นิยายรักอิงประวัติศาสตร์ เรื่อง รอยระมิงค์ ตอนที่ 3

กระทู้สนทนา
3
เสียงน้ำไหลเอื่อยๆที่ดังขึ้นในความเงียบสงัดและเสียงน้ำหยดกระทบหินปูนเป็นจังหวะ จากสิบเป็นร้อยพอเพียงที่จะทำให้รินคำรู้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในความฝัน หล่อนรู้สึกไร้เรี่ยวแรงเหมือนคนเดินทางไกลมาหลายวัน หญิงสาวกระพริบตาถี่ๆหลายครั้งจนเมื่อสายตาเริ่มชินกับความมืดจึงค่อยๆชันกายขึ้นนั่งอย่างช้าๆ ขณะที่ใช้มือยันพื้นเธอก็สัมผัสกับท่อนแขนของใครคนหนึ่งที่อยู่ห่างจากเธอเพียงคืบ

“อ้ายเสือ”  รินคำตั้งสติและเรียกชื่อชายผู้ช่วยชีวิตเธอจากกลุ่มโจรป่า

เสียงเรียกชื่อนั้นดังซ้ำไปซ้ำมาเหมือนเสียงก้องกังวานของระฆังแก้ว  

หรือนี่จะเป็นความฝัน

แต่ทำไมความฝันถึงได้มืดมิดเช่นนี้ล่ะ

ยิ้มระพริบตาช้าๆตามเสียงเรียกชื่อ และได้พบว่าในความจริงที่คล้ายความฝันของเขามีหญิงผู้นั้นปรากฏกายเหมือนเช่นเคย

“นี่ข้ายังไม่ตายใช่ไหม”

รินคำพยักหน้าแล้วขยับตัวออกไปนั่งชิดผนังถ้ำ ใบหน้าเล็กซีดขาว ดวงตาวาวสีนิลดูสงบนิ่งจนน่าแปลกใจ

“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เสือถามเมื่อลุกขึ้นมานั่ง หัวเขายังปวดตุบๆอยู่ไม่หายด้วยฤทธิ์ยา

“ข้าไม่เป็นไร’ รินคำพูดเสียงแผ่ว  สายตาของนางเหม่อมองไปยังม่านน้ำตกที่ถูกฉาบด้วยแสงจันทร์เรืองแสงสีเงินจนดูคล้ายประตูไปสู่สวรรค์

บรรยากาศในถ้ำนั้นทั้งอับทั้งชื้น เสือมองไปยังที่เพดานถ้ำที่ประดับไปด้วยหินปูนย้อยระย้าลงมาเหมือนโคมไฟจากธรรมชาติ เขานึกขอบคุณใน
ความโชคดีที่ทำให้เขารอดตายมาได้อีกครั้ง เสือเหลือบมองไปยังรินคำที่ตอนนี้นั่งชันเข่าเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทุกทีที่เขามอง
เธอเขาก็อดมีคำถามมากมายที่เกิดขึ้นในใจไม่ได้

“ข้าขอถามเจ้าหน่อย เหตุใดเจ้าจึงพูดภาษาสยามได้ชัดเจนยิ่ง” เสือถามสิ่งที่สงสัยมานาน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” รินคำพูดสั้นๆแล้วจึงลุกขึ้นยืน

“เจ้าจักไปที่ใดเล่า”

“ข้าจักลองเดินไปที่ด้านหลังของถ้ำเพื่อหาทางออก”

“เหตุใดไม่เดินผ่านม่านน้ำตกนี่ไปล่ะ” เสือแย้งขึ้น

“หากเจอพวกโจรยังอยู่ขึ้นมา มิแย่ฤา”

เสือชั่งน้ำหนักผลดีกับผลร้ายที่ตามมาแล้วก็ตกลงยอมเดินหาทางออกอื่นเพื่อความปลอดภัย ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวโดยไม่มีคำถามใดๆ
อีก ภายในถ้ำนั้นมืดมิดลงเรื่อยๆ เขาต้องใช้สองมือจับผนังถ้ำเพื่อคลำทาง อีกทั้งบนพื้นหินนั้นก็เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ทางเดินก็เต็มไปด้วย
ความคดเคี้ยวสลับลาดเอียงจึงยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังมากขึ้น เมื่อเดินไปได้พักใหญ่ เขาก็รู้สึกได้ถึงสายลมอันแผ่วเบาที่พัดมาวูบหนึ่ง

“ทางออกคงอยู่ไม่ไกลแล้ว” รินคำหันมาพูดอย่างดีใจ

และก็เป็นตามที่รินคำคาดไว้ ปากถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยรากไทรย้อยและเครือเถาวัลย์มากมาย ร่างเล็กของหญิงสาวเดินลุยน้ำและปีนขึ้นก้อนหิน
ใหญ่ที่ตั้งลาดเป็นบันไดออกสู่ปากถ้ำอย่างคล่องแคล่ว รินคำนั้นรอจนเสือปีนขึ้นมาแล้วจึงก้าวเดินต่อไปแต่ในครั้งนี้หญิงสาวดูลังเลไม่เหมือน
อย่างเคย ดวงหน้าเล็กๆมองซ้ายขวาอยู่นานจนเสือสังเกตได้

“หลงทางฤา” เสือถามขึ้น

“เจ้ามิรู้ทางอย่าพูดดีกว่า” รินคำพูดเสียงแข็งแล้วจึงรีบเดินเลี่ยงซ้ายไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“รอก่อนสิแม่ ทางที่เจ้าเดินมันเป็นทิศเหนือมิใช่ฤา” เสือตะโกนไล่หลัง

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” รินคำหันหน้ามาถามด้วยสีหน้าฉงน

“ข้ารู้ก็แล้วกัน” เสือพูดอย่างเป็นต่อ ยิ่งได้เห็นสีหน้าที่ฮึดฮัดของหญิงสาวตรงหน้าแล้วเขาก็นึกอยากจะแกล้งไม่ได้

“ข้าไม่เชื่อเจ้า” หญิงสาวพูดอย่างอวดดีแล้วก็ยังคงดื้อรั้นเดินทางต่อไป

“เจ้านี่พูดมิรู้ความจริงเชียว เมื่อหลงทางในป่าให้มองหาดาวเหนือเอาไว้ ดาวเหนือเป็นดาวเพียงดวงเดียวที่ไม่เปลี่ยนที่อยู่แม้ดาวอื่นจะหมุน
เวียนจากอีกฟากหนึ่งไปยังฟากหนึ่ง”

“แล้วดาวเหนืออยู่ที่ใดกันเล่า” รินคำเงยหน้ามองฟ้าด้วยความอยากรู้

“เจ้าเคยเห็นจระเข้บนท้องฟ้าไหม”

เมื่อเห็นรินคำส่ายหน้า เสือจึงชี้นิ้วไปที่กลุ่มดาวเจ็ดดวงที่เรียงตัวกันกลางหาว “ เจ้าเห็นดาวสี่ดวงที่เรียงตัวเป็นรูปเหลี่ยมและอีกสามดวงที่ต่อ
หางยาวมาไหม นั่นคือดาวจระเข้ สองดวงแรกจะเป็นขาหน้า สองดวงหลังเป็นขาหลัง และอีกสามดวงที่เรียงตัวนั้นจะเป็นหาง”

รินคำใช้นิ้วชี้วาดตามที่เสือพูดอย่างตื่นเต้น ดวงตาสีนิลเบิกกว้างเป็นประกายงดงามไม่แพ้แสงดาวใดๆ “จริงด้วย แล้วดาวเหนือซ่อนตัวอยู่ที่
ใด”


“เจ้ามองไปที่ขาหน้าทั้งสอง ห่างประมาณห้าคืบ นั่นอย่างไรล่ะ ดาวเหนือ”

นิ้วชี้เรียวยาวเคลื่อนที่ตามที่เสือบอก เมื่อหญิงสาวเห็นดาวเหนือ หล่อนก็พูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ดาวเหนือ ข้าเจอเจ้าแล้ว”

“เจอแล้วก็ถึงเวลาหันหลังกลับเถอะแม่ เราจักไปเชียงใหม่ต้องเดินลงใต้กันต่อ”

“เจ้าไม่ปดข้าใช่ไหม ที่เจ้าดาวดวงนี้จะอยู่ที่เดิมตลอดเวลา แล้วเจ้าไปเรียนวิชาพวกนี้มาจากที่ใดกัน”

“แม่ข้าสอน” เสือเล่าต่อตอนนี้ร่างเล็กของรินคำเป็นฝ่ายเดินตามหลังเขาไปเสียแล้ว

“แม่เจ้าช่างเป็นผู้รอบรู้จริงๆ ข้าชอบดูดาว” รินคำพูดอย่างใจลอย

“ข้าก็ชอบดูดาว” เสือพูดพลางนึกถึงคืนนั้นที่เขาดูดาวกับบัวแปง ป่านนี้นางจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้

รินคำยังคงหันหลังมามองดาวเหนืออยู่เนืองๆระหว่างเดินเท่าต่อไป เมื่อฟ้าเกือบสาง เสือจึงอาสาออกหาอาหารกิน เสบียงของทั้งสองหายไป
ตั้งแต่ตอนเจอกลุ่มโจร แม้น้ำในลำธารจะไม่ได้ใสมากนักแต่ด้วยสายตาปราดเปรียวก็ทำให้เสือจับปลาไนมาได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียว เขา
ก่อกองไฟโดยมีรินคำคอยดูอยู่ห่างๆ เมื่อปลาถูกเผาจนสุกดีแล้วเสือจึงส่งต่อปลาให้รินคำที่นั่งพิงอยู่ที่โคนต้นไม้

“กินเสีย”


รินคำรับปลาเผาไว้อย่างเสียไม่ได้ แม้หล่อนจะรู้สึกหิวเพียงใดแต่เธอก็ไม่อยากจะเป็นหนี้บุญคุณเขาไปมากกว่านี้

“เจ้าจะดูข้ากินอย่างเดียวฤา” เสือถามรินคำที่เอาแต่มองปลาเผาที่อยู่ในมืออยู่นานสองนาน

รินคำยังนั่งนิ่ง เสือจึงแกล้งขู่อีกที “ถ้าไม่กินส่งมาข้ากินเอง”


วิธีนี้ได้ผล รินคำเมื่อเห็นเสือเอื้อมแขนมาจึงรีบก้มหน้าก้มตากินปลาอย่างรวดเร็ว เมื่ออาหารตกถึงท้องสีหน้าของรินคำก็ดูสดชื่นขึ้นเล็กน้อย

“เพราะเมืองร้าง ไร้ซึ่งคนดูแล ชาวบ้านถูกกวาดต้อนไปจนหมด เชียงแสนจึงมีแต่โจรชุกชุม” เสือพูดขึ้นมาอย่างสะท้อนใจเมื่อเห็นสภาพเมือง
เชียงแสนที่เห็นอยู่ในตอนนี้

“ล้านนาหามีทางเลือกไม่ ถ้าเราไม่ทำอันใด พวกพม่าจะยังคงหาทางตีเอาหัวเมืองเราไปเรื่อยๆ เจ้ารู้ฤาไม่ แต่เดิมเชียงใหม่ก็เคยเป็นเยี่ยงนี้มา
ก่อน บ้านเมืองรกร้าง บ้านกลายเป็นนา นากลายเป็นพงร้าง เป็นด่านช้าง ดงเสือชาวบ้านหนีกระจัดกระจายเอาตัวรอดกันทั้งสิ้น บ้างก็ไปทาง
เหนือ บ้างก็ไปทางใต้ กว่าจักสร้างบ้านแปงเมืองก็ใช้เวลาหลายปีอยู่ เชียงใหม่ในตอนนั้นขาดแคลนซึ่งกำลังพล พระเจ้ากาวิละต้องตั้งมั่นเก็บ
ฮอมตอมไพร่ที่เวียงป่าซางถึงเกือบสิบสี่ปีกว่าจะกลับมาที่นครเชียงใหม่ได้”

“แล้วจักต้องใช้เวลาเท่าใดสำหรับเชียงแสนเล่า”

“ข้ามิอาจรู้ได้” รินคำเหม่อมองไปไปที่ขอบฟ้าระเรื่อแต้มสีทองและได้แต่หวังว่าอีกไม่นานเมืองเชียงแสนคงจะกลับมารุ่งเรืองเหมือนเดิมได้ใน
ไม่ช้า

“ว่าแต่เจ้าจักไปเชียงใหม่ด้วยเหตุอันใด” เสือเปลี่ยนเรื่อง

“ข้าจักกลับบ้าน”

“แล้วเจ้าจากบ้านมาด้วยเหตุอันใด”

“นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

“เจ้าไม่อยากตอบก็มิเป็นไร อีกไม่นานเราคงต้องจากกันแล้ว เจ้าคงจะสบายใจที่ไม่ต้องเห็นหน้าข้าอีก”

“ใช่” รินคำตอบสั้นๆโดยไม่มองหน้าเสือ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่