Chapter 01 : เปิดตำนานนักรบบทใหม่
12 ปี หลังจากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ ระหว่างมนุษย์ ปีศาจและยักษ์ สิ้นสุดลง ผลของสงครามครั้งนั้นเทพีแห่งชัยชนะเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเผ่ามนุษย์ แผ่นดินใหม่ภายใต้การนำของพระเจ้าเศวตโกศล จอมกษัตริย์แห่งเผ่ามนุษย์ กำลังค่อยๆ เริ่มฟื้นฟูจากสภาวะสงคราม บ้านเมืองกำลังเริ่มเข้าสู่ความสงบสุข แต่แล้วท้องฟ้าที่กำลังสว่างสดใส กลับเริ่มมีเมฆดำทะมึนกำลังก่อตัวเข้าปกคลุมแผ่นดินแห่งความสงบสุขอีกครั้ง
+++
ท่ามกลางสภาพอากาศอันร้อนระอุในช่วงเวลาตะวันตรงศีรษะ กองคาราวานขบวนยาวเหยียด ซึ่งประกอบไปด้วยกองทหารจำนวนเล็ก ๆ กองหนึ่งส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากคือเหล่าชาวบ้านอพยพ ทั้งหมดกำลังพากันเดินผ่านเนินทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ เหล่าชาวบ้านกว่าร้อยครอบครัวซึ่งต่างกำลังตกอยู่ในสภาพซึมเศร้าและหวาดกลัว ชาวบ้านแต่ละคนนั้น บ้างก็ก้มหน้าก้มตาเดินตามบุคคลซึ่งอยู่ด้านหน้าของตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก บ้างก็พยายามควบคุมเทียมเกวียนของตนให้เคลื่อนที่ไปตามขบวน โดยมีเหล่าทหารกระจายกำลังออกเป็นช่วงๆ เพื่อทำหน้าที่คอยควบคุมให้ชาวบ้านเดินทางกันอย่างมีระเบียบและคุ้มครองความปลอดภัย
ด้านหน้าสุดของกองคาราวานคือ มหินธรา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ในชุดเกราะเต็มยศ ที่หน้าอกด้านซ้ายของเกราะสีเงินแวววาวสะท้อนกับแสงอาทิตย์มีตราสัญลักษณ์รูปคฑาสีเดียวกับชุดเกราะประทับเป็นรอยนูนเด่นอย่างชัดเจน เขากำลังควบอยู่บนหลังอาชาศึกตัวใหญ่พ่วงพี ขนสีดำของตัวม้าตัดกับเกราะสีเงินแวววาวที่สวมทับอยู่บนตัวของมันจนดูน่าเกรงขาม ด้านหลังของอานม้ามีง้าวติดอยู่ทางด้านขวา และมีหอกสั้นติดอยู่ทางด้านซ้าย
แท้จริงแล้ว มหินธรา คือ ขุนพลเกราะเงิน สังกัดหอคอยคฑา แห่งราชอาณาจักรเทพศรีราม ในครั้งแรกเขาได้รับคำสั่งมีหน้าที่อารักขาอำมาตย์พรรชิต ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์ในพระเจ้าเศวตโกศลซึ่งมาปฏิบัติราชการในพระนามของพระเจ้าเศวตโกศล ณ เมืองท่าพนาวัลย์ แต่แล้วในระหว่างทางขากลับนี้เอง กองทหารแห่งราชอาณาจักรเทพศรีรามได้พบกับเหล่าชาวบ้านจำนวนมากซึ่งกำลังอพยพหลบหนีภัยมาจากเมืองมิถิลา เนื่องจากถูกกลุ่มปีศาจลึกลับเข้าโจมตี มหาอำมาตย์พรรชิตจึงมีคำสั่งเฉพาะกาลให้ กองทหารเข้าช่วยเหลือคุ้มครองชาวบ้าน แล้วพาไปส่งยังเมืองใกล้เคียงที่ปลอดภัย นับตั้งแต่พบกับเหล่าชาวบ้านอพยพจนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ผ่านไปกว่าสี่วันแล้ว
มหินธราในฐานะผู้นำทางจำเป็น เขากำลังหาเส้นทางใกล้ที่สุดเพื่อไปยังเมืองวาสิลา ซึ่งเมืองวาสิลานี้แม้เป็นเมืองลูก แต่ก็เป็นเมืองที่อยู่ใกล้จากจุดที่กองคาราวานอยู่ในขณะนี้มากที่สุด และหากไม่นับรวมถึงมหานครอย่างไพรสาลีนคร และมหานครอย่างเวฬุมาศนครแล้ว ก็นับว่าเมืองวาสิลาเป็นเมืองที่มีน้ำและอาหารสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในแผ่นดินทางตอนใต้ของอาณาจักรเทพศรีราม ในขณะที่จอมขุนพลเกราะเงินซึ่งกลายมาเป็นผู้นำทางจำเป็น ได้แยกตนเองจากกองคาราวานพร้อมม้าศึกคู่ใจออกมาสำรวจเส้นทางตามลำพัง ระหว่างนั้นด้านหลังของเขามีนายทหารคนหนึ่ง ซึ่งดูจากลักษณะการสวมชุดเกราะซึ่งมีเพียงเกราะอ่อนทำจากหนังสัตว์ไว้ป้องกันเฉพาะหน้าอกแล้ว แสดงว่าเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง ก็ได้ควบม้าเข้ามายืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านขุนพล ขอรับ...ท่านอำมาตย์พรรชิตมีคำสั่งให้ข้ามาเรียนท่านว่า ในขณะนี้กองทหารเริ่มขาดเสบียงแล้ว เนื่องจากต้องแบ่งเสบียงส่วนใหญ่ให้แก่ชาวบ้านไป และในขณะนี้ชาวบ้านก็กำลังเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทาง หากต้องใช้เวลาเดินทางโดยไม่หยุดพัก ท่านอำมาตย์เกรงว่าชาวบ้านจะไม่สามารถอดทนได้ ขอให้ท่านโปรดหาที่หยุดพักก่อนสักครู่เถิด”
มหินธรา ยังมิได้ให้คำตอบใดๆ เขาหรี่ตามองผ่านท้องทุ่งอันร้อนระอุ สังเกตเห็นว่านอกจากเส้นทางเบื้องหน้าอันเป็นพื้นราบแล้ว สภาพภูมิประเทศโดยรอบล้วนแล้วแต่ถูกล้อมรอบด้วยเนินเขาซึ่งมีพงหญ้าสูงเกือบท่วมหัว อันเป็นชัยภูมิเหมาะแก่การซุ่มโจมตี
“ชัยภูมิแถบนี้ไม่เหมาะแก่การหยุดพัก เพราะเราอาจถูกลอบซุ่มโจมตีจากพวกโจรป่าได้ กลับไปเรียนท่านอำมาตย์ว่า ณ บัดนี้ หากพวกเราเร่งเดินทางโดยมิหยุดพัก เราจะเหยียบเข้าเขตแดนของเมืองวาสิลาก่อนพระอาทิตย์ตกแน่นอน”
นายทหารผู้นั้นรับคำสั่ง กำลังจะควบม้ากลับไปที่กองคาราวาน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลงราวกับเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก
รบกวนขอความกรุณาด้วยครับ เรื่อง เทพศรีราม...ตอนที่ 1 (ฉบับร่าง)
12 ปี หลังจากสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ ระหว่างมนุษย์ ปีศาจและยักษ์ สิ้นสุดลง ผลของสงครามครั้งนั้นเทพีแห่งชัยชนะเลือกที่จะยืนอยู่ข้างเผ่ามนุษย์ แผ่นดินใหม่ภายใต้การนำของพระเจ้าเศวตโกศล จอมกษัตริย์แห่งเผ่ามนุษย์ กำลังค่อยๆ เริ่มฟื้นฟูจากสภาวะสงคราม บ้านเมืองกำลังเริ่มเข้าสู่ความสงบสุข แต่แล้วท้องฟ้าที่กำลังสว่างสดใส กลับเริ่มมีเมฆดำทะมึนกำลังก่อตัวเข้าปกคลุมแผ่นดินแห่งความสงบสุขอีกครั้ง
+++
ท่ามกลางสภาพอากาศอันร้อนระอุในช่วงเวลาตะวันตรงศีรษะ กองคาราวานขบวนยาวเหยียด ซึ่งประกอบไปด้วยกองทหารจำนวนเล็ก ๆ กองหนึ่งส่วนที่เหลืออีกจำนวนมากคือเหล่าชาวบ้านอพยพ ทั้งหมดกำลังพากันเดินผ่านเนินทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ เหล่าชาวบ้านกว่าร้อยครอบครัวซึ่งต่างกำลังตกอยู่ในสภาพซึมเศร้าและหวาดกลัว ชาวบ้านแต่ละคนนั้น บ้างก็ก้มหน้าก้มตาเดินตามบุคคลซึ่งอยู่ด้านหน้าของตนอย่างหมดอาลัยตายอยาก บ้างก็พยายามควบคุมเทียมเกวียนของตนให้เคลื่อนที่ไปตามขบวน โดยมีเหล่าทหารกระจายกำลังออกเป็นช่วงๆ เพื่อทำหน้าที่คอยควบคุมให้ชาวบ้านเดินทางกันอย่างมีระเบียบและคุ้มครองความปลอดภัย
ด้านหน้าสุดของกองคาราวานคือ มหินธรา ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่กำยำ ในชุดเกราะเต็มยศ ที่หน้าอกด้านซ้ายของเกราะสีเงินแวววาวสะท้อนกับแสงอาทิตย์มีตราสัญลักษณ์รูปคฑาสีเดียวกับชุดเกราะประทับเป็นรอยนูนเด่นอย่างชัดเจน เขากำลังควบอยู่บนหลังอาชาศึกตัวใหญ่พ่วงพี ขนสีดำของตัวม้าตัดกับเกราะสีเงินแวววาวที่สวมทับอยู่บนตัวของมันจนดูน่าเกรงขาม ด้านหลังของอานม้ามีง้าวติดอยู่ทางด้านขวา และมีหอกสั้นติดอยู่ทางด้านซ้าย
แท้จริงแล้ว มหินธรา คือ ขุนพลเกราะเงิน สังกัดหอคอยคฑา แห่งราชอาณาจักรเทพศรีราม ในครั้งแรกเขาได้รับคำสั่งมีหน้าที่อารักขาอำมาตย์พรรชิต ซึ่งเป็นมหาอำมาตย์ในพระเจ้าเศวตโกศลซึ่งมาปฏิบัติราชการในพระนามของพระเจ้าเศวตโกศล ณ เมืองท่าพนาวัลย์ แต่แล้วในระหว่างทางขากลับนี้เอง กองทหารแห่งราชอาณาจักรเทพศรีรามได้พบกับเหล่าชาวบ้านจำนวนมากซึ่งกำลังอพยพหลบหนีภัยมาจากเมืองมิถิลา เนื่องจากถูกกลุ่มปีศาจลึกลับเข้าโจมตี มหาอำมาตย์พรรชิตจึงมีคำสั่งเฉพาะกาลให้ กองทหารเข้าช่วยเหลือคุ้มครองชาวบ้าน แล้วพาไปส่งยังเมืองใกล้เคียงที่ปลอดภัย นับตั้งแต่พบกับเหล่าชาวบ้านอพยพจนกระทั่งถึงเวลานี้ก็ผ่านไปกว่าสี่วันแล้ว
มหินธราในฐานะผู้นำทางจำเป็น เขากำลังหาเส้นทางใกล้ที่สุดเพื่อไปยังเมืองวาสิลา ซึ่งเมืองวาสิลานี้แม้เป็นเมืองลูก แต่ก็เป็นเมืองที่อยู่ใกล้จากจุดที่กองคาราวานอยู่ในขณะนี้มากที่สุด และหากไม่นับรวมถึงมหานครอย่างไพรสาลีนคร และมหานครอย่างเวฬุมาศนครแล้ว ก็นับว่าเมืองวาสิลาเป็นเมืองที่มีน้ำและอาหารสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในแผ่นดินทางตอนใต้ของอาณาจักรเทพศรีราม ในขณะที่จอมขุนพลเกราะเงินซึ่งกลายมาเป็นผู้นำทางจำเป็น ได้แยกตนเองจากกองคาราวานพร้อมม้าศึกคู่ใจออกมาสำรวจเส้นทางตามลำพัง ระหว่างนั้นด้านหลังของเขามีนายทหารคนหนึ่ง ซึ่งดูจากลักษณะการสวมชุดเกราะซึ่งมีเพียงเกราะอ่อนทำจากหนังสัตว์ไว้ป้องกันเฉพาะหน้าอกแล้ว แสดงว่าเป็นนายทหารชั้นผู้น้อยนายหนึ่ง ก็ได้ควบม้าเข้ามายืนสงบนิ่งอยู่ข้างๆ ก่อนจะกล่าวว่า
“ท่านขุนพล ขอรับ...ท่านอำมาตย์พรรชิตมีคำสั่งให้ข้ามาเรียนท่านว่า ในขณะนี้กองทหารเริ่มขาดเสบียงแล้ว เนื่องจากต้องแบ่งเสบียงส่วนใหญ่ให้แก่ชาวบ้านไป และในขณะนี้ชาวบ้านก็กำลังเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินทาง หากต้องใช้เวลาเดินทางโดยไม่หยุดพัก ท่านอำมาตย์เกรงว่าชาวบ้านจะไม่สามารถอดทนได้ ขอให้ท่านโปรดหาที่หยุดพักก่อนสักครู่เถิด”
มหินธรา ยังมิได้ให้คำตอบใดๆ เขาหรี่ตามองผ่านท้องทุ่งอันร้อนระอุ สังเกตเห็นว่านอกจากเส้นทางเบื้องหน้าอันเป็นพื้นราบแล้ว สภาพภูมิประเทศโดยรอบล้วนแล้วแต่ถูกล้อมรอบด้วยเนินเขาซึ่งมีพงหญ้าสูงเกือบท่วมหัว อันเป็นชัยภูมิเหมาะแก่การซุ่มโจมตี
“ชัยภูมิแถบนี้ไม่เหมาะแก่การหยุดพัก เพราะเราอาจถูกลอบซุ่มโจมตีจากพวกโจรป่าได้ กลับไปเรียนท่านอำมาตย์ว่า ณ บัดนี้ หากพวกเราเร่งเดินทางโดยมิหยุดพัก เราจะเหยียบเข้าเขตแดนของเมืองวาสิลาก่อนพระอาทิตย์ตกแน่นอน”
นายทหารผู้นั้นรับคำสั่ง กำลังจะควบม้ากลับไปที่กองคาราวาน แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักลงราวกับเพิ่งจะนึกอะไรบางอย่างออก