คอลัมน์ คนตกสีที่อยู่อีกฝากหนึ่ง กระแสทรรศน์ 28 มิถุนายน 56
ประเทศไทยอยู่กับ "สังคมแม่สี" มาเกินห้าปีแล้ว
เริ่มแรกอาจจะแบ่งด้วยเรื่องรสนิยมทางการเมือง หากพัฒนาการของมันน่าสนใจกว่า เพราะเมื่อเวลาผ่านไป
เรารู้สึกเหมือนกับว่า "สี" เสื้อนั้น มันอาจจะเป็นการแยกแบ่ง "ความคิดความเชื่อเชิงสังคม" ไปในตัวด้วย
ทำไมฝ่ายเหลืองส่วนใหญ่มีความคิดทางสังคมออกไปในแนวทางอนุรักษนิยม นั่นเพราะเชื่อมั่น "คุณงามความดี"
ว่าเป็นสัจธรรม มากยิ่งกว่าวิธีการ คนกลุ่มนี้จึงต้องต้านหรือไล่ "คนไม่ดี" ของพวกเขา ไม่ว่าจะทางใด
แม้แต่วิธีการรัฐประหาร ด้วยเขาเชื่อว่า วิธีการเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นคุณธรรมความดี (หรือกำจัดสิ่งที่ไม่ดี) จะวิธีใด
วิธีนั้นก็คือวิธีการที่ดีในตัวมันอยู่แล้ว
ส่วนฝ่ายแดงนั้น เชื่อไปในทางตรงข้ามว่า ชั่วดีนั้นคือนามธรรมหรืออัตวิสัย ชั่วดีสุดแต่ใคร หรืออธิบายว่า
"ชั่วดีเป็นเพียงวาทกรรม (Discourse)" ดังนั้นในทางการเมืองแล้ว พวกเขาจึงเชื่อในข้อยุติที่เป็นรูปธรรม
คือประโยชน์ความต้องการของคนส่วนมาก ได้แก่ "ประชาธิปไตย" ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงมีภาพลักษณ์หรือ
มีแนวคิดไปในทางเสรีนิยม บางกลุ่มเรียกตัวเองว่า เป็นพวก "ลิเบอรัล" หรือ "เสรีชน" จึงปรากฏเห็น
บ่อยๆว่า แนวคิดของพวก "แดงๆ" โดยเฉพาะสายปัญญาชนหรือหนุ่มสาว ก็จะมีภาพของการท้าทายถอดรื้อ
กรอบความคิดเดิมๆ เรื่องจารีตประเพณี หรือเรื่องคุณความดีทั้งหลาย
และสุดท้าย "สลิ่ม" นั้นคือกลุ่มที่นิยามยากที่สุด แม้จะมีส่วนคล้ายกับเหลือง แต่สลิ่มก็ไม่ได้เลื่อมใสใน
แนวอนุรักษนิยมขนาดนั้น หากจะแกว่งไกวไปตามกรณี บางคนเชื่อว่าตัวเองเป็นเสรีนิยม ยอมรับความแตกต่าง
หลากหลายทางเพศ แต่ก็ดันเขม่นรุ่นน้องในที่ทำงานที่ไม่ยกมือไหว้ บางความเห็นจึงนิยามสลิ่มว่าได้แก่ผู้ไม่มี
ความมั่นคงในหลักการ สามารถเลือกสมาทานแนวคิดได้ตามใจชอบแบบุฟเฟต์ที่จัดอะไรมาลงจานก็ได้โดย
ไม่ต้องเข้าหรือไปในแนวทางเดียวกัน
หากเรายอมรับการ "แบ่งสี" นี้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดทางสังคมด้วยแล้ว เราก็จะ "เดาทาง" ความคิดเห็น
ของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมได้ง่ายขึ้น เช่น เรื่องการยกเลิกทรงผมหัวเกรียนของเด็กนักเรียน ถ้าเป็นคนออกเหลือง
ก็จะไม่ค่อยเห็นด้วย ถ้าเป็นคนออกแดง ก็ออกจะเห็นด้วย ส่วนสลิ่ม ส่วนใหญ่ก็คงเห็นดี เว้นแต่ถ้าเป็นศิษย์
โรงเรียนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงนมนานภาคภูมิในประเพณีก็จะไม่เห็นด้วย
แต่เราคงแบ่งผู้คนหยาบๆ เพียงเท่านั้นไม่ได้ ในโลกของความแตกต่างหลากหลาย ความเป็นไปได้อื่นก็เริ่มมีขึ้น
ใครคนหนึ่งอาจเคยสมาทานไปทางเดียวกับสีหนึ่ง ตามประสาผู้ศรัทธาในประชาธิปไตย เสรีนิยม มองโลกด้วย
สายตาที่ตัดเรื่องคุณงามความดีออกไปให้เป็นเรื่องปัจเจก เชื่อในความเท่าเทียมของมนุษย์ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งมาถึง
เขากลับต้องใคร่ครวญใหม่ว่า ที่เขาเชื่อเช่นนั้นมันจริงหรือ ?
ความดีเป็นอัตวิสัย เป็นวาทกรรม แต่ทำไมกัน เราถึงรู้สึกดีที่ได้ลุกให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเราได้นั่ง
บนรถเมล์ ทั้งๆที่มันขัดต่อความเท่าเทียมที่เคยยึดมั่น
หรือเขาเริ่มลังเลไม่แน่ใจว่า เราจะควรยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ ปล่อยให้ประชาธิปไตยนำพาประเทศไปเพียงตาม
เสียงข้างมากโดยดุษณี แม้เราจะรู้ว่าความเสียหายมันอาจจะเยียวยาไม่ได้อีกเลย ในวันนั้น เราจะได้แต่ยิ้มแหยๆ
บอกได้เพียงว่า "นี่เป็นบทเรียนประชาธิปไตยที่คนในชาติต้องเรียนรู้ร่วมกัน" เท่านั้นหรือ ?
คนตกสีที่เคยเชื่อว่าตัวเองเข้าใจ และมีแนวความคิดทางการเมืองและทางสังคมบางอย่าง แต่แล้ว ทุกครั้งที่
เขาตั้งคำถามทบทวนความคิดของตนเองนั้น นับวันสีของเขาหลุดลอกออกไป จนเขาไม่กล้าแม้แต่จะไปร่วม
งานรำลึกทางการเมืองอย่างที่เคยทำได้ เคยมั่นใจ คนตกสียิ่งลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้มายืน
อยู่อีกฝั่งหนึ่ง อยู่กับผู้คนฝั่งที่เป็นเหมือนฝ่าย "ตรงข้าม" ที่เขาเคยไม่เห็นด้วย เขารับฟังความคิดของผู้คนเหล่านั้น
อย่างเข้าใจได้ว่า ทำไมคนกลุ่มนั้น จึงเห็น
จึงเชื่อและมีมุมมองเช่นนั้น
คนตกสียังไม่มีคำตอบในวันนี้ และเขายังคงตั้งคำถามถึงสิ่งที่ต่างๆ ผ่านมุมมองของคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372399821&grpid=&catid=02&subcatid=0200
เก็บตกคอลัมน์นี้ มาฝากเพื่อน ๆ พิเศษ สำหรับสหาย nonแดง ทุกท่าน เพราะ เป็นคน "ตกสี" น่าจะดีกว่า
nonแดง เพราะสามารถ ใช้แว่นตาสีขาว มองทุกสี ได้ แต่ nonแดง ยอมรับในทุกสียกเว้น "สีแดง"
บอกถึงการไม่ยอมรับในสีแดง เกลียดชังไหม ? อ่านจาก กระทู้และ คคห.น่าจะบอกได้นะ ว่ารู้สึกอย่างไร
กับสีแดง คุณรักจริงหวังแต่ง และเพื่อนๆ หลายคน ตั้งกลุ่มใหม่ ดีไหม? "คนตกสี" ดูจะ "เท่ห์" ดีนะคะ
เพราะหลายๆ คนก็เหมือนกับจะบอกว่า ปชป.ก็ไม่ชอบๆ นักการเมือง สักกะคน มาเลยค่ะ มาเป็น "คนตกสี"
กันดีกั่ว คำแนะนำจาก "สาวเหลือน้อย" สำหรับวันหยุด....
เหลือง แดง สลิ่ม และ "คนตกสี"โดย กล้า สมุทวณิช ......มติชนออนไลน์
ประเทศไทยอยู่กับ "สังคมแม่สี" มาเกินห้าปีแล้ว
เริ่มแรกอาจจะแบ่งด้วยเรื่องรสนิยมทางการเมือง หากพัฒนาการของมันน่าสนใจกว่า เพราะเมื่อเวลาผ่านไป
เรารู้สึกเหมือนกับว่า "สี" เสื้อนั้น มันอาจจะเป็นการแยกแบ่ง "ความคิดความเชื่อเชิงสังคม" ไปในตัวด้วย
ทำไมฝ่ายเหลืองส่วนใหญ่มีความคิดทางสังคมออกไปในแนวทางอนุรักษนิยม นั่นเพราะเชื่อมั่น "คุณงามความดี"
ว่าเป็นสัจธรรม มากยิ่งกว่าวิธีการ คนกลุ่มนี้จึงต้องต้านหรือไล่ "คนไม่ดี" ของพวกเขา ไม่ว่าจะทางใด
แม้แต่วิธีการรัฐประหาร ด้วยเขาเชื่อว่า วิธีการเพื่อสร้างสิ่งที่เป็นคุณธรรมความดี (หรือกำจัดสิ่งที่ไม่ดี) จะวิธีใด
วิธีนั้นก็คือวิธีการที่ดีในตัวมันอยู่แล้ว
ส่วนฝ่ายแดงนั้น เชื่อไปในทางตรงข้ามว่า ชั่วดีนั้นคือนามธรรมหรืออัตวิสัย ชั่วดีสุดแต่ใคร หรืออธิบายว่า
"ชั่วดีเป็นเพียงวาทกรรม (Discourse)" ดังนั้นในทางการเมืองแล้ว พวกเขาจึงเชื่อในข้อยุติที่เป็นรูปธรรม
คือประโยชน์ความต้องการของคนส่วนมาก ได้แก่ "ประชาธิปไตย" ดังนั้น คนเสื้อแดงจึงมีภาพลักษณ์หรือ
มีแนวคิดไปในทางเสรีนิยม บางกลุ่มเรียกตัวเองว่า เป็นพวก "ลิเบอรัล" หรือ "เสรีชน" จึงปรากฏเห็น
บ่อยๆว่า แนวคิดของพวก "แดงๆ" โดยเฉพาะสายปัญญาชนหรือหนุ่มสาว ก็จะมีภาพของการท้าทายถอดรื้อ
กรอบความคิดเดิมๆ เรื่องจารีตประเพณี หรือเรื่องคุณความดีทั้งหลาย
และสุดท้าย "สลิ่ม" นั้นคือกลุ่มที่นิยามยากที่สุด แม้จะมีส่วนคล้ายกับเหลือง แต่สลิ่มก็ไม่ได้เลื่อมใสใน
แนวอนุรักษนิยมขนาดนั้น หากจะแกว่งไกวไปตามกรณี บางคนเชื่อว่าตัวเองเป็นเสรีนิยม ยอมรับความแตกต่าง
หลากหลายทางเพศ แต่ก็ดันเขม่นรุ่นน้องในที่ทำงานที่ไม่ยกมือไหว้ บางความเห็นจึงนิยามสลิ่มว่าได้แก่ผู้ไม่มี
ความมั่นคงในหลักการ สามารถเลือกสมาทานแนวคิดได้ตามใจชอบแบบุฟเฟต์ที่จัดอะไรมาลงจานก็ได้โดย
ไม่ต้องเข้าหรือไปในแนวทางเดียวกัน
หากเรายอมรับการ "แบ่งสี" นี้ว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคิดทางสังคมด้วยแล้ว เราก็จะ "เดาทาง" ความคิดเห็น
ของคนกลุ่มต่างๆ ในสังคมได้ง่ายขึ้น เช่น เรื่องการยกเลิกทรงผมหัวเกรียนของเด็กนักเรียน ถ้าเป็นคนออกเหลือง
ก็จะไม่ค่อยเห็นด้วย ถ้าเป็นคนออกแดง ก็ออกจะเห็นด้วย ส่วนสลิ่ม ส่วนใหญ่ก็คงเห็นดี เว้นแต่ถ้าเป็นศิษย์
โรงเรียนเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงนมนานภาคภูมิในประเพณีก็จะไม่เห็นด้วย
แต่เราคงแบ่งผู้คนหยาบๆ เพียงเท่านั้นไม่ได้ ในโลกของความแตกต่างหลากหลาย ความเป็นไปได้อื่นก็เริ่มมีขึ้น
ใครคนหนึ่งอาจเคยสมาทานไปทางเดียวกับสีหนึ่ง ตามประสาผู้ศรัทธาในประชาธิปไตย เสรีนิยม มองโลกด้วย
สายตาที่ตัดเรื่องคุณงามความดีออกไปให้เป็นเรื่องปัจเจก เชื่อในความเท่าเทียมของมนุษย์ แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งมาถึง
เขากลับต้องใคร่ครวญใหม่ว่า ที่เขาเชื่อเช่นนั้นมันจริงหรือ ?
ความดีเป็นอัตวิสัย เป็นวาทกรรม แต่ทำไมกัน เราถึงรู้สึกดีที่ได้ลุกให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ รุ่นราวคราวเดียวกับเราได้นั่ง
บนรถเมล์ ทั้งๆที่มันขัดต่อความเท่าเทียมที่เคยยึดมั่น
หรือเขาเริ่มลังเลไม่แน่ใจว่า เราจะควรยอมรับในเสียงส่วนใหญ่ ปล่อยให้ประชาธิปไตยนำพาประเทศไปเพียงตาม
เสียงข้างมากโดยดุษณี แม้เราจะรู้ว่าความเสียหายมันอาจจะเยียวยาไม่ได้อีกเลย ในวันนั้น เราจะได้แต่ยิ้มแหยๆ
บอกได้เพียงว่า "นี่เป็นบทเรียนประชาธิปไตยที่คนในชาติต้องเรียนรู้ร่วมกัน" เท่านั้นหรือ ?
คนตกสีที่เคยเชื่อว่าตัวเองเข้าใจ และมีแนวความคิดทางการเมืองและทางสังคมบางอย่าง แต่แล้ว ทุกครั้งที่
เขาตั้งคำถามทบทวนความคิดของตนเองนั้น นับวันสีของเขาหลุดลอกออกไป จนเขาไม่กล้าแม้แต่จะไปร่วม
งานรำลึกทางการเมืองอย่างที่เคยทำได้ เคยมั่นใจ คนตกสียิ่งลังเลมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้มายืน
อยู่อีกฝั่งหนึ่ง อยู่กับผู้คนฝั่งที่เป็นเหมือนฝ่าย "ตรงข้าม" ที่เขาเคยไม่เห็นด้วย เขารับฟังความคิดของผู้คนเหล่านั้น
อย่างเข้าใจได้ว่า ทำไมคนกลุ่มนั้น จึงเห็น
จึงเชื่อและมีมุมมองเช่นนั้น
คนตกสียังไม่มีคำตอบในวันนี้ และเขายังคงตั้งคำถามถึงสิ่งที่ต่างๆ ผ่านมุมมองของคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1372399821&grpid=&catid=02&subcatid=0200
เก็บตกคอลัมน์นี้ มาฝากเพื่อน ๆ พิเศษ สำหรับสหาย nonแดง ทุกท่าน เพราะ เป็นคน "ตกสี" น่าจะดีกว่า
nonแดง เพราะสามารถ ใช้แว่นตาสีขาว มองทุกสี ได้ แต่ nonแดง ยอมรับในทุกสียกเว้น "สีแดง"
บอกถึงการไม่ยอมรับในสีแดง เกลียดชังไหม ? อ่านจาก กระทู้และ คคห.น่าจะบอกได้นะ ว่ารู้สึกอย่างไร
กับสีแดง คุณรักจริงหวังแต่ง และเพื่อนๆ หลายคน ตั้งกลุ่มใหม่ ดีไหม? "คนตกสี" ดูจะ "เท่ห์" ดีนะคะ
เพราะหลายๆ คนก็เหมือนกับจะบอกว่า ปชป.ก็ไม่ชอบๆ นักการเมือง สักกะคน มาเลยค่ะ มาเป็น "คนตกสี"
กันดีกั่ว คำแนะนำจาก "สาวเหลือน้อย" สำหรับวันหยุด....