงทุนไว้ขายขาดทุนออกมาเป็นจำนวนมาก และออกจากตลาดหุ้นไป สังเกตได้จากการเห็นจุดต่ำสุด หากเห็นจุดต่ำสุดจะถือว่าเป็นการจบแน้วโน้มขาลง และจะเข้าสู้ ระยะที่ 1 ของตลาดกระทิงใหม่นั่นเอง
เครดิตที่มา
http://www.investmentory.com/2013/05/dow-down-3.html