SPOILER!!! เจ้าสาวแห่งทางสายไหม ตอนที่ 30 - There Will Be Blood...

กลับมาพบตอนใหม่ของเจ้าสาวแห่งทางสายไหมกันอีกรอบในเดือนนี้นะครับ

นับเป็นเซอร์ไพรส์ครั้งที่สองของเดือนเลยทีเดียว นับจากดาบหักฯ (Break Blade) ตอน 64 ที่มาเร็วกว่าเดิมตั้งอาทิตย์ งวดนี้เล่นมาก่อนเวลาปกติเกือบเดือน ทำลายสถิติดาบหักฯ เมื่อวันจันทร์ชนิดไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว (แต่จะต่อด้วย Shirley Maid อีก 2 เดือนติดกันรึเปล่า อันนี้รับรองไม่ได้นะ หัวเราะ)

งวดนี้จั่วหัวข้อซะน่ากลัวผิดปกติ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ รวมถึงปูพื้นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตอนต่อๆ ไปหลังจากนี้นั้น รสของคำเรียกว่าคู่ควรกับประโยคจั่วหัวข้างบนจริงๆ

ส่วนจะเป็นอะไรนั้น ลงไปชมเนื้อเรื่องเต็มๆ ข้างล่างได้เลยครับ


ภาพเปิดตอนนี้ครับ








เปิดตอนมาด้วยการเล่าถึงอดีตความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าเฮอร์กัล (เผ่าของอามีร่า) กับเผ่านูมาจิ โดยเผ่านูมาจินั้นถือเป็นเผ่าใหญ่มีอิทธิพลในเขตทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ในแถบนั้นเป็นอย่างมาก เผ่าเฮอร์กัลกับเผ่านูมาจินั้นมีความสัมพันธ์ในลักษณะ "ทองแผ่นเดียวกัน" มาตลอด เนื่องจากเผ่าเฮอร์กัลเป็นเผ่าเร่ร่อนที่ดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพึ่งพาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่ซึ่งเผ่านูมาจิครอบครองอยู่ และหนทางเดียวที่เผ่าเล็กกว่าอิทธิพลน้อยกว่าอย่างเผ่าเฮอร์กัลจะมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากทุ่งหญ้าของเผ่านูมาจิได้ ก็มีแต่ต้องเกี่ยวดองเป็นญาติกับหัวหน้าเผ่าผ่านการแต่งงานเท่านั้น

ทว่า เมื่อลูกสาวหัวหน้าเผ่าที่ถูกส่งไปแต่งงานกับลูกชายหัวหน้าเผ่านูมาจิกลับเสียชีวิตหมดทั้งสองคน (ตามข่าวว่ากันว่าถูกทุบตีจนตาย) ทางเผ่านูมาจิก็ประกาศจะขับไล่เผ่าเฮอร์กัลทั้งเผ่าออกไปจากเขตของตนเองเนื่องจากถือว่าอีกฝ่ายมิได้เป็นญาติของตนอีกต่อไปแล้ว การตัดสินใจของหัวหน้าเผ่านูมาจิทำเอาหัวหน้าเผ่าและบรรดาผู้เฒ่าของเผ่าเฮอร์กัลถึงกับร้อนอาสน์ เร่งไปพบหัวหน้าเผ่านูมาจิเพื่อขอร้องให้ทบทวนการตัดใจเสียใหม่ แต่ทางฝ่ายนูมาจิก็ยังยืนยันคำเดิมว่าจะไล่เผ่าเฮอร์กัลออกไป หากไม่สามารถหาผู้หญิงมาแต่งงานกับลูกชายหัวหน้าเผ่าได้

ได้ยินดังนั้น ทั้งหัวหน้าเผ่าและบรรดาผู้อาวุโสของเผ่าก็ร้อนใจเป็นอย่างมาก ด้วยรู้ดีว่าหน้าหนาวอันทารุณกำลังจะมาถึง หากถูกขับไล่ไปจากดินแดนอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ก็จะมีหญ้าไม่พอเลี้ยงแพะแกะที่เลี้ยงไว้ ทำให้แพะแกะอดตาย และหากแพะแกะอันเป็นหม้อข้าวใหญ่ของเผ่าอดตายหมด คนในเผ่าทั้งหมดก็จะอดอยากถึงขั้นมีคนตาย และเผ่าก็จะพินาศในที่สุด

ตอนนั้นเองที่หัวหน้าเผ่านึกขึ้นได้ว่าตนเองก็มีลูกสาวอยู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งตนส่งให้ไปแต่งงานกับเด็กชายของครอบครัวอดีตเผ่าเร่ร่อนในหมู่บ้านเล็กๆ ไร้ความสำคัญ ณ อีกฟากหนึ่งของภูเขาเนื่องจากอายุมากเกินกว่าจะหาคู่ครองที่เหมาะสมได้แล้ว

หญิงสาวผู้นั้นก็คือ "อามีร่า" นางเอกของเรื่องนั่นเอง

แม้จะอายุมากเกินกว่าวัยแต่งงานของหญิงสาวทั่วไปในแถบนั้นแล้ว แต่ลูกสาวคนนั้นก็เป็นหญิงสาวคนเดียวที่ทางเผ่าเฮอร์กัลเหลืออยู่และพอจะส่งไปแต่งงานกับเผ่านูมาจิได้ เท่ากับเป็นความหวังสุดท้ายที่ทางเผ่าจะเอาชีวิตรอดจากฤดูหนาวอันทารุณที่กำลังจะมาเยือน ดังนั้น หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลจึงสั่งให้อาเซล ลูกชายคนโตของตนไปนำตัวอามีร่ากลับมาโดยเร็วที่สุด

ทว่า เหตุการณ์กลับไม่ได้เป็นไปในทางที่หวัง เมื่อทางครอบครัวไอฮานอันเป็นครอบครัวของคาร์ลุค สามีของอามีร่า ยืนยันไม่ส่งตัวอามีร่าคืนให้กับเผ่าเฮอร์กัลไม่ว่าจะในกรณีใดๆ เมื่อเจรจากันด้วยปากไม่ได้ผล ทางเผ่าเฮอร์กัลจึงตัดสินใจใช้กำลังบุกเข้าชิงตัวอามีร่าจากครอบครัวไอฮาน ทว่าด้วยความร่วมมือของคนทั้งเมืองและครอบครัวไอฮาน คนของเผ่าเฮอร์กัลที่บุกมาจึงเป็นฝ่ายถูกตีร่วงกลับไปชนิดไม่เป็นท่า

เมื่อไม่สามารถพาตัวอามีร่ากลับไปได้ เผ่าเฮอร์กัลจึงถูกเผ่านูมาจิขับไล่ไปจากทุ่งหญ้าอันอุดมสมบูรณ์ ต้องเร่ร่อนเคว้งคว้างไปท่ามกลางทุ่งร้างอันหนาวเหน็บ หวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าจะค้นพบทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์แห่งใหม่พอจะใช้เลี้ยงม้าเลี้ยงแกะสำหรับคนทั้งเผ่าได้

แต่ก็หาไม่พบแม้สักแห่ง

สุดท้าย เมื่อไม่สามารถหาทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ที่ไร้คนหรือเผ่าใดจับจองได้ ทางเผ่าเฮอร์กัลจึงเหลือทางเลือกเพียงหนทางเดียว

นั่นคือ "ร่วมมือกับเผ่าอื่นที่มีกำลังแข็งกล้า ตีชิงทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์มาจากคนอื่น" นั่นเอง




ฉากตัดอีกครั้ง มาทางขบวนเดินทางของเผ่าเฮอร์กัลซึ่งหัวหน้าเผ่าเป็นคนนำขบวนมาเอง โดยมีอาเซลในฐานะลูกชายคนโตของหัวหน้าเผ่าขี่ม้าตามหลังมาเงียบๆ แต่สายตาปรายตามองพ่ออยู่แทบตลอดเวลาจนอีกฝ่ายสะกิดใจหันกลับมาถามว่ามีอะไร อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเลยอย่ามัวแต่อมพะนำอยู่ อาเซลเห็นพ่อเปิดโอกาสให้พูดก็ถือโอกาสบอกพ่อตรงๆ ไปว่าตนไม่เห็นด้วยเลยกับการยืมมือคนนอกมาตีชิงดินแดนคนอื่นแบบนี้


หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลพ่อของอามีร่ากับอาเซล หน้าโหดเอาเรื่องเลยแฮะ



ได้ยินดังนั้น หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็สะบัดหน้ากลับไปแล้วพูดเสียงหมิ่นๆ ว่าคนที่พลาดมาแล้วครั้งนึงอย่างเอ็งอย่ามาทำปากดีดีกว่า อาเซลก็ยังพยายามค้านอย่างใจเย็นว่าพวกเผ่าบาดันที่เรากำลังจะไปหารือเรื่องการรบในครั้งนี้นั้นเป็นพวกเชื่อถือไม่ได้นะ ถึงต้นวงศ์ของเผ่านี้จะเป็นญาติสายเดียวกับเราก็เถอะ แต่ต่างเผ่าก็ต่างแยกกันไปคนละทางตั้งนานแล้ว ทั้งความคิดทั้งอะไรต่ออะไรก็ไม่มีทางที่จะเหมือนเดิมแน่ๆ แถมยังมีข่าวว่าพวกเผ่าบาดันนั้นหันไปเข้ากับพวกรัสเซียแล้วด้วย เพราะงั้นเราไปร่วมมือกับพวกมันก็มีแต่จะถูกใช้ประโยชน์จนคุ้มแล้วเขี่ยทิ้งเท่านั้นแหละ

ได้ยินลูกชายกล้าสอดปากค้านการตัดสินใจตัวเองแบบนั้น หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็หันขวับกลับมาทันใด แล้วตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่าเป็นลูกอย่าทำอวดดีเสนอหน้ามาค้านพ่อ อาเซลเลยจำต้องนิ่งเงียบไปอย่างไม่เต็มใจ

ควบม้าไปต่อได้พักหนึ่งก็มาถึงที่ตั้งของเผ่าบาดันอันเป็นบ้านทำจากอิฐและดินเผากระจายอยู่ทั่วไปแถบเชิงเขา หัวหน้าเผ่าบาดันออกมาต้อนรับคณะของเผ่าเฮอร์กัลด้วยตัวเอง และออกปากทักทายคนของเผ่าเฮอร์กัลอย่างสนิทสนมราวกับเป็นญาติแท้ๆ...ที่ดูยังไงก็โคตรจะเสแสร้งสุดๆ

ทักทายแนะนำตัวกันเสร็จ หัวหน้าเผ่าบาดันก็เชิญหัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลเข้าไปหารือกันในบ้าน โดยส่วนใหญ่ก็คุยกันถึงเรื่องที่พวกตัวเองอดอยากไม่มีอะไรกินกัน เลยต้องรวมหัวกันปล้นที่ชาวบ้านเขามาเป็นที่ของตัวนั่นแหละ

ซึ่งเป้าหมายที่ทั้งสองเผ่าจะไปตีชิงมานั้นก็ไม่ใช่ที่ไหน แต่เป็นเมืองที่พวกคาร์ลุคอาศัยอยุ่นั่นเอง โดยเผ่าเฮอร์กัลนั้นยังแค้นฝังหุ่นเรื่องของอามีร่ากับเรื่องที่ถูกหลู่เกียรติจากคนในหมู่บ้านอยู่ ดังนั้นสงครามครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่สงครามแย่งชิงที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังนับเป็นสงครามล้างแค้นและสงครามกู้เกียรติของเผ่ากลับคืนมาด้วย

จากนั้นก็เป็นการหารือกันเรื่องการบุก โดยเมื่อพูดถึงตรงนี้ หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็บอกกับหัวหน้าเผ่าบาดันตรงๆ ว่าลูกสาวตัวเอง (อามีร่า) อยู่ในหมู่บ้านนั้นด้วย ดังนั้นไม่ว่ายังไงก็อยากเอาตัวกลับมาให้ได้ หัวหน้าเผ่าบาดันก็แย้งว่าให้รบไปพลางหาคนไปพลางน่ะมันลำบากนา หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็บอกว่าไม่เป็นไร เราจะใช้วิธีส่งเสียงเรียกให้ออกมาก่อนค่อยพาตัวกลับมา เพราะยังไงตามธรรมเนียมของหญิงสาวแถบนั้นก็ขัดคำสั่งพ่อบังเกิดเกล้าไม่ได้อยู่แล้ว แม้จะเป็นวิธีที่เสี่ยงต่อการถูกคนในเมืองรู้ตัวว่าจะบุกก็ตาม แต่ก็เป็นวิธีแน่นอนที่จะได้ตัวอามีร่ากลับมา หัวหน้าเผ่าบาดันได้ยินดังนั้นก็นิ่งไปพักนึงแล้วรับคำเรียบๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก

คุยกันเสร็จก็มาหารือกันต่อเรื่องส่วนแบ่งของทั้งสองเผ่า แต่หัวหน้าเผ่าบาดันกลับยกมือขึ้นปฏิเสธทันควันว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึงส่วนแบ่งหรอก เพราะพวกเราเผ่าบาดันมันก็แค่ม้าตัวหนึ่ง ยังไงก็ไม่คิดจะแย่งส่วนที่คนขี่อย่างเผ่าเฮอร์กัลได้มาไปหรอก

"เอาเป็นว่าทรัพย์สินไหนพวกเราเป็นคนเจอ ก็ขอให้พวกเราก็แล้วกัน" คือข้อตกลงเรื่องส่วนแบ่งของหัวหน้าเผ่าบาดัน ซึ่งหัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็ไม่ขัดข้อง เพราะถือเป็นเรื่องธรรมดาของการบุกปล้นชิงอยู่แล้ว

เสร็จจากเรื่องส่วนแบ่ง หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็ทำท่าจะขอคุยเรื่องกลยุทธ์การบุกตีเมืองที่ว่า แต่หัวหน้าเผ่าบาดันก็ยกมือปรามอีกครั้ง และบอกว่าไม่จำเป็นต้องใช้ยุทธวิธีอะไรหรอก พวกเรามีของเจ๋งกว่านั้นเยอะ ว่าจบก็ลุกขึ้นพาคณะของเผ่าเฮอร์กัลไปยังโรงเก็บของขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง

และสิ่งที่อยู่ในโรงเก็บของนั้นก็คือ...คลังแสงที่อัดแน่นไปด้วยอาวุธปืนนานาชนิด ทั้งปืนคาบศิลาแบบใส่กระสุนทางปากกระบอก ปืนไรเฟิลแบบใส่กระสุนทางท้ายปืน ระเบิดมือประยุกต์ ปืนใหญ่พร้อมกระสุน แถมด้วยดินปืนสำหรับปืนและเครื่องกระสุนทั้งหมดอีกเป็นลังๆ




แม้จะเห็นคลังแสงมหึมาปานนี้ หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลก็ยังคงตีสีหน้าเรียบเฉยไม่รู้สึกรู้สา ปล่อยให้หัวหน้าเผ่าบาดันจ้อน้ำลายท่วมทุ่งถึงความยอดเยี่ยมกระเทียมดองของปืนในคลังแสงของตัวเอง...ที่ส่วนใหญ่ก็ซื้อจากพวกรัสเซียมาตุนไว้ทั้งนั้น...แถมยังฝอยอีกว่ามีอาวุธขนาดนี้แค่ครึ่งวันก็ยึดเมืองเล็กๆ เมืองเดียวได้แล้ว

"ถ้าฆ่าซะให้หมดเท่านี้ก็ไม่เหลือใครมาบ่นอะไรได้แล้วจริงมั้ย" หัวหน้าเผ่าบาดันเอ่ยด้วยแววตาวาววับหลุกหลิกเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

หัวหน้าเผ่าเฮอร์กัลนิ่งไปครู่หนึ่ง ก็เอ่ยปากอย่างเรียบเฉยว่า "...มันก็จริง"


หลังดูคลังแสงเสร็จ ก็เป็นงานเลี้ยงระหว่างเผ่าบาดันกับคณะของเผ่าเฮอร์กัล กิริยาอวดเก่งอวดกล้าของหัวหน้าเผ่าบาดันที่แสดงออกในงานเลี้ยงทำเอาอาเซลทนไม่ไหว เดินหนีออกจากงานมาดื้อๆ มายืนสงบใจอยู่ที่คอกม้าของตัวเองตามลำพัง โจลุคกับไบมัตเห็นดังนั้นเลยเดินตามมาถามอย่างเป็นห่วงว่าเป็นอะไรมากรึเปล่า แต่กลับถูกอาเซลถามกลับเอาว่า พวกนายคิดยังไงกับการร่วมมือครั้งนี้ ทั้งคู่นิ่งไปแว่บหนึ่งก่อนที่โจลุคจะเป็นฝ่ายตอบขึ้นก่อนด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ก็ไม่ได้คิดอะไร ยังไงพวกเราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะออกความเห็นคัดค้านอะไรได้อยู่แล้ว ถ้าพวกตาแก่จะเอาจริงๆ ยังไงก็ต้องเอากับพวกตาแก่ด้วยนั่นละ อาเซลเลยถามย้ำอีกครั้งว่าไม่ได้ถามว่าพวกนายตั้งใจจะทำยังไง แต่ถามว่าพวกนายคิดยังไงต่างหาก

คราวนี้โจลุคนิ่งคิดไปนาน ก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างไม่ปิดบังว่า "อยากตะบันหน้าไอ้แก่หัวหน้าเผ่าบาดันนั่นให้กรามหลุดชะมัด" แล้วพูดต่อว่า กำลังน่ะไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องยืมจากใคร ของแค่นั้นขนาดโง่เป็นควายอย่างชั้นยังรู้เลย ไบมัตก็บอกว่า เขาเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนักหรอก ยิ่งเห็นพวกญาติๆ ของตัวเองมาทำมูมมามกระโจนเข้างับเหยื่อที่เขาโยนล่อตรงหน้าแบบนั้นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

ได้ยินเพื่อนและลูกพี่ลูกน้องทั้งสองระบายความในใจดังนั้น อาเซลก็ระบายความในใจออกมาบ้างว่า "ชั้นอยากเชือดพวกมันทิ้งให้หมดซะตรงนั้นด้วยซ้ำ"

คำพูดของอาเซลทำเอาโจลุคกับไบมัตถึงกับทำหน้าเหวอ อาเซลก็พูดต่อว่า ถ้าจำเป็นต้องปล้นชิงก็ต้องปล้นชิง มันเป็นกฎของการเอาตัวรอดในแถบนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะปล้นชิง ก็ต้องปล้นชิงด้วยกำลังของตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ยืมกำลังชาวบ้านไปเล่นงานคนอื่นแบบนี้

"ซื้ออาวุธตุนไว้งั้นเรอะ? ถ้ามีสมบัติขนาดนั้นจริง ทำไมพอหน้าหนาวแล้วยังมีสัตว์เลี้ยงลดจำนวนลงไปอีกล่ะ แบบนี้มันกะจะเสี้ยมเขาควายให้ชนกันให้เข้าทางพวกรัสเซียชัดๆ"

แววตาของชายหนุ่มฉายแววกราดเกรี้ยว ขณะเข่นเสียงกล่าวต่อไป

"ม้าอยู่ได้ด้วยการวิ่งทะยานบนท้องทุ่ง นกอยู่ได้ด้วยการบินบนท้องฟ้า พวกเราไม่มีวันยอมให้ใครมาหลอกใช้เด็ดขาด ไม่คิดจะตายด้วยฝีมือของพวกรัสเซียด้วย"

ได้ยินดังนั้น ทั้งโจลุคทั้งไบมัตก็นิ่งเงียบไม่ตอบอะไร แต่สีหน้ามีแววเห็นด้วย ก่อนที่ไบมัตจะถามขึ้นมาว่า "แล้วตกลงอาเซลตั้งใจจะทำยังไงกันล่ะ?"

อาเซลไม่ตอบคำถาม เพียงแต่ยืนนิ่งด้วยประกายตาวาววับด้วยความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายบางอย่างเพียงเท่านั้น

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่