เรื่องเคยมีมาแล้ว……อ่านแล้ว เอามาฝาก
สมัยหนึ่ง บุตรน้อยของคฤหบดีตาย
คฤหบดีนั้น ได้ไปยังป่าช้าแล้วๆ เล่าๆ คร่ำครวญถึงบุตรว่า บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน.
แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เล่าให้พระพุทธเจ้าฟังถึงอาการตน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรคฤหบดี อินทรีย์ไม่เป็นของท่านผู้ตั้งอยู่ในจิตของตน ท่านมีอินทรีย์เป็นอย่างอื่นไป.
ดูกรคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น
เพราะว่าโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก.
คฤหบดีนั้น คิดว่า จักเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะมีทิฏฐิว่า
ความยินดีและความโสมนัส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก
จึงลุกจาก ที่นั่งแล้วหลีกไป…..ไปไหน ดันไปหา นักเลงสกา ที่เล่นสกากันอยู่ แล้วเล่าให้นักเลงสกาฟัง ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้
นักเลงสกา รับรองทิฏฐิของคหบดี คือ
เพราะว่าความยินดีและความโสมนัสย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก.
ทั้งคหบดี และ นักเลงสกา ยังไม่สามารถกำหนดรู้ ทุกข์ได้
ที่ว่า
“ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,ความที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้นสมหวัง ก็เป็นทุกข์,
กล่าวโดยย่อ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้ง ๕ เป็นทุกข์.”
อ่านเต็มๆ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=13&A=8454&w=%BA%D8%B5%C3%B9%E9%CD%C2%A2%CD%A7%A4%C4%CB%BA%B4%D5%B5%D2%C2
อริยสัจที่ใครๆควรรอบรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้ง ควรทำให้เกิดมี
ภิกษุ ท.!
อริยสัจที่ใครๆควรรอบรู้นั้น ได้แก่ อริยสัจ คือ ทุกข์ ;
อริยสัจที่ใคร ๆ ควรละนั้น ได้แก่อริยสัจ คือ เหตุให้เกิดทุกข์ ;
อริยสัจที่ใคร ๆ ควรทำให้แจ้งนั้น ได้แก่อริยสัจ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ ;
อริยสัจที่ใคร ๆ ควรทำให้เกิดมีนั้นได้แก่ อริยสัจ คือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ท.! เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้. พวกเธอทั้งหลาย พึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามที่เป็นจริง
ว่า “ทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,” ดังนี้ ;
ว่า “เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,” ดังนี้ ;
ว่า “ความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,”ดังนี้ ;
ว่า “ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ ;” ดังนี้เถิด.
- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๐๙.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๑๔๘๙
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1709
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์
สมัยหนึ่ง บุตรน้อยของคฤหบดีตาย
คฤหบดีนั้น ได้ไปยังป่าช้าแล้วๆ เล่าๆ คร่ำครวญถึงบุตรว่า บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน บุตรน้อยคนเดียวอยู่ไหน.
แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เล่าให้พระพุทธเจ้าฟังถึงอาการตน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ดูกรคฤหบดี อินทรีย์ไม่เป็นของท่านผู้ตั้งอยู่ในจิตของตน ท่านมีอินทรีย์เป็นอย่างอื่นไป.
ดูกรคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ดูกรคฤหบดี ข้อนี้เป็นอย่างนั้น เพราะว่าโสกะปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก.
คฤหบดีนั้น คิดว่า จักเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะมีทิฏฐิว่า ความยินดีและความโสมนัส ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก
จึงลุกจาก ที่นั่งแล้วหลีกไป…..ไปไหน ดันไปหา นักเลงสกา ที่เล่นสกากันอยู่ แล้วเล่าให้นักเลงสกาฟัง ว่าพระพุทธเจ้ากล่าวอย่างนี้
นักเลงสกา รับรองทิฏฐิของคหบดี คือ
เพราะว่าความยินดีและความโสมนัสย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก.
ทั้งคหบดี และ นักเลงสกา ยังไม่สามารถกำหนดรู้ ทุกข์ได้
ที่ว่า “ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์,ความที่ตนปรารถนาแล้วไม่ได้สิ่งนั้นสมหวัง ก็เป็นทุกข์,
กล่าวโดยย่อ ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือทั้ง ๕ เป็นทุกข์.”
อ่านเต็มๆ
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=13&A=8454&w=%BA%D8%B5%C3%B9%E9%CD%C2%A2%CD%A7%A4%C4%CB%BA%B4%D5%B5%D2%C2
อริยสัจที่ใครๆควรรอบรู้ ควรละ ควรทำให้แจ้ง ควรทำให้เกิดมี
ภิกษุ ท.!
อริยสัจที่ใครๆควรรอบรู้นั้น ได้แก่ อริยสัจ คือ ทุกข์ ;
อริยสัจที่ใคร ๆ ควรละนั้น ได้แก่อริยสัจ คือ เหตุให้เกิดทุกข์ ;
อริยสัจที่ใคร ๆ ควรทำให้แจ้งนั้น ได้แก่อริยสัจ คือ ความดับไม่เหลือของทุกข์ ;
อริยสัจที่ใคร ๆ ควรทำให้เกิดมีนั้นได้แก่ อริยสัจ คือ ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์.
ภิกษุ ท.! เพราะฉะนั้น ในกรณีนี้. พวกเธอทั้งหลาย พึงทำความเพียรเพื่อให้รู้ตามที่เป็นจริง
ว่า “ทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,” ดังนี้ ;
ว่า “เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,” ดังนี้ ;
ว่า “ความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ,”ดังนี้ ;
ว่า “ทางดำเนินให้ถึงความดับไม่เหลือของทุกข์ เป็นเช่นนี้ ๆ ;” ดังนี้เถิด.
- มหาวาร. สํ. ๑๙/๕๔๖/๑๗๐๙.
อริยสัจจากพระโอษฐ์ หน้า ๑๔๘๙
http://www.84000.org/tipitaka/read/?19/1709