ในช่วงปลายศตวรรษที่ 12 - ต้นศตวรรษที่ 13 ชนเผ่าทุ่งหญ้าได้เกิดผู้นำเข้มแข็งชื่อเจงกิสข่าน เขาประกอบวีรกรรมรวบรวมเผ่าต่างๆ เป็นหนึ่ง และตั้งจักรวรรดิมองโกลขึ้น พฤติการณ์เขาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของดินแดนแถบนี้ และประวัติศาสตร์โลกเป็นอย่างมาก เรามาติดตามประวัติของเขาในบทความนี้กันนะครับ
มองโกเลียเป็นดินแดนทุ่งหญ้าทุรกันดาร ผู้คนที่อาศัยก็มักถูกมองเป็น "คนเถื่อน" แต่ในหมู่พวกเขากลับมีเคยผู้นำที่ยิ่งใหญ่ชื่อ "เจงกิสข่าน" ในประวัติศาสตร์โลกอันยาวนานนั้น ยากจะหาผู้พิชิตคนใดยิ่งใหญ่เสมอเหมือนชายผู้นี้
จะขอกล่าวถึงต้นกำเนิดของเจงกิสข่านก่อน ปี 1159 มองโกลเผ่าคิยาดมีผู้นำหนุ่มชื่อเยซูไก วันหนึ่งเยซูไกพบชาวเผ่าเมอร์คิด (มองโกลอีกกลุ่ม) ขี่ม้าพาเจ้าสาวที่พึ่งแต่งงานผ่านมา เขาเห็นเจ้าสาวหน้าตางดงามก็ถูกใจ ตามประเพณีของชนเผ่าทุ่งหญ้าที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศโหดร้ายนั้น พละกำลังถือเป็นความถูกต้อง ดังนั้นเยซูไกจึงถือสิทธิแย่งชิงเจ้าสาว
เจ้าบ่าวเมอร์คิดเกรงอำนาจเยซูไก ไม่กล้าปกป้องเจ้าสาวตน เจ้าสาวชื่อโฮลันรู้สึกรำคาญจึงฉีกชายผ้าให้เจ้าบ่าวแถบหนึ่งร้องว่า "จงดมแต่กลิ่นของข้าไปตลอดชีวิตเถิด!" แล้วจากไปกับเยซูไก (ทุ่งหญ้าทางเหนือนั้นมีทรัพยากรน้ำน้อย ชาวพื้นเมืองมักไม่ค่อยอาบน้ำ แต่ละคนจึงมีกลิ่นตัวแรงมาก การมอบผ้าพันกายให้จึงเป็นการส่งของให้ระลึกถึงกลิ่นตน)
เมื่อเยซูไกกลับเผ่าก็แต่งตั้งให้โฮลันเป็นเมียใหญ่ ทั้งสองอยู่กินกันอย่างมีความสุข มีลูกถึงสี่คน โดยคนโตสุดนั้นชื่อว่าเตมูจินเกิดปี 1162 ตั้งนามตามเชลยเผ่าตาตาร์ชื่อเดียวกันที่เยซูไกพึ่งจับได้ในช่วงที่เขาเกิด ทั้งนี้เมื่อคลอดออกมานั้นเตมูจินกำลิ่มเลือดขนาดเท่ากระดูกข้อแกะมาด้วย แปลว่ามีบุญญาธิการ
ต่อมาเยซูไกถูกศัตรูวางยาพิษตาย ประเพณีชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่จำเป็นต้องสืบทอดตำแหน่งตามสายเลือด แต่สืบทอดตามความสามารถ ดังนั้นเมื่อผู้นำตายโดยลูกทุกคนยังเล็กไม่อาจนำเผ่าได้ ชาวเผ่าก็พากันแย่งชิงทรัพย์สมบัติปศุสัตว์ แล้วทิ้งครอบครัวหัวหน้าเผ่าเดินทางจากไป (ภาพแนบ: เตมูจินร่ำไห้ที่สูญเสียบิดา)
ครอบครัวเตมูจิน ประกอบด้วยโฮลันกับลูกสี่คน และเมียรองของเยซูไกกับลูกอีกสองคนได้ผ่านพ้นชีวิตในทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกันดารแต่เพียงลำพัง ประทังชีวิตโดยกินไขกระดูกในซากสัตว์ และล่าสัตว์เล็ก เช่นตัวมาร์มอต (กระรอกดิน)
ต่อมาเมื่อเบ็กเตอร์พี่ชายของเตมูจินที่เป็นบุตรเมียรองเจริญวัยขึ้น เขาก็เริ่มอ้างสิทธิในการเป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ เพราะเป็นสมาชิกผู้ชายที่มีอายุมากที่สุด (คือเตมูจินเป็นบุตรคนโตของโฮลัน แต่ยังอายุน้อยกว่าเบ็กเตอร์บุตรคนโตของเมียรอง)
ตามกฏเผ่าทุ่งหญ้า หัวหน้าเผ่าคนใหม่สามารถรับสืบทอดเมียของหัวหน้าเผ่าเก่าที่ไม่ใช่แม่ตนมาด้วย เบ็กเตอร์เองก็แสดงความปรารถนาจะเคลมโฮลันเป็นเมีย (ภาพแนบ: โฮลันให้นมเตมูจิน เป็นภาพมงคลของชาวมองโกล)
เพื่อเห็นแก่ครอบครัวโฮลันไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ ...แต่เตมูจินมีเพราะไม่อยากให้เบ็กเตอร์มาเคลมแม่ตน
วันหนึ่งเตมูจินกับน้องชายจึงหาโอกาสสังหารเบ็กเตอร์ตาย เรื่องนี้ทำให้โฮลันโกรธมาก บริภาษเตมูจินว่า “เจ้าเป็นลูกสัตว์เดรัจฉานหรือจึงเข่นฆ่าพี่น้อง? ต่อไปเจ้าจะไม่มีเพื่อนเว้นแต่เงาตนเอง!”
ตอนนี้บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกว่าเตมูจินสำนึกหรือไม่ แต่การณ์ต่อมาก็ปรากฏว่าเขาให้ความสำคัญกับการรักใคร่พี่น้อง เพื่อนพ้องมาก สำหรับเมียรองเยซูไกและลูกที่เหลือนั้นมิได้คิดแค้นเตมูจิน หากยังรับใช้เขาในฐานะหัวหน้าเผ่าใหม่อย่างดี
ปี 1177 ชนเผ่าเดิมของเตมูจินเห็นครอบครัวหัวหน้าเก่ายังดีอยู่ เกรงว่าพวกเตมูจินเติบใหญ่ขึ้นจะกลับมาทำอันตราย จึงพากันมาปล้นบ้าน
โฮลันพาลูกๆ หนีศัตรู แต่เตมูจินในวัย 15 เพลี่ยงพล้ำถูกศัตรูจับเป็นทาส
เขาต้องทนทรมานอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายหนีรอดมาได้โดยแฝงตัวในลำธารน้ำตื้น การหนีรอดนี้ทำให้เตมูจินค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้น มีคนมาติดตาม เผ่าก็ค่อยๆ ขยายออกไป
*** รบกวนอ่านต่อใน Comment นะครับ ***
*** ประวัติย่อของเจงกิสข่าน ***
มองโกเลียเป็นดินแดนทุ่งหญ้าทุรกันดาร ผู้คนที่อาศัยก็มักถูกมองเป็น "คนเถื่อน" แต่ในหมู่พวกเขากลับมีเคยผู้นำที่ยิ่งใหญ่ชื่อ "เจงกิสข่าน" ในประวัติศาสตร์โลกอันยาวนานนั้น ยากจะหาผู้พิชิตคนใดยิ่งใหญ่เสมอเหมือนชายผู้นี้
จะขอกล่าวถึงต้นกำเนิดของเจงกิสข่านก่อน ปี 1159 มองโกลเผ่าคิยาดมีผู้นำหนุ่มชื่อเยซูไก วันหนึ่งเยซูไกพบชาวเผ่าเมอร์คิด (มองโกลอีกกลุ่ม) ขี่ม้าพาเจ้าสาวที่พึ่งแต่งงานผ่านมา เขาเห็นเจ้าสาวหน้าตางดงามก็ถูกใจ ตามประเพณีของชนเผ่าทุ่งหญ้าที่อาศัยอยู่ในภูมิประเทศโหดร้ายนั้น พละกำลังถือเป็นความถูกต้อง ดังนั้นเยซูไกจึงถือสิทธิแย่งชิงเจ้าสาว
เจ้าบ่าวเมอร์คิดเกรงอำนาจเยซูไก ไม่กล้าปกป้องเจ้าสาวตน เจ้าสาวชื่อโฮลันรู้สึกรำคาญจึงฉีกชายผ้าให้เจ้าบ่าวแถบหนึ่งร้องว่า "จงดมแต่กลิ่นของข้าไปตลอดชีวิตเถิด!" แล้วจากไปกับเยซูไก (ทุ่งหญ้าทางเหนือนั้นมีทรัพยากรน้ำน้อย ชาวพื้นเมืองมักไม่ค่อยอาบน้ำ แต่ละคนจึงมีกลิ่นตัวแรงมาก การมอบผ้าพันกายให้จึงเป็นการส่งของให้ระลึกถึงกลิ่นตน)
เมื่อเยซูไกกลับเผ่าก็แต่งตั้งให้โฮลันเป็นเมียใหญ่ ทั้งสองอยู่กินกันอย่างมีความสุข มีลูกถึงสี่คน โดยคนโตสุดนั้นชื่อว่าเตมูจินเกิดปี 1162 ตั้งนามตามเชลยเผ่าตาตาร์ชื่อเดียวกันที่เยซูไกพึ่งจับได้ในช่วงที่เขาเกิด ทั้งนี้เมื่อคลอดออกมานั้นเตมูจินกำลิ่มเลือดขนาดเท่ากระดูกข้อแกะมาด้วย แปลว่ามีบุญญาธิการ
ต่อมาเยซูไกถูกศัตรูวางยาพิษตาย ประเพณีชนเผ่าทุ่งหญ้าไม่จำเป็นต้องสืบทอดตำแหน่งตามสายเลือด แต่สืบทอดตามความสามารถ ดังนั้นเมื่อผู้นำตายโดยลูกทุกคนยังเล็กไม่อาจนำเผ่าได้ ชาวเผ่าก็พากันแย่งชิงทรัพย์สมบัติปศุสัตว์ แล้วทิ้งครอบครัวหัวหน้าเผ่าเดินทางจากไป (ภาพแนบ: เตมูจินร่ำไห้ที่สูญเสียบิดา)
ครอบครัวเตมูจิน ประกอบด้วยโฮลันกับลูกสี่คน และเมียรองของเยซูไกกับลูกอีกสองคนได้ผ่านพ้นชีวิตในทุ่งหญ้าอันเวิ้งว้างกันดารแต่เพียงลำพัง ประทังชีวิตโดยกินไขกระดูกในซากสัตว์ และล่าสัตว์เล็ก เช่นตัวมาร์มอต (กระรอกดิน)
ต่อมาเมื่อเบ็กเตอร์พี่ชายของเตมูจินที่เป็นบุตรเมียรองเจริญวัยขึ้น เขาก็เริ่มอ้างสิทธิในการเป็นหัวหน้าเผ่าใหม่ เพราะเป็นสมาชิกผู้ชายที่มีอายุมากที่สุด (คือเตมูจินเป็นบุตรคนโตของโฮลัน แต่ยังอายุน้อยกว่าเบ็กเตอร์บุตรคนโตของเมียรอง)
ตามกฏเผ่าทุ่งหญ้า หัวหน้าเผ่าคนใหม่สามารถรับสืบทอดเมียของหัวหน้าเผ่าเก่าที่ไม่ใช่แม่ตนมาด้วย เบ็กเตอร์เองก็แสดงความปรารถนาจะเคลมโฮลันเป็นเมีย (ภาพแนบ: โฮลันให้นมเตมูจิน เป็นภาพมงคลของชาวมองโกล)
เพื่อเห็นแก่ครอบครัวโฮลันไม่มีปัญหากับเรื่องนี้ ...แต่เตมูจินมีเพราะไม่อยากให้เบ็กเตอร์มาเคลมแม่ตน
วันหนึ่งเตมูจินกับน้องชายจึงหาโอกาสสังหารเบ็กเตอร์ตาย เรื่องนี้ทำให้โฮลันโกรธมาก บริภาษเตมูจินว่า “เจ้าเป็นลูกสัตว์เดรัจฉานหรือจึงเข่นฆ่าพี่น้อง? ต่อไปเจ้าจะไม่มีเพื่อนเว้นแต่เงาตนเอง!”
ตอนนี้บันทึกประวัติศาสตร์ไม่ได้บอกว่าเตมูจินสำนึกหรือไม่ แต่การณ์ต่อมาก็ปรากฏว่าเขาให้ความสำคัญกับการรักใคร่พี่น้อง เพื่อนพ้องมาก สำหรับเมียรองเยซูไกและลูกที่เหลือนั้นมิได้คิดแค้นเตมูจิน หากยังรับใช้เขาในฐานะหัวหน้าเผ่าใหม่อย่างดี
ปี 1177 ชนเผ่าเดิมของเตมูจินเห็นครอบครัวหัวหน้าเก่ายังดีอยู่ เกรงว่าพวกเตมูจินเติบใหญ่ขึ้นจะกลับมาทำอันตราย จึงพากันมาปล้นบ้าน
โฮลันพาลูกๆ หนีศัตรู แต่เตมูจินในวัย 15 เพลี่ยงพล้ำถูกศัตรูจับเป็นทาส
เขาต้องทนทรมานอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายหนีรอดมาได้โดยแฝงตัวในลำธารน้ำตื้น การหนีรอดนี้ทำให้เตมูจินค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้น มีคนมาติดตาม เผ่าก็ค่อยๆ ขยายออกไป
*** รบกวนอ่านต่อใน Comment นะครับ ***