กูรูพยากรณ์ราคาทองคำหัวทิ่มยันสิ้นปี แถมมีลุ้นดิ่งลึก 17,000 บาท ใกล้ราคาขายหน้าเหมือง หลังอินเดียขอความร่วมมือสมาคมผู้ค้าทองคำหยุดขายเหรียญ-ทองคำแท่งให้ประชาชน ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แถมสหรัฐยังมีแนวโน้มลดปริมาณ QE กดดันเงินลงทุนไหลออกต่อเนื่อง
นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาทองคำจากนี้จนถึงสิ้นปีมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน โดยประเมินว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงไปถึง 1,200-1,115 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,000 บาท ขณะที่แนวโน้มการแกว่งตัวขึ้น (รีบาวนด์) อาจจะทดสอบที่ระดับ 1,420-1,500 เหรียญต่อออนซ์ หรือราวบาทละ 21,000-22,000 บาทได้ อย่างไรก็ตาม หากปรับตัวขึ้นไปถึงระดับดังกล่าว เชื่อว่าจะมีแรงเทขายจากนักลงทุนรายย่อยกดดันให้ราคาทองคำร่วงต่อได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องการเสียโอกาส โดยแช่เงินลงทุนไว้ในทองคำที่ยังไม่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนดี
"ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ราคาทองคำมีโอกาสจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,115-1,200 เหรียญต่อออนซ์ หรือประมาณ 17,000 บาท จากปัจจุบันที่อยู่ราว 19,000 บาทได้ และแม้ราคาจะรีบาวนด์ขึ้นมา แต่ก็จะถูกขายอยู่ดี เพราะยังมีปัจจัยลบรออยู่มาก" นายทรงวุฒิกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยลบที่จะกดดันราคาทองคำในช่วงนี้ ได้แก่ การลดปริมาณนำเข้าทองคำของอินเดีย โดยล่าสุดรัฐบาลอินเดียได้ขอความร่วมมือต่อสมาคมผู้ค้าทองคำในประเทศให้ยุติการขายเหรียญและทองคำแท่งให้กับประชาชน เนื่องจากพบว่าการนำเข้าทองคำเป็นจำนวนมหาศาล ได้ส่งผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมาก และไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้วย
ดังนั้น เมื่อประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของโลกมีทีท่าจะบริโภคทองคำลดลง จนกว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเป็นปกติ จึงส่งผลโดยตรงต่อราคาทองคำในระยะนี้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดเงินอัดฉีดเพื่อซื้อพันธบัตรตามมาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) เหลือ 7 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน จากเดิม 8.5 หมื่นล้านเหรียญ จึงทำให้เกิดการถอนเงินลงทุนล่วงหน้าจากทุกตลาดการลงทุน รวมถึงทองคำด้วย
นายทรงวุฒิกล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในทองคำหลังจากนี้ แนะนำแบ่งเงินลงทุนที่เตรียมไว้เพื่อทยอยซื้อทองครั้งละ 20% เนื่องจากขณะนี้ยังประเมินจุดต่ำสุดของราคาทองคำได้ค่อนข้างยาก
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า บริษัทประเมินกรอบราคาทองคำโดยมีแนวรับที่ 1,220 เหรียญ และแนวรับถัดไปที่ 1,150 เหรียญ หรือคิดเป็นบาทละ 18,500-17,500 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,320 เหรียญ และ 1,420 เหรียญ หรือคิดเป็นบาทละ 19,500-21,500 บาท
โดยมองว่าทิศทางราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นขาลงและคาดเดาจุดต่ำสุดได้ยาก เพราะยังคงมีข่าวลบกดดันทั้งในแง่ของแรงซื้อจากจีนและอินเดียที่ปรับตัวลดลง รวมถึงธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็ไม่ได้มีสัญญาณเข้าลงทุนอย่างชัดเจนเหมือนที่ผ่านมา
"แม้ทองคำจะเป็นช่วงขาลง แต่นักลงทุนก็ยังซื้อไว้ในพอร์ตประมาณ 10% เพื่อกระจายความเสี่ยงได้ ซึ่งก็ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยลงจากปีก่อนที่เราแนะนำให้มีทองคำในพอร์ตประมาณ 20% แต่ก็ไม่น่าตกใจ ทุกอย่างก็เป็นไปตามภาวะตลาดขาลงที่ต้องปรับมุมมองการลงทุน ซึ่งในปีนี้เรามองว่าแนวรับ 1,150 เหรียญ จะยังไหวอยู่ แต่ถ้าไม่ไหว ก็คงต้องตัวใครตัวมัน" นางสาวฐิภากล่าว
กูรูฟันธงหมดยุคทองเฟื่อง2หมื่นบ. ดิ่งตามราคาโลกหลังอินเดียลดนำเข้า-เฟดลดQE
นายทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์ กล่าวว่า สถานการณ์ราคาทองคำจากนี้จนถึงสิ้นปีมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน โดยประเมินว่ามีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงไปถึง 1,200-1,115 เหรียญต่อออนซ์ หรือบาทละ 17,000 บาท ขณะที่แนวโน้มการแกว่งตัวขึ้น (รีบาวนด์) อาจจะทดสอบที่ระดับ 1,420-1,500 เหรียญต่อออนซ์ หรือราวบาทละ 21,000-22,000 บาทได้ อย่างไรก็ตาม หากปรับตัวขึ้นไปถึงระดับดังกล่าว เชื่อว่าจะมีแรงเทขายจากนักลงทุนรายย่อยกดดันให้ราคาทองคำร่วงต่อได้ เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ต้องการเสียโอกาส โดยแช่เงินลงทุนไว้ในทองคำที่ยังไม่มีแนวโน้มสร้างผลตอบแทนดี
"ภายในเดือนธันวาคมปีนี้ ราคาทองคำมีโอกาสจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า 1,115-1,200 เหรียญต่อออนซ์ หรือประมาณ 17,000 บาท จากปัจจุบันที่อยู่ราว 19,000 บาทได้ และแม้ราคาจะรีบาวนด์ขึ้นมา แต่ก็จะถูกขายอยู่ดี เพราะยังมีปัจจัยลบรออยู่มาก" นายทรงวุฒิกล่าว
ทั้งนี้ ปัจจัยลบที่จะกดดันราคาทองคำในช่วงนี้ ได้แก่ การลดปริมาณนำเข้าทองคำของอินเดีย โดยล่าสุดรัฐบาลอินเดียได้ขอความร่วมมือต่อสมาคมผู้ค้าทองคำในประเทศให้ยุติการขายเหรียญและทองคำแท่งให้กับประชาชน เนื่องจากพบว่าการนำเข้าทองคำเป็นจำนวนมหาศาล ได้ส่งผลกระทบต่อดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างมาก และไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจด้วย
ดังนั้น เมื่อประเทศอินเดียซึ่งเป็นผู้นำเข้าอันดับ 1 ของโลกมีทีท่าจะบริโภคทองคำลดลง จนกว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเป็นปกติ จึงส่งผลโดยตรงต่อราคาทองคำในระยะนี้
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยลบจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลดเงินอัดฉีดเพื่อซื้อพันธบัตรตามมาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) เหลือ 7 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน จากเดิม 8.5 หมื่นล้านเหรียญ จึงทำให้เกิดการถอนเงินลงทุนล่วงหน้าจากทุกตลาดการลงทุน รวมถึงทองคำด้วย
นายทรงวุฒิกล่าวว่า สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในทองคำหลังจากนี้ แนะนำแบ่งเงินลงทุนที่เตรียมไว้เพื่อทยอยซื้อทองครั้งละ 20% เนื่องจากขณะนี้ยังประเมินจุดต่ำสุดของราคาทองคำได้ค่อนข้างยาก
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า บริษัทประเมินกรอบราคาทองคำโดยมีแนวรับที่ 1,220 เหรียญ และแนวรับถัดไปที่ 1,150 เหรียญ หรือคิดเป็นบาทละ 18,500-17,500 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,320 เหรียญ และ 1,420 เหรียญ หรือคิดเป็นบาทละ 19,500-21,500 บาท
โดยมองว่าทิศทางราคาทองคำมีแนวโน้มเป็นขาลงและคาดเดาจุดต่ำสุดได้ยาก เพราะยังคงมีข่าวลบกดดันทั้งในแง่ของแรงซื้อจากจีนและอินเดียที่ปรับตัวลดลง รวมถึงธนาคารกลางของแต่ละประเทศก็ไม่ได้มีสัญญาณเข้าลงทุนอย่างชัดเจนเหมือนที่ผ่านมา
"แม้ทองคำจะเป็นช่วงขาลง แต่นักลงทุนก็ยังซื้อไว้ในพอร์ตประมาณ 10% เพื่อกระจายความเสี่ยงได้ ซึ่งก็ถือเป็นสัดส่วนที่น้อยลงจากปีก่อนที่เราแนะนำให้มีทองคำในพอร์ตประมาณ 20% แต่ก็ไม่น่าตกใจ ทุกอย่างก็เป็นไปตามภาวะตลาดขาลงที่ต้องปรับมุมมองการลงทุน ซึ่งในปีนี้เรามองว่าแนวรับ 1,150 เหรียญ จะยังไหวอยู่ แต่ถ้าไม่ไหว ก็คงต้องตัวใครตัวมัน" นางสาวฐิภากล่าว