ช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงมาแรงจนน่าตกใจ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาจากประมาณ 1640 กว่าจุดเหลือ 1465 จุดในวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นการตกลงมาเกือบ 200 จุดหรือลดลงประมาณ 10% ในบางช่วงนั้น บางวันหุ้นตกลงมาถึง 5% และยังตกติดต่อกันอีกหลายเปอร์เซ็นต์ในวันต่อมาแม้ว่าจะมีการ “รีบาวด์” เป็นระยะ ๆ บางทีในวันเดียวกัน เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้น นักวิเคราะห์ต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องของการที่สหรัฐอเมริกามีภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นดังนั้นมาตรการ QE ซึ่งคอยอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินทุกเดือนอาจจะต้องลดลงซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินที่เคยไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียต้องถูกถอนกลับ ผลก็คือ นักลงทุนเทขายหุ้นและทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักทั่วเอเซีย ตัวเลขการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นของไทยก็ฟ้องว่ามีการขายหุ้นจริงคิดเป็นหลายหมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี วันที่หุ้นตกอย่างหนักบางวันก็เห็นว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากถึง 5-6 พันล้านบาท ปรากฏการณ์หุ้นตกครั้งนี้ผมมีความคิดและข้อสังเกตหลาย ๆ อย่างที่อยากจะพูด
เรื่องแรกก็คือ การตกของหุ้นในรอบนี้ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงนั้น ว่าที่จริงดัชนีหุ้นก็ยังสูงกว่าดัชนีเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1392 จุด ดังนั้น สำหรับคนที่ “มองยาว” อย่างผมซึ่งมักจะดูดัชนีเป็นปี ๆ แล้ว ผมไม่ได้คิดว่าหุ้นตกอะไรเลย เพราะเมื่อผ่านมาประมาณเกือบครึ่งปีของปีนี้หุ้นก็ยังขึ้นมาประมาณ 5% เมื่อรวมกับปันผลประมาณเกือบ 3% ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยรวมยังสูงถึง 8% และถ้าเราคาดว่าหุ้นก็จะมีผลประกอบการแบบเดิมในครึ่งปีที่เหลือ เราก็คูณด้วย 2 ก็จะได้ว่าหุ้นปีนี้อาจจะให้ผลตอบแทนถึง 16% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีเลิศ ดังนั้น เราจะเสียอกเสียใจไปทำไมถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว? คนที่จะกลุ้มใจและอาจจะเสียหายหนักน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก่อนหุ้นจะตก หรือไม่ก็เป็นคนที่ทุ่มเงินเข้ามาลงทุนมากในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม คนที่มีหุ้นเต็มพอร์ตมาตลอดและถือหุ้นระยะยาวเองก็คงรู้สึกเศร้าอยู่เหมือนกันที่เห็นเงินในพอร์ต “หาย” หรือลดลงไปมากในช่วงเวลาสั้น ๆ คำแนะนำหรือคำปลอบประโลมใจของผมก็คือ นี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นมานาน วอเร็น บัฟเฟตต์ เองถึงกับบอกว่า ถ้าคุณไม่สามารถมองเห็นพอร์ตหรือราคาหุ้นลดลงไปถึง 50% ได้ คุณก็ไม่ควรอยู่ในเกมของการลงทุน
เรื่องที่สองก็คือ การตกของหุ้นในรอบนี้เป็นสิ่งที่ผมเคยคาดไว้หรือไม่? คำตอบก็คือ ผมเองคิดไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่หุ้นอาจจะไม่ดี ว่าที่จริงผมเองคิดว่ามีโอกาสที่ผลตอบแทนของปีนี้จะ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ เหตุผลของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปถึงปี 2552 หรือ 4 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนที่ “สุดยอด” นั่นคือ ปี 2552 หุ้นขึ้นมา 63% ปี 53 หุ้นขึ้นอีก 41% ส่วนปี 54 นั้น หุ้นนิ่งเท่ากับปี 53 หรืออาจจะเรียกว่า “หยุดพัก” หลังจากนั้นในปี 55 หุ้นก็เริ่มวิ่งใหม่ ขึ้นมาอีก 36% จากดัชนีสิ้นปี 51 ที่ประมาณ 450 จุดขึ้นมาเป็น 1392 เมื่อสิ้นปี 55 หรือขึ้นมาสูงเป็นกว่า 3 เท่าในเวลา 4 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่ตลาดไทยไม่เคยเจอ และถ้าปี 56 ตลาดหุ้นขึ้นมามากอีก มันก็เป็นอะไรที่ “สุดโต่ง” เมื่อเทียบกับสถิติ “ระยะยาว” ของตลาดหุ้นไทยที่ผลตอบแทนประจำปีที่เป็นบวกต่อปีที่ผลตอบแทนเป็นลบนั้น เป็นแค่ 60:40 และผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเป็นแค่ประมาณ 10% ดังนั้น ความหวังของผมในตอนสิ้นปี 2555 ก็คือ ดัชนีตลาดในปี 2556 จะไม่เป็นลบ แต่การณ์กลับเป็นว่า เพียง 3-4 เดือนของปี 2556 ตลาดก็ขึ้นไปแล้วเกือบ 20% ซึ่งทำให้ผมคิดว่า การ “ปรับตัว” น่าจะเกิดขึ้นได้เสมอ ก็ได้แต่หวังว่าผลตอบแทนเมื่อสิ้นปีนี้จะไม่เป็นลบ
เรื่องต่อมาก็คือ ผมได้ทำอะไรเมื่อหุ้นตกลงมาแรง? คำตอบก็คือ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าที่จริงในทุกครั้งที่หุ้นตกแรงไม่ว่าจะในปีไหนหรือตกจากสาเหตุอะไร ผมไม่เคยที่จะขายหุ้น ผมคิดว่าในยามที่คนกำลัง “ขวัญผวา” และเทขายหุ้นเหมือนฟ้าจะถล่มนั้น หุ้นย่อมจะต้องตกเกินความเป็นจริง ดังนั้น ถ้าเราขายหุ้นในวันนั้น เราก็จะขายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง ผมคิดว่าถ้าเราคิดว่าพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนจริง ๆ เราก็รอขายในอีก 2- 3 วันที่คนหายตื่นตระหนกจะดีกว่า ถ้าจะว่าไป ในทุกครั้งที่เกิด “แพนิค” หลังจากนั้นก็จะต้องมีการ “รีบาวด์” ให้เราขายได้เสมอ แต่ในกรณีที่พื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่ทำอะไร บางทีถ้าหุ้นตัวที่เราสนใจตกลงมามากจนคุ้มค่า ผมก็จะเข้าไปซื้อเท่าที่จะหาเงินมาได้
เรื่องที่สี่ก็คือ ในระดับดัชนีขณะนี้ มองไปข้างหน้าเราสามารถลงทุนระยะยาวโดยการเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือไม่? นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก ประเด็นก็คือ ในภาวะที่หุ้นร้อนแรงมาก (แม้ว่าจะปรับตัวลงมาบ้าง) ผมเองคิดว่าหุ้นที่มีราคาถูกมาก ๆ นั้นหาได้ค่อนข้างยากหรือไม่ก็เป็นหุ้นที่อาจจะถูกแต่ก็มีความเสี่ยงบางอย่างที่อาจจะสูงสำหรับผม ดังนั้น ถ้าผมยังไม่มีหุ้นอยู่เลยหรือมีหุ้นจำนวนน้อยและมีเงินสดเหลือมาก ผมก็คงจะ “รอ” หรือไม่ก็เลือกหุ้นบางตัวที่มีความปลอดภัยสูงและก็คงไม่เข้าไปลงทุนมากมายอะไรนัก ผมคิดว่ายังน่าจะมีเวลาที่หุ้นจะตกต่ำลงมากกว่านี้ หรือไม่เราก็อาจจะพบหุ้นบางตัวที่โดดเด่นขึ้นมาจนมีคุณค่าและเป็นหุ้นที่มี Margin of Safety สูงพอที่เราจะลงทุนได้อย่างสบายใจ จำไว้ว่าเราไม่มีแรงกดดันอะไรที่จะต้องตัดสินใจในสิ่งที่เราไม่แน่ใจ อย่าลืมว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น บ่อยครั้ง นั่งทับเงินสดเป็นพัน ๆ ล้านเหรียญ เป็นปี ๆ
คำถามสุดท้ายก็คือ ถ้าเรามีหุ้นอยู่เต็มพอร์ต เราควรทยอยขายออกไปไหมเพื่อ “ลดความเสี่ยง” เหนือสิ่งอื่นใด เราได้กำไรมามากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ควรไหมที่เราจะ “ล็อก” กำไรหรือเม็ดเงินไว้ รอดูให้ทุกอย่าง “คลี่คลาย” แล้วค่อยกลับมาลงทุนใหม่? สำหรับคำถามนี้ผมเองยอมรับว่าตอบไม่ได้เหมือนกัน จริงอยู่ ผมเองก็คิดว่าหุ้นในเวลานี้ไม่ถูกหรือบางทีอาจจะแพงด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราขายไปแล้วถือเงินสดหรือลงทุนในตราสารหนี้ก็ตาม ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำมากอาจจะเพียง 2-3% ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้นอาจจะไม่ดี แต่พอร์ตเราก็ยังอาจจะพอไปได้ให้ผลตอบแทนอาจจะ 4-5% แม้ว่าดัชนีตลาดอาจจะติดลบ ในกรณีแบบนี้ การถือหุ้นไว้ก็ยังดีกว่า และเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว พอร์ตของเราก็อาจจะเดินหน้าต่อไป ดังนั้น ดู ๆ แล้ว การที่จะขายหุ้นเพื่อถือเงินสดนั้น อาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรและอาจจะทำให้พลาดอย่างแรงกรณีที่หุ้นไม่ได้ปรับลดดังคาด และถ้าหากว่าหุ้นกลับขึ้นไปโดยที่เราไม่กล้ากลับเข้าไปในตลาดเร็วพอ ความเสียหายก็จะเพิ่มทวีคูณ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงมักจะ “อดทน” ถือหุ้นไว้แม้ในใจจะหวั่นว่าหุ้นอาจจะปรับตัวลงหนักได้ตลอดเวลา
เลือดนองตลาด By ดร.นิเวศน์
ช่วงประมาณ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้นดูเหมือนว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับตัวลงมาแรงจนน่าตกใจ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ตกลงมาจากประมาณ 1640 กว่าจุดเหลือ 1465 จุดในวันที่ 14 มิถุนายน 2556 ซึ่งเป็นการตกลงมาเกือบ 200 จุดหรือลดลงประมาณ 10% ในบางช่วงนั้น บางวันหุ้นตกลงมาถึง 5% และยังตกติดต่อกันอีกหลายเปอร์เซ็นต์ในวันต่อมาแม้ว่าจะมีการ “รีบาวด์” เป็นระยะ ๆ บางทีในวันเดียวกัน เหตุผลที่หุ้นตกลงมานั้น นักวิเคราะห์ต่างก็บอกว่าเป็นเรื่องของการที่สหรัฐอเมริกามีภาวะทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นดังนั้นมาตรการ QE ซึ่งคอยอัดฉีดเงินเข้าระบบการเงินทุกเดือนอาจจะต้องลดลงซึ่งจะทำให้สภาพคล่องทางการเงินที่เคยไหลมาลงทุนในตลาดหุ้นเอเซียต้องถูกถอนกลับ ผลก็คือ นักลงทุนเทขายหุ้นและทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักทั่วเอเซีย ตัวเลขการขายหุ้นสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นของไทยก็ฟ้องว่ามีการขายหุ้นจริงคิดเป็นหลายหมื่นล้านบาทตั้งแต่ต้นปี วันที่หุ้นตกอย่างหนักบางวันก็เห็นว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิมากถึง 5-6 พันล้านบาท ปรากฏการณ์หุ้นตกครั้งนี้ผมมีความคิดและข้อสังเกตหลาย ๆ อย่างที่อยากจะพูด
เรื่องแรกก็คือ การตกของหุ้นในรอบนี้ที่ดูเหมือนว่าจะรุนแรงนั้น ว่าที่จริงดัชนีหุ้นก็ยังสูงกว่าดัชนีเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมาที่อยู่ที่ 1392 จุด ดังนั้น สำหรับคนที่ “มองยาว” อย่างผมซึ่งมักจะดูดัชนีเป็นปี ๆ แล้ว ผมไม่ได้คิดว่าหุ้นตกอะไรเลย เพราะเมื่อผ่านมาประมาณเกือบครึ่งปีของปีนี้หุ้นก็ยังขึ้นมาประมาณ 5% เมื่อรวมกับปันผลประมาณเกือบ 3% ผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยรวมยังสูงถึง 8% และถ้าเราคาดว่าหุ้นก็จะมีผลประกอบการแบบเดิมในครึ่งปีที่เหลือ เราก็คูณด้วย 2 ก็จะได้ว่าหุ้นปีนี้อาจจะให้ผลตอบแทนถึง 16% ซึ่งเป็นอัตราผลตอบแทนที่ดีเลิศ ดังนั้น เราจะเสียอกเสียใจไปทำไมถ้าเราเป็นนักลงทุนระยะยาว? คนที่จะกลุ้มใจและอาจจะเสียหายหนักน่าจะเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงเร็ว ๆ นี้ก่อนหุ้นจะตก หรือไม่ก็เป็นคนที่ทุ่มเงินเข้ามาลงทุนมากในช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม คนที่มีหุ้นเต็มพอร์ตมาตลอดและถือหุ้นระยะยาวเองก็คงรู้สึกเศร้าอยู่เหมือนกันที่เห็นเงินในพอร์ต “หาย” หรือลดลงไปมากในช่วงเวลาสั้น ๆ คำแนะนำหรือคำปลอบประโลมใจของผมก็คือ นี่คือสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นถ้าเราอยู่ในตลาดหุ้นมานาน วอเร็น บัฟเฟตต์ เองถึงกับบอกว่า ถ้าคุณไม่สามารถมองเห็นพอร์ตหรือราคาหุ้นลดลงไปถึง 50% ได้ คุณก็ไม่ควรอยู่ในเกมของการลงทุน
เรื่องที่สองก็คือ การตกของหุ้นในรอบนี้เป็นสิ่งที่ผมเคยคาดไว้หรือไม่? คำตอบก็คือ ผมเองคิดไว้ตั้งแต่ปลายปีที่แล้วว่าปีนี้น่าจะเป็นปีที่หุ้นอาจจะไม่ดี ว่าที่จริงผมเองคิดว่ามีโอกาสที่ผลตอบแทนของปีนี้จะ “ติดลบ” ด้วยซ้ำ เหตุผลของผมก็คือ ตลาดหุ้นไทยย้อนหลังไปถึงปี 2552 หรือ 4 ปีที่ผ่านมานั้นให้ผลตอบแทนที่ “สุดยอด” นั่นคือ ปี 2552 หุ้นขึ้นมา 63% ปี 53 หุ้นขึ้นอีก 41% ส่วนปี 54 นั้น หุ้นนิ่งเท่ากับปี 53 หรืออาจจะเรียกว่า “หยุดพัก” หลังจากนั้นในปี 55 หุ้นก็เริ่มวิ่งใหม่ ขึ้นมาอีก 36% จากดัชนีสิ้นปี 51 ที่ประมาณ 450 จุดขึ้นมาเป็น 1392 เมื่อสิ้นปี 55 หรือขึ้นมาสูงเป็นกว่า 3 เท่าในเวลา 4 ปี ซึ่งเป็นสถิติที่ตลาดไทยไม่เคยเจอ และถ้าปี 56 ตลาดหุ้นขึ้นมามากอีก มันก็เป็นอะไรที่ “สุดโต่ง” เมื่อเทียบกับสถิติ “ระยะยาว” ของตลาดหุ้นไทยที่ผลตอบแทนประจำปีที่เป็นบวกต่อปีที่ผลตอบแทนเป็นลบนั้น เป็นแค่ 60:40 และผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเป็นแค่ประมาณ 10% ดังนั้น ความหวังของผมในตอนสิ้นปี 2555 ก็คือ ดัชนีตลาดในปี 2556 จะไม่เป็นลบ แต่การณ์กลับเป็นว่า เพียง 3-4 เดือนของปี 2556 ตลาดก็ขึ้นไปแล้วเกือบ 20% ซึ่งทำให้ผมคิดว่า การ “ปรับตัว” น่าจะเกิดขึ้นได้เสมอ ก็ได้แต่หวังว่าผลตอบแทนเมื่อสิ้นปีนี้จะไม่เป็นลบ
เรื่องต่อมาก็คือ ผมได้ทำอะไรเมื่อหุ้นตกลงมาแรง? คำตอบก็คือ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ว่าที่จริงในทุกครั้งที่หุ้นตกแรงไม่ว่าจะในปีไหนหรือตกจากสาเหตุอะไร ผมไม่เคยที่จะขายหุ้น ผมคิดว่าในยามที่คนกำลัง “ขวัญผวา” และเทขายหุ้นเหมือนฟ้าจะถล่มนั้น หุ้นย่อมจะต้องตกเกินความเป็นจริง ดังนั้น ถ้าเราขายหุ้นในวันนั้น เราก็จะขายได้ต่ำกว่าความเป็นจริง ผมคิดว่าถ้าเราคิดว่าพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนจริง ๆ เราก็รอขายในอีก 2- 3 วันที่คนหายตื่นตระหนกจะดีกว่า ถ้าจะว่าไป ในทุกครั้งที่เกิด “แพนิค” หลังจากนั้นก็จะต้องมีการ “รีบาวด์” ให้เราขายได้เสมอ แต่ในกรณีที่พื้นฐานไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมก็ไม่ทำอะไร บางทีถ้าหุ้นตัวที่เราสนใจตกลงมามากจนคุ้มค่า ผมก็จะเข้าไปซื้อเท่าที่จะหาเงินมาได้
เรื่องที่สี่ก็คือ ในระดับดัชนีขณะนี้ มองไปข้างหน้าเราสามารถลงทุนระยะยาวโดยการเข้ามาซื้อหุ้นได้หรือไม่? นี่เป็นคำถามที่ตอบยาก ประเด็นก็คือ ในภาวะที่หุ้นร้อนแรงมาก (แม้ว่าจะปรับตัวลงมาบ้าง) ผมเองคิดว่าหุ้นที่มีราคาถูกมาก ๆ นั้นหาได้ค่อนข้างยากหรือไม่ก็เป็นหุ้นที่อาจจะถูกแต่ก็มีความเสี่ยงบางอย่างที่อาจจะสูงสำหรับผม ดังนั้น ถ้าผมยังไม่มีหุ้นอยู่เลยหรือมีหุ้นจำนวนน้อยและมีเงินสดเหลือมาก ผมก็คงจะ “รอ” หรือไม่ก็เลือกหุ้นบางตัวที่มีความปลอดภัยสูงและก็คงไม่เข้าไปลงทุนมากมายอะไรนัก ผมคิดว่ายังน่าจะมีเวลาที่หุ้นจะตกต่ำลงมากกว่านี้ หรือไม่เราก็อาจจะพบหุ้นบางตัวที่โดดเด่นขึ้นมาจนมีคุณค่าและเป็นหุ้นที่มี Margin of Safety สูงพอที่เราจะลงทุนได้อย่างสบายใจ จำไว้ว่าเราไม่มีแรงกดดันอะไรที่จะต้องตัดสินใจในสิ่งที่เราไม่แน่ใจ อย่าลืมว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น บ่อยครั้ง นั่งทับเงินสดเป็นพัน ๆ ล้านเหรียญ เป็นปี ๆ
คำถามสุดท้ายก็คือ ถ้าเรามีหุ้นอยู่เต็มพอร์ต เราควรทยอยขายออกไปไหมเพื่อ “ลดความเสี่ยง” เหนือสิ่งอื่นใด เราได้กำไรมามากแล้วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ควรไหมที่เราจะ “ล็อก” กำไรหรือเม็ดเงินไว้ รอดูให้ทุกอย่าง “คลี่คลาย” แล้วค่อยกลับมาลงทุนใหม่? สำหรับคำถามนี้ผมเองยอมรับว่าตอบไม่ได้เหมือนกัน จริงอยู่ ผมเองก็คิดว่าหุ้นในเวลานี้ไม่ถูกหรือบางทีอาจจะแพงด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราขายไปแล้วถือเงินสดหรือลงทุนในตราสารหนี้ก็ตาม ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำมากอาจจะเพียง 2-3% ในขณะที่การลงทุนในหุ้นนั้นอาจจะไม่ดี แต่พอร์ตเราก็ยังอาจจะพอไปได้ให้ผลตอบแทนอาจจะ 4-5% แม้ว่าดัชนีตลาดอาจจะติดลบ ในกรณีแบบนี้ การถือหุ้นไว้ก็ยังดีกว่า และเมื่อตลาดเริ่มฟื้นตัว พอร์ตของเราก็อาจจะเดินหน้าต่อไป ดังนั้น ดู ๆ แล้ว การที่จะขายหุ้นเพื่อถือเงินสดนั้น อาจจะไม่ให้ประโยชน์อะไรและอาจจะทำให้พลาดอย่างแรงกรณีที่หุ้นไม่ได้ปรับลดดังคาด และถ้าหากว่าหุ้นกลับขึ้นไปโดยที่เราไม่กล้ากลับเข้าไปในตลาดเร็วพอ ความเสียหายก็จะเพิ่มทวีคูณ ด้วยเหตุผลดังกล่าว ผมจึงมักจะ “อดทน” ถือหุ้นไว้แม้ในใจจะหวั่นว่าหุ้นอาจจะปรับตัวลงหนักได้ตลอดเวลา