ตอนที่ 4
http://ppantip.com/topic/30646279
ตอนที่ 6
http://ppantip.com/topic/30755505
ตอนที่ 5 ...
ไปเริ่มเรียนวันแรก หลังจากสอบวัดระดับทางภาษาไปแล้ว ตื่นเต้นมากๆ กลัวตกรถเมล์เลยมาถึงโรงเรียนเร็วเป็นชั่วโมง
ทางโรงเรียนอำนวยความสะดวกให้นักเรียนต่างชาติ อย่างแรกที่เราสัมผัสได้คือ เจ้าหน้าที่...นานาชาติ
เจ้าหน้าที่ให้บริการมาจากหลากหลายประเทศด้วยกัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน โปรตุเกส บราซิล โคลัมเบีย เปรู ฝรั่งเศส รัสเซีย
เห็นจะหมุนเวียนเปลี่ยนกะกันมากมาย แต่ที่ปิ๊งปั๊งเปรี้ยงปร้าง ทำให้เราพุ่งเข้าไปหาด้วยความอุ่นใจคือ สาวสวย สูงปรี๊ด ผิวเข้ม ตาคม ผมดำ และสวมแหวนเพชรที่นิ้วนางข้างซ้าย จาก สยามประเทศ เราเรียกเธอว่า “พี่โอปอล”
พี่โอปอล ตรวจดูคะแนนวัดระดับทางภาษาอีกครั้ง วางหนังสือเรียนบนโต๊ะ 3 เล่ม เรียกเก็บเงิน $120 แล้วไล่เข้าห้อง Level 3
เราก็เดินต๊อกๆ หน้าง่อยๆ เข้าไปนั่งเรียนอย่างว่าง่าย แต่ที่ครูมะกัน สอนอยู่บนกระดานมันไม่ง่ายอย่างที่คิดหน่ะสิคะ
เคยนั่งเรียนแล้วอึดอัด เหมือนจะหายใจไม่ออกมั๊ย กลัวเค้าจะหันมาถาม กูไม่อยากตอบ กูไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น
จะสอนอะไรก็พูดๆมาเหอะ จะชี้ถามเพื่ออะไรเนี่ย ถ้ารู้แล้ว เก่งแล้ว เข้าใจหมด คงไม่มานั่งเรียนแล้วหล่ะค่ะ
คงลุกขึ้นยืนแล้วแย่งงานครูไปแล้ว ณ ความรู้สึกในจุดนี้
เดินต๊อกๆ หน้าง่อยๆ หนักกว่าเก่า ออกมาหาพี่โอปอล ที่หน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง...
“ขอหนูไปเรียนห้อง Beginning ได้มั๊ยคะ”
“เหตุผล?” พี่โอปอลซัก...
“น้ำลายครูฟุ้งเต็มโต๊ะเลย หนูฟังไม่รู้เรื่อง”
พี่โอปอลใช้วิจารณญาณในการพิจารณาอยู่ 3 วินาที... “ถ้าเบื่อแล้วอย่าบ่นหล่ะ” ฉีกยิ้มกว้างให้อีกที แล้วค้อนขวับ
จัดการเปลี่ยนหนังสือและห้องเรียนให้อย่างใจดี
เปิดประตูห้องเรียนใหม่ ไม่มีนักเรียนไทยซักคน ถ้าเดินกลับไปหาพี่โอปอลอีกครั้ง มีหวังโดนถีบด้วย 2 เท้าเป็นแน่
Where where is where where (ไหนๆก็ไหนๆ) เรียนๆไปเดี๋ยวคงโอเค
นักเรียนภาษาในห้องมาจากหลายประเทศ ต่างคนต่างมีภาษาประจำชาติ แล้วอยู่ๆ ก็จับไอ้คนที่พูดคนละภาษา
จับพวกมันมาให้พูดภาษาเดียวกัน เป็นการบังคับให้ใช้ภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียวเพื่อการสื่อสาร โอ๊ยยย...มั่วกันมันส์ส์ส์หล่ะงานนี้
ไอ้การที่บังคับให้ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอ่ะ ไม่ใช่เรื่องยาก ...แต่ไอ้ที่มันยากอ่ะ คือ “เมิงพูดอะไรวะเนี่ย กูไม่เข้าใจ”
นี่แหละ
สำคัญ ที่สุด...
บรรยากาศในห้องเรียนดูสบายๆ บ้างยกเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะ บ้างกินขนม บ้างก็นั่งบนโต๊ะครู เดินไปเดินมาก็ยังมี
หลังจากทักทายกันนิดหน่อย พูดคุยกันได้กระจิ๊ดริด นักเรียนในห้องก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน
อเล็กซ์ จาก สเปน
มินจี้ จาก ญี่ปุ่น
เยนดร้า จาก บราซิล
ซาลัม จาก ซาอุดิอาระเบีย
และ
เกี้ยมบ๊วย จากประเทศไทย
ทุกคนงัด Talking Dict ประจำชาติของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ อวดดีไซน์และสีสันกันโดยมิได้นัดหมาย
“โอเค...วัยรุ่นทั้งหลาย กรุณาเก็บอุปกรณ์แปลภาษาประจำชาติของตัวเองเดี๋ยวนี้ เราจะอธิบายกันแบบ
English to English NOT English to your language ขอบคุณค่ะ” ครูสาวชาวมะกัน ออกคำสั่งเสียงดังลั่น
การเรียนเริ่มขึ้นอย่างบันเทิงอารมณ์ ความสับสนทางภาษาเกิดขึ้นเป็นระยะๆ
อเล็กซ์ พูดว่า เมื่อคืนอ่านหนังสือบนโค้ช(Coach)คนใหม่ แทนที่จะเป็น บนโซฟา(Couch)ตัวใหม่
มินจี้ ออกเสียงคำว่า Sometimes เป็น โซ-เม็ด-ทิ-เมส
และอาจเพราะความตื่นเต้นทำให้
ซาลัม อ่านออกเสียงจาก “เดอะ” (THE) เป็น ทะ-ฮี (Ta-he)
ชั่วโมงนั้นครูเลยสอนเรื่องการออกเสียง และ ไอ้พวกคำพ้องรูป-พ้องเสียง เป็นการใหญ่
ตัวอย่างแรก ถูกนำขึ้นกระดานอย่างหรูหรา โดยครูผู้สอน สัญชาติอเมริกัน
How much wood would a woodchuck chuck if a woodchuck could chuck wood?
วัยรุ่นก็ลองออกเสียงกัน ปากจู๋ ปากแบน น้ำลายกระเซ็น พอเป็นกระไส
ครูยังไม่ยอมจบแค่นั้น
ยังให้แต่ละคนยกตัวอย่างประโยคที่โชว์ความเหนือด้านการออกเสียงในภาษาของตัวเองมาให้เพื่อนๆลองพูด ลองออกเสียงกัน
ภาษาของแต่ละคน ประเทศแล้ว ... ประเทศเล่า ... ผ่านไป ... ผ่านไป
พอหันมาถึงคิวเราบ้าง...
โอ๊ะ!! ซวยแระกู ตอนสมัยเรียนที่เมืองไทย ภาษาไทยอ่อน ภาษาอังกฤษอ่อนมากกว่า คณิตศาสตร์เลิกคิดไปได้เลย
แต่เพื่อหน้าตาประเทศชาติ เราจะพยายามเต็มที่ค่ะ!!
พวกเมิงต้องเจอคำนี้ ... นี่เลยยยย “ใครขายไข่ไก่” ของบ้านกู .....อ่ะ อ่ะ งง อ่ะดิ
เจอคำนี้เข้าไป Kai-Kai-Kai-Kai อ่ะ งง งง งง กันใหญ่ ป๊าดดด สะใจกูจริงจิ๊งงงง
มินจี้ ลองขึ้นด้วยเสียงสูง ไค๊-ไค๊-ไค๊-ไค๊
เยนดร้า ลงเสียงทุ้มต่ำ ไข่-ไข่-ไข่-ไข่
เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ เพราะความพยายามออกเสียงของแต่ละคน พร้อมหน้างุนงง ฉงนนัก
เริ่มสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากอธิบายความหมายให้ฟัง
จากนั้น ทุกคนเริ่มแสดงความเป็นเทพทางด้านภาษาของชาติตัวเอง พยักพเยิด เชิ่ดหน้า ยักไหล่ซ้ายขวา โชว์การออกเสียงกันใหญ่
ไอ้เราก็ยิ้มๆกระหยิ่มในใจ โห๊ะ โห๊ะ ยัง ยัง ยัง... พวกเมิงยังรู้จักภาษาบ้านเกิดเมืองนอนกูน้อยไป
เมื่อรอบแรกที่ผ่านไป ทุกคนยังไม่ซาบซึ้งในภาษาไทยของเราเท่าที่ควร...จริงมั๊ย??
รอบแรกแค่ ใคร-ขาย-ไข่-ไก่ กูเกรงใจนะนั่น กลัวจะตกใจกะภาษาไทยของเรา เดี๋ยวก่อน ๆ รอเดี๋ยว
รอให้วนกลับมาถามกูอีกรอบก่อนเถิ๊ดดดดด....ชะ ชะ ชะ
>>>มาแล้วววว...<<<
"บ๊วยจ๊ะ...แล้วภาษาไทยมีประโยคไหนอีกบ้าง ลองยกตัวอย่างให้เพื่อนๆฟังหน่อยสิจ๊ะ?" ครูมะกันเรียกถาม
เอาหล่ะ...ถึงตากูบ้างแระ...กูจะสอนให้ได้รู้จักกับ.....นี่เลยยยยย
"Guys, listen carefully!" ตั้งใจฟังนะจ๊ะ พวกเมิงทั้งหลาย...
นางมีขายหอย นางมอยขายหมี
ขนหมีของนางมอย ติดอยู่บนหอยของนางมี
นางมีคนขายหอย กับนางมอยคนขายหมี
นางมีกล่าวหาว่านางมอย ลักหอยของนางมี
เพราะขนหมีของนางมอย ติดอยู่บนหอยของนางมี
หมีของนางมอย ไปลักหอยของนางมี
นางมอยคนขายหมี ต้องชดใช้หมีให้นางมีคนขายหอย
.............................ความเงียบสงัด นิ่งอึ้ง เข้าปกคลุมห้องเรียนเราไว้ ด้วยภาษาไทยที่เพิ่งจบลงค่ะ....................................
เป็นไงหล่ะ?? เงียบกันไปทั้งห้องเลยยยยย ฮ่าๆๆๆ กร๊ากกกๆๆๆ พูดจบเราก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
แต่ความเงียบ อึ้ง นิ่ง ทึ่ง ยังคงดำเนินต่อไป............
เอาแล้วกู!!
สร้างความเก๋ไก๋ให้ประเทศชาติซะแล้วมั๊ยหล่ะ นึกสงสารนักเรียนไทยในโรงเรียนนี้ขึ้นมาทันที
ถ้าคลาสต่อไปครูคนนี้ได้สอนนักเรียนไทยอีก เค้าจะถ่ายทอดได้แบบที่เราทำรึปล่าวนะ??
และแล้ว ความเงียบก็ถูกทำลายลง ด้วยเสียงแสบสัน จากครูสาวชาวมะกันว่า....
"นักเรียนทั้งหลายคะ ลองพูดตามบ๊วยที่ละประโยคค่ะ!!"
ขออนุญาตข้ามตอนนี้ไปเลยนะคะ ว่านักเรียนนานาชาติ ออกเสียงกันอย่างไรบ้าง...เขียนไม่ไหวจริงๆค่ะ อรึ๋ยยยย....
-เกี้ยมบ๊วย
ทำไมอยากไปอยู่เมืองนอก?? (ตอนที่ 5)
ตอนที่ 6 http://ppantip.com/topic/30755505
ตอนที่ 5 ...
ไปเริ่มเรียนวันแรก หลังจากสอบวัดระดับทางภาษาไปแล้ว ตื่นเต้นมากๆ กลัวตกรถเมล์เลยมาถึงโรงเรียนเร็วเป็นชั่วโมง
ทางโรงเรียนอำนวยความสะดวกให้นักเรียนต่างชาติ อย่างแรกที่เราสัมผัสได้คือ เจ้าหน้าที่...นานาชาติ
เจ้าหน้าที่ให้บริการมาจากหลากหลายประเทศด้วยกัน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี สเปน โปรตุเกส บราซิล โคลัมเบีย เปรู ฝรั่งเศส รัสเซีย
เห็นจะหมุนเวียนเปลี่ยนกะกันมากมาย แต่ที่ปิ๊งปั๊งเปรี้ยงปร้าง ทำให้เราพุ่งเข้าไปหาด้วยความอุ่นใจคือ สาวสวย สูงปรี๊ด ผิวเข้ม ตาคม ผมดำ และสวมแหวนเพชรที่นิ้วนางข้างซ้าย จาก สยามประเทศ เราเรียกเธอว่า “พี่โอปอล”
พี่โอปอล ตรวจดูคะแนนวัดระดับทางภาษาอีกครั้ง วางหนังสือเรียนบนโต๊ะ 3 เล่ม เรียกเก็บเงิน $120 แล้วไล่เข้าห้อง Level 3
เราก็เดินต๊อกๆ หน้าง่อยๆ เข้าไปนั่งเรียนอย่างว่าง่าย แต่ที่ครูมะกัน สอนอยู่บนกระดานมันไม่ง่ายอย่างที่คิดหน่ะสิคะ
เคยนั่งเรียนแล้วอึดอัด เหมือนจะหายใจไม่ออกมั๊ย กลัวเค้าจะหันมาถาม กูไม่อยากตอบ กูไม่อยากแสดงความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น
จะสอนอะไรก็พูดๆมาเหอะ จะชี้ถามเพื่ออะไรเนี่ย ถ้ารู้แล้ว เก่งแล้ว เข้าใจหมด คงไม่มานั่งเรียนแล้วหล่ะค่ะ
คงลุกขึ้นยืนแล้วแย่งงานครูไปแล้ว ณ ความรู้สึกในจุดนี้
เดินต๊อกๆ หน้าง่อยๆ หนักกว่าเก่า ออกมาหาพี่โอปอล ที่หน้าเคาน์เตอร์อีกครั้ง...
“ขอหนูไปเรียนห้อง Beginning ได้มั๊ยคะ”
“เหตุผล?” พี่โอปอลซัก...
“น้ำลายครูฟุ้งเต็มโต๊ะเลย หนูฟังไม่รู้เรื่อง”
พี่โอปอลใช้วิจารณญาณในการพิจารณาอยู่ 3 วินาที... “ถ้าเบื่อแล้วอย่าบ่นหล่ะ” ฉีกยิ้มกว้างให้อีกที แล้วค้อนขวับ
จัดการเปลี่ยนหนังสือและห้องเรียนให้อย่างใจดี
เปิดประตูห้องเรียนใหม่ ไม่มีนักเรียนไทยซักคน ถ้าเดินกลับไปหาพี่โอปอลอีกครั้ง มีหวังโดนถีบด้วย 2 เท้าเป็นแน่
Where where is where where (ไหนๆก็ไหนๆ) เรียนๆไปเดี๋ยวคงโอเค
นักเรียนภาษาในห้องมาจากหลายประเทศ ต่างคนต่างมีภาษาประจำชาติ แล้วอยู่ๆ ก็จับไอ้คนที่พูดคนละภาษา
จับพวกมันมาให้พูดภาษาเดียวกัน เป็นการบังคับให้ใช้ภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียวเพื่อการสื่อสาร โอ๊ยยย...มั่วกันมันส์ส์ส์หล่ะงานนี้
ไอ้การที่บังคับให้ทุกคนใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารอ่ะ ไม่ใช่เรื่องยาก ...แต่ไอ้ที่มันยากอ่ะ คือ “เมิงพูดอะไรวะเนี่ย กูไม่เข้าใจ”
นี่แหละ สำคัญ ที่สุด...
บรรยากาศในห้องเรียนดูสบายๆ บ้างยกเท้าขึ้นมาวางบนโต๊ะ บ้างกินขนม บ้างก็นั่งบนโต๊ะครู เดินไปเดินมาก็ยังมี
หลังจากทักทายกันนิดหน่อย พูดคุยกันได้กระจิ๊ดริด นักเรียนในห้องก็ถูกแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมร่วมกัน
อเล็กซ์ จาก สเปน
มินจี้ จาก ญี่ปุ่น
เยนดร้า จาก บราซิล
ซาลัม จาก ซาอุดิอาระเบีย
และ เกี้ยมบ๊วย จากประเทศไทย
ทุกคนงัด Talking Dict ประจำชาติของตัวเองขึ้นมาวางบนโต๊ะ อวดดีไซน์และสีสันกันโดยมิได้นัดหมาย
“โอเค...วัยรุ่นทั้งหลาย กรุณาเก็บอุปกรณ์แปลภาษาประจำชาติของตัวเองเดี๋ยวนี้ เราจะอธิบายกันแบบ
English to English NOT English to your language ขอบคุณค่ะ” ครูสาวชาวมะกัน ออกคำสั่งเสียงดังลั่น
การเรียนเริ่มขึ้นอย่างบันเทิงอารมณ์ ความสับสนทางภาษาเกิดขึ้นเป็นระยะๆ
อเล็กซ์ พูดว่า เมื่อคืนอ่านหนังสือบนโค้ช(Coach)คนใหม่ แทนที่จะเป็น บนโซฟา(Couch)ตัวใหม่
มินจี้ ออกเสียงคำว่า Sometimes เป็น โซ-เม็ด-ทิ-เมส
และอาจเพราะความตื่นเต้นทำให้ ซาลัม อ่านออกเสียงจาก “เดอะ” (THE) เป็น ทะ-ฮี (Ta-he)
ชั่วโมงนั้นครูเลยสอนเรื่องการออกเสียง และ ไอ้พวกคำพ้องรูป-พ้องเสียง เป็นการใหญ่
ตัวอย่างแรก ถูกนำขึ้นกระดานอย่างหรูหรา โดยครูผู้สอน สัญชาติอเมริกัน
How much wood would a woodchuck chuck if a woodchuck could chuck wood?
วัยรุ่นก็ลองออกเสียงกัน ปากจู๋ ปากแบน น้ำลายกระเซ็น พอเป็นกระไส
ครูยังไม่ยอมจบแค่นั้น
ยังให้แต่ละคนยกตัวอย่างประโยคที่โชว์ความเหนือด้านการออกเสียงในภาษาของตัวเองมาให้เพื่อนๆลองพูด ลองออกเสียงกัน
ภาษาของแต่ละคน ประเทศแล้ว ... ประเทศเล่า ... ผ่านไป ... ผ่านไป
พอหันมาถึงคิวเราบ้าง...
โอ๊ะ!! ซวยแระกู ตอนสมัยเรียนที่เมืองไทย ภาษาไทยอ่อน ภาษาอังกฤษอ่อนมากกว่า คณิตศาสตร์เลิกคิดไปได้เลย
แต่เพื่อหน้าตาประเทศชาติ เราจะพยายามเต็มที่ค่ะ!!
พวกเมิงต้องเจอคำนี้ ... นี่เลยยยย “ใครขายไข่ไก่” ของบ้านกู .....อ่ะ อ่ะ งง อ่ะดิ
เจอคำนี้เข้าไป Kai-Kai-Kai-Kai อ่ะ งง งง งง กันใหญ่ ป๊าดดด สะใจกูจริงจิ๊งงงง
มินจี้ ลองขึ้นด้วยเสียงสูง ไค๊-ไค๊-ไค๊-ไค๊
เยนดร้า ลงเสียงทุ้มต่ำ ไข่-ไข่-ไข่-ไข่
เรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆ เพราะความพยายามออกเสียงของแต่ละคน พร้อมหน้างุนงง ฉงนนัก
เริ่มสนุกขึ้นมาบ้างแล้ว หลังจากอธิบายความหมายให้ฟัง
จากนั้น ทุกคนเริ่มแสดงความเป็นเทพทางด้านภาษาของชาติตัวเอง พยักพเยิด เชิ่ดหน้า ยักไหล่ซ้ายขวา โชว์การออกเสียงกันใหญ่
ไอ้เราก็ยิ้มๆกระหยิ่มในใจ โห๊ะ โห๊ะ ยัง ยัง ยัง... พวกเมิงยังรู้จักภาษาบ้านเกิดเมืองนอนกูน้อยไป
เมื่อรอบแรกที่ผ่านไป ทุกคนยังไม่ซาบซึ้งในภาษาไทยของเราเท่าที่ควร...จริงมั๊ย??
รอบแรกแค่ ใคร-ขาย-ไข่-ไก่ กูเกรงใจนะนั่น กลัวจะตกใจกะภาษาไทยของเรา เดี๋ยวก่อน ๆ รอเดี๋ยว
รอให้วนกลับมาถามกูอีกรอบก่อนเถิ๊ดดดดด....ชะ ชะ ชะ
>>>มาแล้วววว...<<<
"บ๊วยจ๊ะ...แล้วภาษาไทยมีประโยคไหนอีกบ้าง ลองยกตัวอย่างให้เพื่อนๆฟังหน่อยสิจ๊ะ?" ครูมะกันเรียกถาม
เอาหล่ะ...ถึงตากูบ้างแระ...กูจะสอนให้ได้รู้จักกับ.....นี่เลยยยยย
"Guys, listen carefully!" ตั้งใจฟังนะจ๊ะ พวกเมิงทั้งหลาย...
นางมีขายหอย นางมอยขายหมี
ขนหมีของนางมอย ติดอยู่บนหอยของนางมี
นางมีคนขายหอย กับนางมอยคนขายหมี
นางมีกล่าวหาว่านางมอย ลักหอยของนางมี
เพราะขนหมีของนางมอย ติดอยู่บนหอยของนางมี
หมีของนางมอย ไปลักหอยของนางมี
นางมอยคนขายหมี ต้องชดใช้หมีให้นางมีคนขายหอย
.............................ความเงียบสงัด นิ่งอึ้ง เข้าปกคลุมห้องเรียนเราไว้ ด้วยภาษาไทยที่เพิ่งจบลงค่ะ....................................
เป็นไงหล่ะ?? เงียบกันไปทั้งห้องเลยยยยย ฮ่าๆๆๆ กร๊ากกกๆๆๆ พูดจบเราก็หัวเราะชอบใจอยู่คนเดียว
แต่ความเงียบ อึ้ง นิ่ง ทึ่ง ยังคงดำเนินต่อไป............
เอาแล้วกู!!
สร้างความเก๋ไก๋ให้ประเทศชาติซะแล้วมั๊ยหล่ะ นึกสงสารนักเรียนไทยในโรงเรียนนี้ขึ้นมาทันที
ถ้าคลาสต่อไปครูคนนี้ได้สอนนักเรียนไทยอีก เค้าจะถ่ายทอดได้แบบที่เราทำรึปล่าวนะ??
และแล้ว ความเงียบก็ถูกทำลายลง ด้วยเสียงแสบสัน จากครูสาวชาวมะกันว่า....
"นักเรียนทั้งหลายคะ ลองพูดตามบ๊วยที่ละประโยคค่ะ!!"
ขออนุญาตข้ามตอนนี้ไปเลยนะคะ ว่านักเรียนนานาชาติ ออกเสียงกันอย่างไรบ้าง...เขียนไม่ไหวจริงๆค่ะ อรึ๋ยยยย....
-เกี้ยมบ๊วย