การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้ผ่องใส
การไม่ทำบาปทั้งปวงคือ การไม่ทำบาปทั้งหมด เพราะบาปกรรมนี้ สามารถที่จะทำให้เราให้ใครก็ตามที่ทำไปแล้วนั้นไซร้ ทำให้เกิดความทุกข์ ความยากความลำบาก ใครก็ตามที่ทำบาปทำกรรมนั้นจะทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป จิตใจนั้นจะได้รับแต่ความทุกข์ ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นบาปนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์เดือดร้อนที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจใครก็ตามที่ไม่ทำบาปคนเหล่านั้นล้วนจะมีความสุขทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การที่คนทั้งหลายเหล่าใดที่ไม่ทำบาปนั้นคนเหล่านั้นล้วนจะต้องมีศีลมีธรรม ล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนประพฤติปฏิบัติธรรม ใครก็ตามที่จะทำบุญทำกุศลคนเหล่านั้นจะต้องมีศีล คนเหล่านั้นจะต้องรู้จักศีล รักษาศีลนั้นให้ได้ให้ดีแล้วจะมีความสุขไม่ว่าใครก็ตามที่มีจิตใจที่ดีที่งามนั้นใครก็ตามที่มีความรักคนเหล่านั้นจะต้องรู้จักศีล รู้จักธรรม รู้จักการประพฤติปฏิบัติ และรู้จักการรักษาศีล ศีลคืออะไร คือสิ่งที่จะทำให้คนนั้น ๆ มีความสุขเพราะถ้าใครก็ตามที่รักษาศีลนั้นคนเหล่านั้นจะไม่ทำบาปคนเหล่านั้นจะทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ศีลทั้งหลายเหล่านั้นที่เราสมาฐานกันไปเมื่อกี้จะป้องกันไม่ให้จิตทุกดวงนั้นไปสู่อบายภูมิทั้ง 4 อันจะมี เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานเป็นต้น อบายภูมิทั้ง 4 อย่างนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิตใดก็ตามที่ละเมิดศีล จิตใดก็ตามที่ไม่รักษาศีล จิตนั้น ๆ จะทำให้คนเหล่านั้นไปสู่อบายภูมิ อบายภูมิคือดินแดนแห่งความทุกข์ ใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก ดื่มของมึนเมา 5 อย่างนี้แล จะทำให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ถึงแม้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มากมาย มาสั่งมาสอนเวไนยสัตว์มากมาย แต่ถ้าเวไนยสัตว์คนใด จิตใด ดวงใดไม่ปฏิบัติตาม จิตดวงนั้นก็จะมี แต่ความทุกข์อยู่ตลอด เพราะจิตนั้น ๆ ก็จะไปสู่อบายภูมิ อบายภูมิเป็นดินแดนแห่งความทุกข์ สิ่งไม่มีใครต้องการ และปรารถนา คนเหล่าใดหรือจิตเหล่าใดก็ตามเมื่อไปสู่อบายภูมิ เมื่อใดจิตเหล่านั้นล้วนแต่มีความทุกข์ เสวยความทุกข์ความเดือดร้อน แม้กระทั่งเรามีร่างกาย รูปนามขันธ์ 5 นี้เราก็ยังไม่ต้องการความทุกข์ เราต้องการความสุข แต่ถ้าลงไปตรงนั้นแล้ว ลงสู่อบายภูมิแล้วนั้นแล้วไซร้ ความสุขนั้นหามิได้ จะมีความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราต้องสำรวมกาย วาจาและสำรวมจิตใจ ของเราให้ดี สำรวมกายให้อยู่ในศีลในธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มของมึนเมา สำรวมวาจาคือการพูดจาปราศรัย พูดแต่สิ่งที่ดีที่งาม พูดแต่สิ่งที่อยู่ในบุญกุศลอยู่ในศีลในธรรม และสำรวมใจด้วยการที่จิตนั้น คิดแต่ส่วนที่เป็นกุศลธรรม คิดแต่สิ่งที่ดีที่งาม ใครก็ตามที่สำรวมกาย วาจา ใจ คนเหล่าใดก็ตามสำรวมกาย วาจา ใจได้คนเหล่านนั้นล้วนมีศีล มีธรรม และใครที่มีศีล มีธรรมนั้น คนเหล่านั้นจะมีแต่ความสุขความเจริญทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และคนทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่ทำบาป ก็สามารถที่จะสามารถสร้างบุญสร้างกุศล มนุษย์ก็ดีเทวดาก็ดี ก็ต่างต้องการบุญกุศล ล้วนแต่ที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะได้บุญกุศล เพื่อให้เกิดบุญบารมีที่ดีที่งามที่เกิดขึ้นในจิตใจ แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าบุญคืออะไร บุญนั้นคือความสุขความสบายทั้งทางกายและทางใจสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ทำก็ตาม ถ้ามีความสุขทั้งทางกายทางใจอันนั้นเรียกว่าบุญ ถ้าสมมุติว่าเราทำสิ่งที่ดีที่งามอย่างนั้น เช่น เรามาทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ อันนั้นเรียกว่าบุญ ก็จะทำให้เกิดความสุขกายสบายใจ จิตใดก็ตามที่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ อันนั้นแหละเรียกว่าบุญ ใครก็ตามที่เวลาใดนั้นอิ่มเอิบอิ่มใจสบายใจและมีความสุขอันนั้น เรียกว่าบุญ เหมือนสิ่งที่ท่านทั้งหลายที่ได้ไปทำบุญกุศลอะไรต่าง ๆ นานาก็ดี ทำบุญกุศลสิ่งใดก็ดี อันนั้นและเวลาที่ท่านมีความรื่นเริงบันเทิงในจิตใจอันนั้นเรียกว่าบุญ บุญคือความสงบ ความสุข ความสบายใจ และกุศลเหล่านั้นคือการอุทิศ มอบอุทิศนั้นให้เป็นกุศล อุทิศให้กับบรรพบุรุษ บรรพชนที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว หรือว่าละสังขารหรือว่าตายไปแล้ว เพราะว่ามนุษย์และสัตว์ก็ตามล้วนแต่มีการเกิดแก่เจ็บตาย เมื่อตายไปแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะทำบุญกุศลได้ สามารถที่จะรองรับบุญกุศลได้ การที่ญาติพี่น้องทั้งหลายทำให้ แต่ถ้าจิตเหล่าใด ที่เป็นกุศลอยู่แล้วนั้นไซร้ สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมได้อีก คนเหล่านั้น จิตเหล่านั้นล้วนแต่มีบุญกุศลไปในตัว เพราะฉะนั้นเราซึ่งเป็นมนุษย์ ที่มีรูปนามขันธ์ 5 พยายาม ทำบุญกุศล ด้วยการรักษาศีลก็ดี ประพฤติปฏิบัติธรรมก็ดี และเจริญภาวนาก็ดี คนเหล่าใดก็ตาม ที่ทำอย่างนี้ คนเหล่านั้นล้วนจะมีความสุขความเจริญ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เราไม่ทำบาป ทำบุญทำกุศลทีนี้เราจะทำจิตใจให้ผ่องใสได้อย่างไร มนุษย์นั้นล้วนจะมีแต่มีความต้องการ และปรารถนา จิตของมนุษย์ทุกดวงนั้น ล้วนแต่มีความโลภ ความต้องการ ความปรารถนาอยู่ตลอดเวลา ความต้องการความปรารถนามีมากเกินไป เรียกว่าความโลภ ปรารถนานั้นคิดสิ่งใดนั้น ได้มาทุกอยย่างนั้นไซร้ เรียกว่าความโลภ เมื่อไม่ได้มาก็เป็นความโกรธ เมื่อได้มาแล้วก็มีความต้องการ ความต้องการคือไม่อยากให้มีใครได้ในสิ่งนั้นไป มีความห่วงแหนสิ่งนั้น ๆ เรียกว่าความหลง เพราะฉะนั้น จิตของมนุษย์ทุกดวงนั้นล้วนแต่มีความโลภ ความโกรธความหลง ตลอดเวลา อันนี้แหละที่เรียกว่ากิเลศ กิเลสคือความโลภความโกรธความหลง 3อย่างนี้ แหละที่ทำให้จิตของมนุษย์นั้นสู้อบายภูมิทั้ง 4 ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาจากไหน เกิดมาจากตัณหา คือความอยาก อยากได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยากมีทุกสิ่งทุกอย่าง อยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาสู่ตน อันนี้แหละ ตัณหาตัวนี้แหละที่ทำให้เกิดกิเลสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กิเลสนั้นทำให้จิตนั้น ๆ มีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งมวลที่เกิดขึ้นนั้นมาจากตัณหาคือความอยากทั้งสิ้น และมนุษย์คนไหนใครบ้างที่ไม่อยากบ้าง ไม่อยากได้ มีมั้ยถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนอบรบนั้นไร้มนุษย์ล้วนแต่มีความอยาก เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามเอาจิต เอากาย เอาใจ นั้นมาฝึกฝนมาประพฤติปฏิบัติธรรม ถึงจะได้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าความอยากนั้นมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่จะทำให้จิตเราทุกดวงนั้นไปสู่ความทุกข์ อยากได้มากก็เป็นโลภะ ไม่ได้มาก็เป็นความโกรธ ได้มาแล้วก็เป็นความหลง อันนี้ความโลภโกรธหลงวนเวียนอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้มนุษย์นั้นไปสู่ความทุกข์ ตัณหาตัวนี้ยังไม่พอยังมีราคะ ความพอใจในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ในสัมผัส มีกิเลสมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวที่ทำให้ไปสู่ความทุกข์ความเดือดร้อน และเราไม่สามารถที่จะทำลายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ทำลายกิเลสต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีวิธีเดียว เราต้องขวนขวายในการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น เราต้องมีสติอยู่กับกายกับใจตลอดเวลา เราต้องค่อย ๆ ประพฤติปฏิบัติให้มีสติรอบรู้ในกองสังขารว่าตอนนี้เรากำลังมีความโลภ ตอนนี้เรากำลังโกรธ ตอนนี้เรากำลังหลง ตอนนี้เรากำลังคิดพอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่และไม่พอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ มีความปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ และไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ เพราะฉะนั้น 3 อย่างนี้แล้วเราต้องใช้สตินั้นกำหนดรู้อาการที่เกิดขึ้นทุก ๆ อย่าง สตินั้นจะมาได้อย่างไร เราจะต้องฝึกฝน เราจะต้องอบรมประพฤติปฏิบัติสตินั้นคือตามระลึกได้ สติคือตามระลึกได้ สัมปชัญญะ คือการรู้ตัว ระลึกได้ว่าเรากำลังนั่งอยู่ เรากำลังฟังอยู่ เรากำลังได้ยินอยู่ สัมปชัญญะ ก็รู้ตัวว่า เรานั่งอยู่และกำลังฟังอยู่ได้ยินอยู่ เรารู้ตัวอย่างนี้ เรารู้สึกอะไร เราก็กำหนดตามอาการนั้น การกำหนดคือการบอกให้รู้ว่า มันกำลังคิด มันกำลังปวด มันกำลังชา มันกำลังฟัง มันทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรก็กำหนดตามอาการนั้น ๆ โดยใช้สตินั้นกำหนดทุก ๆ อย่าง รักก็กำหนด รักหนอ เกลียดก็กำหนดเกลียดหนอ ชอบก็กำหนดชอบหนอ ไม่ชอบก็กำหนดไม่ชอบหนอ ทำไมถึงต้องกำหนด เพื่อให้มันเกิดอาการเบื่อหน่าย ทำให้เกิดอาการเบื่อหน่าย ทำให้เกิดปัญญา รับรู้ตามความเป็นจริงว่าสังขารร่างกายของเรานี้ ไม่นาน เกิดมาไม่นานทับถมแผ่นดิน จิตหรือใจของเรานี้ก็สามารถจะไปเกิดในภพใหม่ ภูมิใหม่ ก็แค่นั้นเอง ตัวเราไม่มีอะไร ในเมื่อตัวเราไม่มีอะไรนั้นไซร้ เหตุไฉนทำไมตัวเรารับอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เช่น เรานึกเราคิดเราเป็นห่วงเรากังวลมีความรักความชอบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรานี้เราต้องใช้สติตัวนี้กำหนดรู้ตามอาการนั้น ๆ เรากำหนดมากเท่าไหร่ อาการนั้น ๆ จะหายไป แต่ถ้าเราไม่กำหนดเราจะมีความรัก ความผูกพัน ความใคร่ ความต้องการ ความปรารถนา ความอยากได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นกิเลส กิเลสนั้นจะนำไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อน มีมนุษย์ไม่น้อยที่คิดว่าตอนเป็นคนนี้ทุกข์ขนาดนี้ สุขขนาดนี้และถ้าตายไปแล้วจะไม่รับรู้อะไร ๆ จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เข้าใจอย่างนั้นเป็นความหลงเป็นโมหะ ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้กระทั่งท่านตายไปแล้วรูปนามขันธ์ 5 นี้นั้นไซร้ ท่านก็ยังได้รับความทุกข์อยู่อีกมากมายมหาศาลเพราะฉะนั้นคนไหนใครก็ตามมีสติปัญญาสามารถพิจารนาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บอกที่สอนแนะนำไปคนเหล่าใดก็ตามที่ได้ประพฤติปฏิบัติคนเหล่านั้นจะไม่มีความทุกข์ถึงมีความทุกข์ก็สงบลง เพราะอะไรจะได้รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างนี้ เราก็มีความทุกข์อยู่อย่างนี้ ถ้าเราตายไปแล้วจะทุกข์ยิ่งกว่านี้ ทำไมมันถึงทุกข์ยิ่งกว่านี้ชีวิตหลังความตายนั้นมันทุกข์ทรมานแสนสาหัสใครก็ตามที่ไม่ขวนขวายเอาบุญกุศลเอาไว้ตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ คนเหล่าใดก็ตามถ้าไม่ขวนขวายเอาบุญกุศลตั้งแต่มีชิวิตอยู่นั้นไซร้คนเหล่านั้นถ้าตายไปแล้วจะทุกข์เป็นไปในเบื้องหน้าและใครก็ตามที่ไม่สำรวมกาย วาจา และใจนั้นไซร้ถ้าทำบาปทำกรรมทำอกุศลคนเหล่านั้นจิตเหล่านั้นจะมีความทุกข์พอสมควรคือคำว่าพอสมควรคือประมาณไม่ได้ยาวนานถ้าใครมีจิตใจดีงามสำรวมกายวาจาใจมีสติ มีศีล มีธรรมและปฏิบัติธรรมนั้นไซร้คนเหล่านั้นก็จะไปสู่สุขติภูมิแห่งความสุขจิตทุกดวงนั้นถ้าตายไปแล้วนั้นไซร้จะไปได้สองทางคือทุกคติและสุคติ ทุกคตินั้นเป็นดินแดนที่มีแต่ความทุกข์ สุขตินั้นเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุขเพราะฉะนั้นจะไปสู่สุขตินั้นจะต้องรักษาศีล 5 ให้บริบูรณ์เราเป็นปุถุชนเราก็ต้องพยายามขวนขวายรักษาศีลให้บริสุทธิ์และประพฤติปฏิบัติธรรมจากบ่วงแห่งมารให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายของเรานี้ให้ตัวเองหลุดพ้นไปสู่สุคติภูมิอันมีภูมิที่ต่ำที่สุดก็คือมนุษย์และเทวดาจนถึงที่สุดพระนิพพานจิตดวงใดก็ตามาจะไปสู่พระนิพพานได้นั้นไซร้จิตเหล่านั้นจะต้องมีศีลที่บริสุทธิ์หมั่นทำบุญทำกุศลและหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมเอาความโลภ โกรธ หลงออกเอากิเลส ตัณหา ราคะ มานะ ทิฐิ เอาออกแล้วเอากิเลสทั้งมวลออกจากกายจากใจแล้วหมั่นปฏิบัติธรรมหมั่นรักษาศีลเจริญภาวนาทำสติให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานั่นแหละถึงจะพาไปสู่ที่สูงได้คือสุคติภูมิมนุษย์นั้นไซร้ให้รักษาศีล5ละกิเลส ตัณหา ราคะ มานะ ทิฐิเอาออกหลังเอากิเลสทั้งมวลออกจากกายจากใจแล้วประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมหมั่นรักษาศีลเจริญภาวนาทำสติให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานั่นแหละถึงจะพาไปสู่ ที่สูงได้นั้นคือสุคติภูมิอย่างมนุษย์นี้นั้นไซร้เหล่านี้เราประมาทไม่ได้เพราะอะไรใครๆก็ช่วยใครไม่ได้บิดามารดาปู่ย่าตายายแม้ว่าใครก็ตามก็ช่วยไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องช่วยตัวเองท่านทั้งหลายต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติเอาเองและแน่นอนมนุษย์ล้วนมีบุพกรรมที่ทำมาแต่อดีตพอมาถึงปัจจุบัน บุพกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นมาขัดขวางมากางมากั้นไม่ให้เราได้บรรลุซึ่งคุณงามความดี ถ้าใครมีมารส่วนนั้นมาปิดบังเอาไว้นั้นไซร้ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีศรัทธาให้ตั้งมั่นมีความเลื่อมใสต่อคุณพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ตั้ง แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะมีแต่ความสุขเพราะอะไร ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ทำแต่บุญกุศลจะมีแต่ความสุขความเจริญทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ความดีนั้นทำได้ทุกที่ทุกทางทุกการณ์ทุกเวลาทุกเมื่อบุญกุศลนี้ได้ทำได้ทุกที่ทุกทาง ทุกกาลทุกเมื่อเช่นเดียวกัน ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ
การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำบุญกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตให้ผ่องใส
การไม่ทำบาปทั้งปวงคือ การไม่ทำบาปทั้งหมด เพราะบาปกรรมนี้ สามารถที่จะทำให้เราให้ใครก็ตามที่ทำไปแล้วนั้นไซร้ ทำให้เกิดความทุกข์ ความยากความลำบาก ใครก็ตามที่ทำบาปทำกรรมนั้นจะทำให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป จิตใจนั้นจะได้รับแต่ความทุกข์ ทั้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและอนาคต เพราะฉะนั้นบาปนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์เดือดร้อนที่เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางใจใครก็ตามที่ไม่ทำบาปคนเหล่านั้นล้วนจะมีความสุขทั้งในปัจจุบันและในอนาคต การที่คนทั้งหลายเหล่าใดที่ไม่ทำบาปนั้นคนเหล่านั้นล้วนจะต้องมีศีลมีธรรม ล้วนแต่ได้รับการฝึกฝนประพฤติปฏิบัติธรรม ใครก็ตามที่จะทำบุญทำกุศลคนเหล่านั้นจะต้องมีศีล คนเหล่านั้นจะต้องรู้จักศีล รักษาศีลนั้นให้ได้ให้ดีแล้วจะมีความสุขไม่ว่าใครก็ตามที่มีจิตใจที่ดีที่งามนั้นใครก็ตามที่มีความรักคนเหล่านั้นจะต้องรู้จักศีล รู้จักธรรม รู้จักการประพฤติปฏิบัติ และรู้จักการรักษาศีล ศีลคืออะไร คือสิ่งที่จะทำให้คนนั้น ๆ มีความสุขเพราะถ้าใครก็ตามที่รักษาศีลนั้นคนเหล่านั้นจะไม่ทำบาปคนเหล่านั้นจะทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ศีลทั้งหลายเหล่านั้นที่เราสมาฐานกันไปเมื่อกี้จะป้องกันไม่ให้จิตทุกดวงนั้นไปสู่อบายภูมิทั้ง 4 อันจะมี เปรต สัตว์นรก อสูรกาย สัตว์เดรัจฉานเป็นต้น อบายภูมิทั้ง 4 อย่างนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อจิตใดก็ตามที่ละเมิดศีล จิตใดก็ตามที่ไม่รักษาศีล จิตนั้น ๆ จะทำให้คนเหล่านั้นไปสู่อบายภูมิ อบายภูมิคือดินแดนแห่งความทุกข์ ใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก ดื่มของมึนเมา 5 อย่างนี้แล จะทำให้ได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน ถึงแม้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มากมาย มาสั่งมาสอนเวไนยสัตว์มากมาย แต่ถ้าเวไนยสัตว์คนใด จิตใด ดวงใดไม่ปฏิบัติตาม จิตดวงนั้นก็จะมี แต่ความทุกข์อยู่ตลอด เพราะจิตนั้น ๆ ก็จะไปสู่อบายภูมิ อบายภูมิเป็นดินแดนแห่งความทุกข์ สิ่งไม่มีใครต้องการ และปรารถนา คนเหล่าใดหรือจิตเหล่าใดก็ตามเมื่อไปสู่อบายภูมิ เมื่อใดจิตเหล่านั้นล้วนแต่มีความทุกข์ เสวยความทุกข์ความเดือดร้อน แม้กระทั่งเรามีร่างกาย รูปนามขันธ์ 5 นี้เราก็ยังไม่ต้องการความทุกข์ เราต้องการความสุข แต่ถ้าลงไปตรงนั้นแล้ว ลงสู่อบายภูมิแล้วนั้นแล้วไซร้ ความสุขนั้นหามิได้ จะมีความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราต้องสำรวมกาย วาจาและสำรวมจิตใจ ของเราให้ดี สำรวมกายให้อยู่ในศีลในธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหก ไม่ดื่มของมึนเมา สำรวมวาจาคือการพูดจาปราศรัย พูดแต่สิ่งที่ดีที่งาม พูดแต่สิ่งที่อยู่ในบุญกุศลอยู่ในศีลในธรรม และสำรวมใจด้วยการที่จิตนั้น คิดแต่ส่วนที่เป็นกุศลธรรม คิดแต่สิ่งที่ดีที่งาม ใครก็ตามที่สำรวมกาย วาจา ใจ คนเหล่าใดก็ตามสำรวมกาย วาจา ใจได้คนเหล่านนั้นล้วนมีศีล มีธรรม และใครที่มีศีล มีธรรมนั้น คนเหล่านั้นจะมีแต่ความสุขความเจริญทั้งในปัจจุบันและในอนาคต และคนทั้งหลายเหล่านั้นจะไม่ทำบาป ก็สามารถที่จะสามารถสร้างบุญสร้างกุศล มนุษย์ก็ดีเทวดาก็ดี ก็ต่างต้องการบุญกุศล ล้วนแต่ที่จะบำเพ็ญเพียรเพื่อที่จะได้บุญกุศล เพื่อให้เกิดบุญบารมีที่ดีที่งามที่เกิดขึ้นในจิตใจ แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าบุญคืออะไร บุญนั้นคือความสุขความสบายทั้งทางกายและทางใจสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายได้ทำก็ตาม ถ้ามีความสุขทั้งทางกายทางใจอันนั้นเรียกว่าบุญ ถ้าสมมุติว่าเราทำสิ่งที่ดีที่งามอย่างนั้น เช่น เรามาทำวัตร สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ อันนั้นเรียกว่าบุญ ก็จะทำให้เกิดความสุขกายสบายใจ จิตใดก็ตามที่มีความสุข ไม่มีความทุกข์ อันนั้นแหละเรียกว่าบุญ ใครก็ตามที่เวลาใดนั้นอิ่มเอิบอิ่มใจสบายใจและมีความสุขอันนั้น เรียกว่าบุญ เหมือนสิ่งที่ท่านทั้งหลายที่ได้ไปทำบุญกุศลอะไรต่าง ๆ นานาก็ดี ทำบุญกุศลสิ่งใดก็ดี อันนั้นและเวลาที่ท่านมีความรื่นเริงบันเทิงในจิตใจอันนั้นเรียกว่าบุญ บุญคือความสงบ ความสุข ความสบายใจ และกุศลเหล่านั้นคือการอุทิศ มอบอุทิศนั้นให้เป็นกุศล อุทิศให้กับบรรพบุรุษ บรรพชนที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว หรือว่าละสังขารหรือว่าตายไปแล้ว เพราะว่ามนุษย์และสัตว์ก็ตามล้วนแต่มีการเกิดแก่เจ็บตาย เมื่อตายไปแล้วนั้น ไม่สามารถที่จะทำบุญกุศลได้ สามารถที่จะรองรับบุญกุศลได้ การที่ญาติพี่น้องทั้งหลายทำให้ แต่ถ้าจิตเหล่าใด ที่เป็นกุศลอยู่แล้วนั้นไซร้ สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมได้อีก คนเหล่านั้น จิตเหล่านั้นล้วนแต่มีบุญกุศลไปในตัว เพราะฉะนั้นเราซึ่งเป็นมนุษย์ ที่มีรูปนามขันธ์ 5 พยายาม ทำบุญกุศล ด้วยการรักษาศีลก็ดี ประพฤติปฏิบัติธรรมก็ดี และเจริญภาวนาก็ดี คนเหล่าใดก็ตาม ที่ทำอย่างนี้ คนเหล่านั้นล้วนจะมีความสุขความเจริญ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต เราไม่ทำบาป ทำบุญทำกุศลทีนี้เราจะทำจิตใจให้ผ่องใสได้อย่างไร มนุษย์นั้นล้วนจะมีแต่มีความต้องการ และปรารถนา จิตของมนุษย์ทุกดวงนั้น ล้วนแต่มีความโลภ ความต้องการ ความปรารถนาอยู่ตลอดเวลา ความต้องการความปรารถนามีมากเกินไป เรียกว่าความโลภ ปรารถนานั้นคิดสิ่งใดนั้น ได้มาทุกอยย่างนั้นไซร้ เรียกว่าความโลภ เมื่อไม่ได้มาก็เป็นความโกรธ เมื่อได้มาแล้วก็มีความต้องการ ความต้องการคือไม่อยากให้มีใครได้ในสิ่งนั้นไป มีความห่วงแหนสิ่งนั้น ๆ เรียกว่าความหลง เพราะฉะนั้น จิตของมนุษย์ทุกดวงนั้นล้วนแต่มีความโลภ ความโกรธความหลง ตลอดเวลา อันนี้แหละที่เรียกว่ากิเลศ กิเลสคือความโลภความโกรธความหลง 3อย่างนี้ แหละที่ทำให้จิตของมนุษย์นั้นสู้อบายภูมิทั้ง 4 ความโลภ ความโกรธ ความหลง มาจากไหน เกิดมาจากตัณหา คือความอยาก อยากได้ ทุกสิ่งทุกอย่างอยากมีทุกสิ่งทุกอย่าง อยากเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง อยากได้ อยากดี อยากมี อยากเป็น อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาสู่ตน อันนี้แหละ ตัณหาตัวนี้แหละที่ทำให้เกิดกิเลสต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น กิเลสนั้นทำให้จิตนั้น ๆ มีแต่ความทุกข์ เพราะฉะนั้นกิเลสทั้งมวลที่เกิดขึ้นนั้นมาจากตัณหาคือความอยากทั้งสิ้น และมนุษย์คนไหนใครบ้างที่ไม่อยากบ้าง ไม่อยากได้ มีมั้ยถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนอบรบนั้นไร้มนุษย์ล้วนแต่มีความอยาก เพราะฉะนั้นถ้าใครก็ตามเอาจิต เอากาย เอาใจ นั้นมาฝึกฝนมาประพฤติปฏิบัติธรรม ถึงจะได้รู้แจ้งเห็นจริง ว่าความอยากนั้นมันเป็นกิเลสอย่างหนึ่งที่จะทำให้จิตเราทุกดวงนั้นไปสู่ความทุกข์ อยากได้มากก็เป็นโลภะ ไม่ได้มาก็เป็นความโกรธ ได้มาแล้วก็เป็นความหลง อันนี้ความโลภโกรธหลงวนเวียนอยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้แหละที่จะทำให้มนุษย์นั้นไปสู่ความทุกข์ ตัณหาตัวนี้ยังไม่พอยังมีราคะ ความพอใจในรูป ในรส ในกลิ่น ในเสียง ในสัมผัส มีกิเลสมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นตัวที่ทำให้ไปสู่ความทุกข์ความเดือดร้อน และเราไม่สามารถที่จะทำลายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ได้ ทำลายกิเลสต่าง ๆ เหล่านี้ได้มีวิธีเดียว เราต้องขวนขวายในการประพฤติปฏิบัติเท่านั้น เราต้องมีสติอยู่กับกายกับใจตลอดเวลา เราต้องค่อย ๆ ประพฤติปฏิบัติให้มีสติรอบรู้ในกองสังขารว่าตอนนี้เรากำลังมีความโลภ ตอนนี้เรากำลังโกรธ ตอนนี้เรากำลังหลง ตอนนี้เรากำลังคิดพอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่และไม่พอใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ มีความปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ และไม่ได้ปรารถนาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ เพราะฉะนั้น 3 อย่างนี้แล้วเราต้องใช้สตินั้นกำหนดรู้อาการที่เกิดขึ้นทุก ๆ อย่าง สตินั้นจะมาได้อย่างไร เราจะต้องฝึกฝน เราจะต้องอบรมประพฤติปฏิบัติสตินั้นคือตามระลึกได้ สติคือตามระลึกได้ สัมปชัญญะ คือการรู้ตัว ระลึกได้ว่าเรากำลังนั่งอยู่ เรากำลังฟังอยู่ เรากำลังได้ยินอยู่ สัมปชัญญะ ก็รู้ตัวว่า เรานั่งอยู่และกำลังฟังอยู่ได้ยินอยู่ เรารู้ตัวอย่างนี้ เรารู้สึกอะไร เราก็กำหนดตามอาการนั้น การกำหนดคือการบอกให้รู้ว่า มันกำลังคิด มันกำลังปวด มันกำลังชา มันกำลังฟัง มันทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรก็กำหนดตามอาการนั้น ๆ โดยใช้สตินั้นกำหนดทุก ๆ อย่าง รักก็กำหนด รักหนอ เกลียดก็กำหนดเกลียดหนอ ชอบก็กำหนดชอบหนอ ไม่ชอบก็กำหนดไม่ชอบหนอ ทำไมถึงต้องกำหนด เพื่อให้มันเกิดอาการเบื่อหน่าย ทำให้เกิดอาการเบื่อหน่าย ทำให้เกิดปัญญา รับรู้ตามความเป็นจริงว่าสังขารร่างกายของเรานี้ ไม่นาน เกิดมาไม่นานทับถมแผ่นดิน จิตหรือใจของเรานี้ก็สามารถจะไปเกิดในภพใหม่ ภูมิใหม่ ก็แค่นั้นเอง ตัวเราไม่มีอะไร ในเมื่อตัวเราไม่มีอะไรนั้นไซร้ เหตุไฉนทำไมตัวเรารับอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น เช่น เรานึกเราคิดเราเป็นห่วงเรากังวลมีความรักความชอบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรานี้เราต้องใช้สติตัวนี้กำหนดรู้ตามอาการนั้น ๆ เรากำหนดมากเท่าไหร่ อาการนั้น ๆ จะหายไป แต่ถ้าเราไม่กำหนดเราจะมีความรัก ความผูกพัน ความใคร่ ความต้องการ ความปรารถนา ความอยากได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่เป็นกิเลส กิเลสนั้นจะนำไปสู่ความทุกข์ ความเดือดร้อน มีมนุษย์ไม่น้อยที่คิดว่าตอนเป็นคนนี้ทุกข์ขนาดนี้ สุขขนาดนี้และถ้าตายไปแล้วจะไม่รับรู้อะไร ๆ จริง ๆ แล้ว สิ่งที่เข้าใจอย่างนั้นเป็นความหลงเป็นโมหะ ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้กระทั่งท่านตายไปแล้วรูปนามขันธ์ 5 นี้นั้นไซร้ ท่านก็ยังได้รับความทุกข์อยู่อีกมากมายมหาศาลเพราะฉะนั้นคนไหนใครก็ตามมีสติปัญญาสามารถพิจารนาได้ปฏิบัติตามสิ่งที่บอกที่สอนแนะนำไปคนเหล่าใดก็ตามที่ได้ประพฤติปฏิบัติคนเหล่านั้นจะไม่มีความทุกข์ถึงมีความทุกข์ก็สงบลง เพราะอะไรจะได้รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่อย่างนี้ เราก็มีความทุกข์อยู่อย่างนี้ ถ้าเราตายไปแล้วจะทุกข์ยิ่งกว่านี้ ทำไมมันถึงทุกข์ยิ่งกว่านี้ชีวิตหลังความตายนั้นมันทุกข์ทรมานแสนสาหัสใครก็ตามที่ไม่ขวนขวายเอาบุญกุศลเอาไว้ตั้งแต่ตอนมีชีวิตอยู่ คนเหล่าใดก็ตามถ้าไม่ขวนขวายเอาบุญกุศลตั้งแต่มีชิวิตอยู่นั้นไซร้คนเหล่านั้นถ้าตายไปแล้วจะทุกข์เป็นไปในเบื้องหน้าและใครก็ตามที่ไม่สำรวมกาย วาจา และใจนั้นไซร้ถ้าทำบาปทำกรรมทำอกุศลคนเหล่านั้นจิตเหล่านั้นจะมีความทุกข์พอสมควรคือคำว่าพอสมควรคือประมาณไม่ได้ยาวนานถ้าใครมีจิตใจดีงามสำรวมกายวาจาใจมีสติ มีศีล มีธรรมและปฏิบัติธรรมนั้นไซร้คนเหล่านั้นก็จะไปสู่สุขติภูมิแห่งความสุขจิตทุกดวงนั้นถ้าตายไปแล้วนั้นไซร้จะไปได้สองทางคือทุกคติและสุคติ ทุกคตินั้นเป็นดินแดนที่มีแต่ความทุกข์ สุขตินั้นเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุขเพราะฉะนั้นจะไปสู่สุขตินั้นจะต้องรักษาศีล 5 ให้บริบูรณ์เราเป็นปุถุชนเราก็ต้องพยายามขวนขวายรักษาศีลให้บริสุทธิ์และประพฤติปฏิบัติธรรมจากบ่วงแห่งมารให้หลุดพ้นจากกิเลสตัณหาอุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นในสังขารร่างกายของเรานี้ให้ตัวเองหลุดพ้นไปสู่สุคติภูมิอันมีภูมิที่ต่ำที่สุดก็คือมนุษย์และเทวดาจนถึงที่สุดพระนิพพานจิตดวงใดก็ตามาจะไปสู่พระนิพพานได้นั้นไซร้จิตเหล่านั้นจะต้องมีศีลที่บริสุทธิ์หมั่นทำบุญทำกุศลและหมั่นประพฤติปฏิบัติธรรมเอาความโลภ โกรธ หลงออกเอากิเลส ตัณหา ราคะ มานะ ทิฐิ เอาออกแล้วเอากิเลสทั้งมวลออกจากกายจากใจแล้วหมั่นปฏิบัติธรรมหมั่นรักษาศีลเจริญภาวนาทำสติให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานั่นแหละถึงจะพาไปสู่ที่สูงได้คือสุคติภูมิมนุษย์นั้นไซร้ให้รักษาศีล5ละกิเลส ตัณหา ราคะ มานะ ทิฐิเอาออกหลังเอากิเลสทั้งมวลออกจากกายจากใจแล้วประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมหมั่นรักษาศีลเจริญภาวนาทำสติให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลานั่นแหละถึงจะพาไปสู่ ที่สูงได้นั้นคือสุคติภูมิอย่างมนุษย์นี้นั้นไซร้เหล่านี้เราประมาทไม่ได้เพราะอะไรใครๆก็ช่วยใครไม่ได้บิดามารดาปู่ย่าตายายแม้ว่าใครก็ตามก็ช่วยไม่ได้ท่านทั้งหลายต้องช่วยตัวเองท่านทั้งหลายต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติเอาเองและแน่นอนมนุษย์ล้วนมีบุพกรรมที่ทำมาแต่อดีตพอมาถึงปัจจุบัน บุพกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นมาขัดขวางมากางมากั้นไม่ให้เราได้บรรลุซึ่งคุณงามความดี ถ้าใครมีมารส่วนนั้นมาปิดบังเอาไว้นั้นไซร้ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีศรัทธาให้ตั้งมั่นมีความเลื่อมใสต่อคุณพระรัตนตรัย อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่ตั้ง แล้วท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะมีแต่ความสุขเพราะอะไร ใครก็ตามที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน ทำแต่บุญกุศลจะมีแต่ความสุขความเจริญทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ความดีนั้นทำได้ทุกที่ทุกทางทุกการณ์ทุกเวลาทุกเมื่อบุญกุศลนี้ได้ทำได้ทุกที่ทุกทาง ทุกกาลทุกเมื่อเช่นเดียวกัน ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ