พอดีเห็นตารางนี้ในเวป ธกส.
http://www.baac.or.th/content-report.php ดูแล้วตรงกับที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ คือ เกษตรกรส่วนใหญ่ที่เข้าโครงการรับจำนำข้าวเป็นเกษตรกรรายย่อย มีผลผลิตเหลือเข้าโครงการรับจำนำอยู่ในระดับเฉลี่ย 10 ตัน/ราย ( 14.2 ล้านตัน / 1.5 ล้านราย ) คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยต่อรายได้ราวๆ 1.5 แสนบาท/ราย ( 2.29 แสนล้าน / 1.5 ล้านราย ) เมื่อมีตัวเองที่ค่อนข้างแน่ชัดแบบนี้ ( เฉลี่ยในทุกช่วงก็ไม่ต่างกันจนมีนัยยะสำคัญ) จึงคิดว่ารัฐบาลควรมีมาตราการและเงื่อนไขในการดำเนินโครงการรับจำนำ ปรับปรุงเพิ่มเติมจากเดิมที่พยายามทำอยู่
โดยผมเสนอให้ทำการเปิดรับจำนำโดยกำหนดเงื่อนไขปริมาณและราคารับจำนำแบบผกผันกัน ซึ่งจำทำให้รัฐบาลยังคงนโยบายรับจำนำทุกเมล็ดและในราคา 15000 บาท/ตัน ตามที่เคยประกาศไว้ โดยมีรายละเอียด คือ
(เอาที่ข้าวขาวก่อนคำนวนง่ายดีที่ 1.5 หมื่น/ตัน ค่าเฉลี่ยจากกราฟรวมข้าวทุกประเภท)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 0 - 10 ตัน แรก รับจำนำในราคา 15000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 10 - 20ไร่)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 11 - 20 ตัน รับจำนำในราคา 14000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 15 - 40ไร่)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 21 - 50 ตัน รับจำนำในราคา 12000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 30 - 80ไร่)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 51 ขึ้นไป รับจำนำในราคา 10000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 60 -100ไร่ขึ้นไป)
(พื้นที่เพาะปลูกผมคิดคร่าวๆแล้วเห็นว่าเอาแบบกว้างๆดีกว่า เพราะปริมาณผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูกมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง)
กำหนดแบบนี้จะเป็นมุ่งช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ยากจนแบบตรงจุดมากกว่า อีกทั้งไม่ตัดสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรรายปานกลาง หรือแม้แต่เกษตรกรที่รวยมีพื้นที่เพาะปลูก ( การรวยกว่าหรือมีที่ดินมากกว่าไม่ควรเป็นเหตุให้ตัดสิทธิ์จากการเข้าร่วมโครงการของรัฐ)
เกษตรกรรายย่อยจะไม่ได้รับผลกระทบกับการกำหนดเงื่อนไขการรับจำนำแบบใหม่นี้เลย ส่วนรายขนาดกลางๆก็ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะ 10 ตันแรกก็ยังจำนำได้ 15000 อยู่ 10 ตันต่อมาก็ยังคงได้ในราคาที่สูงคือ 14000 บาท รึแม้หากยังผลิตข้าวได้มากกว่า 20 ตันส่วนที่เหลือก็ยังจำนำได้ในราคา 12000 บาท ซึ่งยังถือว่าเป็นราคาที่ไม่ขี้เหล่อะไรเลย ส่วนรายใหญ่ๆที่มีผลผลิตเกินกว่า 50 ตัน ก็อาจจะเสียส่วนต่างที่เคยได้ในรูปแบบเดิมไปค่อนค้างมาก แต่ก็เสียไปเฉพาะส่วนที่เกิน 50 ตันเท่านั้น
ผู้ที่คิดจะจำนำอะไรเพียงแค่คิดว่าต้องไปจำนำนั้นก็หมายความว่าท่านเป็นคนที่ขาดแคลน รึขัดสนเงินทองแล้วละ ...แต่เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 60 - 100 ไร่ขึ้นไป ผลิตข้าวได้มากกว่า 50 ตันขึ้นไปในฤดูการปลูกรอบเดียว ไม่น่าจะเรียกว่าขัดสนแล้วนะ
ข้าวส่วนที่เกินปริมาณในขั้นไหนใครคิดว่าราคาถูกไป ก็เอาข้าวส่วนนั้นเก็บไว้รอราคาตลาดเหมือนที่เคยทำกันมา ราคาไม่ขึ้นก็สีขายในพื้นที่ ราคาตลาดขึ้นเกิน 10000 เมื่อไหร่ก็คิดคำนวนเอาว่าจะเก็บไว้รึขายโรงสี เพราะถือว่ามันเป็นกำไรแล้ว จากที่เข้าโครงการได้แค่ 10000 บาท
การที่รัฐบาลจะเอาแนวคิดนี้มาปรับใช้ จะมีประโยชน์ต่อรัฐเองหลายอย่าง อาทิ
1. ใช้เม็ดเงินในโครงการลดลงอย่างน้อยๆ ก็น่าจะราว 10 - 20 % คิดเป็นเม็ดเงินนับหมื่นล้านอยู่ (โดยที่มีผลกระทบกับเกษตรกรส่วนใหญ่ และในกรณีที่ปริมาณข้าวเข้าร่วมโครงการเท่าเดิม)
2. รัฐบาลยังคงดำเนินโครงการตามที่ประกาศไว้ คือ รับจำนำทุกเมล็ด และในราคาเริ่มต้น 15000 บาท/ตัน น่าจะช่วยให้ลดความเสี่ยงในแง่การถูกโจมตีทางการเมืองได้มาก
3. ปริมาณข้าวที่รัฐรับจำนำจะลดลงอัตโนมัติไม่มากก็น้อย อาจลดลงจากกรณีเกษตรกรรายขนาดกลาง รายใหญ่ ไม่สนใจนำข้าวส่วนเกิน 50 ตันเข้าร่วมโครงการ หากลดลงก็จะช่วยให้รัฐไม่ต้องแบกรับภาระในการสต็อกและแปรสภาพ รวมถึงเม็ดเงินที่ใช้จำนำก็จะลดลงตาม
4.การสวมสิทธิ์จะทำได้ยุ่งยากมากขึ้น จากที่หากต้องทำเอกสารขึ้นทะเบียนให้เกษตรกรรายย่อยมีพื้นที่ปลูกเพียง 10 - 15 ไร่ ผลผลิตส่งเข้าจำนำได้แค่ 10 ตัน เดิมก็หาทางเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมาลงทะเบียนเพิ่มจากที่ปลูกจริง ( การให้ผู้นำชุมชนรับรองพื้นที่เพาะปลูกจากพื้นที่ๆไม่มีเอกสาร ไม่สามารถตรวจสอบได้แน่ชัดอย่าง ภบท.5 รึรับรองพื้นที่เพาะปลูกซ้ำซ้อนกับพื้นที่รกร้าง พื้นที่ปลูกพืชหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่ได้ปลูกข้าวจริง ) เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในการลงทะเบียนให้ได้อีกรายละ 50 - 200 ไร่ หวังว่าจะสวมสิทธิ์จำนวนเพิ่มได้รายละ 20 - 50 ตัน รับ 15000 บาทต่อตันเต็มๆ มันจะทำได้ยากและได้เงินส่วนต่างน้อยกว่าที่เคย หากอยากได้เงินมากเท่าเดิมต้องเพิ่มรายในการสวมสิทธิ์มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ ซึ่งจะทำให้เป็นการเปิดทางในการตรวจสอบการทุจริตทำได้ง่ายขึ้น
สรุป นี่เป็นแนวคิดส่วนตัวที่คิดว่าสามารถนำมาใช้ได้จริง เพียงแต่ในด้านปริมาณและราคาจำนำที่กำหนดตามขั้นต่างๆอาจต้องดูให้ละเอียดมากขึ้นหากนำมาใช้จริง หากใครมีข้อติติงรึเสนอแนะก็เชิญครับ หากมีข้อวิจารย์ที่สมเหตุสมผลว่าไม่มีประโยชน์หรือเป็นผลเสียผมจะได้แก้ไข เพราะผมส่ง mail ข้อคิดเห็นนี้ไปที่กระทรวงพาณิชย์ กับกระทรวงเกษตรด้วย จริงๆไม่มีอะไรหรอกแต่หากมันแย่จริงๆจะได้ส่ง mail ไปแก้ไข (อายเขา)
ปล. กระทู้นี้ไม่ได้ตั้งมาเพื่อหวังให้ใครโพสรูปเสียดสีกระแหนะกระแหน หรือกล่าวโทษบุคคล รัฐบาล หน่วยงานรับ รึแม้แต่พรรคการเมือง เพียงอยากให้ทั้งคนที่เชียร์ คนไม่ชอบโครงการ รวมถึงขั่วการเมืองต่างๆ มองข้ามการเอาชนะคะคานกันทางการเมือง ด้วยคำพูดรึอะไรก็แล้วแต่ แต่หันมาถกเถียงกันเพื่อหาทางออกและแก้ไขในสิ่งที่เราเห็นว่าควรปรับปรุง
เสนอแนวทางปรับปรุงโครงการรับจำนำข้าว แบบที่ไม่มีใครต้องเจ็บ
พอดีเห็นตารางนี้ในเวป ธกส. http://www.baac.or.th/content-report.php ดูแล้วตรงกับที่ตัวเองคาดการณ์ไว้ คือ เกษตรกรส่วนใหญ่ที่เข้าโครงการรับจำนำข้าวเป็นเกษตรกรรายย่อย มีผลผลิตเหลือเข้าโครงการรับจำนำอยู่ในระดับเฉลี่ย 10 ตัน/ราย ( 14.2 ล้านตัน / 1.5 ล้านราย ) คิดเป็นมูลค่าเฉลี่ยต่อรายได้ราวๆ 1.5 แสนบาท/ราย ( 2.29 แสนล้าน / 1.5 ล้านราย ) เมื่อมีตัวเองที่ค่อนข้างแน่ชัดแบบนี้ ( เฉลี่ยในทุกช่วงก็ไม่ต่างกันจนมีนัยยะสำคัญ) จึงคิดว่ารัฐบาลควรมีมาตราการและเงื่อนไขในการดำเนินโครงการรับจำนำ ปรับปรุงเพิ่มเติมจากเดิมที่พยายามทำอยู่
โดยผมเสนอให้ทำการเปิดรับจำนำโดยกำหนดเงื่อนไขปริมาณและราคารับจำนำแบบผกผันกัน ซึ่งจำทำให้รัฐบาลยังคงนโยบายรับจำนำทุกเมล็ดและในราคา 15000 บาท/ตัน ตามที่เคยประกาศไว้ โดยมีรายละเอียด คือ
(เอาที่ข้าวขาวก่อนคำนวนง่ายดีที่ 1.5 หมื่น/ตัน ค่าเฉลี่ยจากกราฟรวมข้าวทุกประเภท)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 0 - 10 ตัน แรก รับจำนำในราคา 15000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 10 - 20ไร่)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 11 - 20 ตัน รับจำนำในราคา 14000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 15 - 40ไร่)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 21 - 50 ตัน รับจำนำในราคา 12000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 30 - 80ไร่)
ปริมาณรับจำนวนต่อราย ตั้งแต่ตันที่ 51 ขึ้นไป รับจำนำในราคา 10000 บาท/ตัน (พื้นที่เพาะปลูกราว 60 -100ไร่ขึ้นไป)
(พื้นที่เพาะปลูกผมคิดคร่าวๆแล้วเห็นว่าเอาแบบกว้างๆดีกว่า เพราะปริมาณผลผลิตต่อพื้นที่เพาะปลูกมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง)
กำหนดแบบนี้จะเป็นมุ่งช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ยากจนแบบตรงจุดมากกว่า อีกทั้งไม่ตัดสิทธิ์การเข้าร่วมโครงการของเกษตรกรรายปานกลาง หรือแม้แต่เกษตรกรที่รวยมีพื้นที่เพาะปลูก ( การรวยกว่าหรือมีที่ดินมากกว่าไม่ควรเป็นเหตุให้ตัดสิทธิ์จากการเข้าร่วมโครงการของรัฐ)
เกษตรกรรายย่อยจะไม่ได้รับผลกระทบกับการกำหนดเงื่อนไขการรับจำนำแบบใหม่นี้เลย ส่วนรายขนาดกลางๆก็ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะ 10 ตันแรกก็ยังจำนำได้ 15000 อยู่ 10 ตันต่อมาก็ยังคงได้ในราคาที่สูงคือ 14000 บาท รึแม้หากยังผลิตข้าวได้มากกว่า 20 ตันส่วนที่เหลือก็ยังจำนำได้ในราคา 12000 บาท ซึ่งยังถือว่าเป็นราคาที่ไม่ขี้เหล่อะไรเลย ส่วนรายใหญ่ๆที่มีผลผลิตเกินกว่า 50 ตัน ก็อาจจะเสียส่วนต่างที่เคยได้ในรูปแบบเดิมไปค่อนค้างมาก แต่ก็เสียไปเฉพาะส่วนที่เกิน 50 ตันเท่านั้น
ผู้ที่คิดจะจำนำอะไรเพียงแค่คิดว่าต้องไปจำนำนั้นก็หมายความว่าท่านเป็นคนที่ขาดแคลน รึขัดสนเงินทองแล้วละ ...แต่เกษตรกรที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากกว่า 60 - 100 ไร่ขึ้นไป ผลิตข้าวได้มากกว่า 50 ตันขึ้นไปในฤดูการปลูกรอบเดียว ไม่น่าจะเรียกว่าขัดสนแล้วนะ
ข้าวส่วนที่เกินปริมาณในขั้นไหนใครคิดว่าราคาถูกไป ก็เอาข้าวส่วนนั้นเก็บไว้รอราคาตลาดเหมือนที่เคยทำกันมา ราคาไม่ขึ้นก็สีขายในพื้นที่ ราคาตลาดขึ้นเกิน 10000 เมื่อไหร่ก็คิดคำนวนเอาว่าจะเก็บไว้รึขายโรงสี เพราะถือว่ามันเป็นกำไรแล้ว จากที่เข้าโครงการได้แค่ 10000 บาท
การที่รัฐบาลจะเอาแนวคิดนี้มาปรับใช้ จะมีประโยชน์ต่อรัฐเองหลายอย่าง อาทิ
1. ใช้เม็ดเงินในโครงการลดลงอย่างน้อยๆ ก็น่าจะราว 10 - 20 % คิดเป็นเม็ดเงินนับหมื่นล้านอยู่ (โดยที่มีผลกระทบกับเกษตรกรส่วนใหญ่ และในกรณีที่ปริมาณข้าวเข้าร่วมโครงการเท่าเดิม)
2. รัฐบาลยังคงดำเนินโครงการตามที่ประกาศไว้ คือ รับจำนำทุกเมล็ด และในราคาเริ่มต้น 15000 บาท/ตัน น่าจะช่วยให้ลดความเสี่ยงในแง่การถูกโจมตีทางการเมืองได้มาก
3. ปริมาณข้าวที่รัฐรับจำนำจะลดลงอัตโนมัติไม่มากก็น้อย อาจลดลงจากกรณีเกษตรกรรายขนาดกลาง รายใหญ่ ไม่สนใจนำข้าวส่วนเกิน 50 ตันเข้าร่วมโครงการ หากลดลงก็จะช่วยให้รัฐไม่ต้องแบกรับภาระในการสต็อกและแปรสภาพ รวมถึงเม็ดเงินที่ใช้จำนำก็จะลดลงตาม
4.การสวมสิทธิ์จะทำได้ยุ่งยากมากขึ้น จากที่หากต้องทำเอกสารขึ้นทะเบียนให้เกษตรกรรายย่อยมีพื้นที่ปลูกเพียง 10 - 15 ไร่ ผลผลิตส่งเข้าจำนำได้แค่ 10 ตัน เดิมก็หาทางเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมาลงทะเบียนเพิ่มจากที่ปลูกจริง ( การให้ผู้นำชุมชนรับรองพื้นที่เพาะปลูกจากพื้นที่ๆไม่มีเอกสาร ไม่สามารถตรวจสอบได้แน่ชัดอย่าง ภบท.5 รึรับรองพื้นที่เพาะปลูกซ้ำซ้อนกับพื้นที่รกร้าง พื้นที่ปลูกพืชหรือทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ไม่ได้ปลูกข้าวจริง ) เพื่อเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกในการลงทะเบียนให้ได้อีกรายละ 50 - 200 ไร่ หวังว่าจะสวมสิทธิ์จำนวนเพิ่มได้รายละ 20 - 50 ตัน รับ 15000 บาทต่อตันเต็มๆ มันจะทำได้ยากและได้เงินส่วนต่างน้อยกว่าที่เคย หากอยากได้เงินมากเท่าเดิมต้องเพิ่มรายในการสวมสิทธิ์มากขึ้นกว่าเดิมเยอะ ซึ่งจะทำให้เป็นการเปิดทางในการตรวจสอบการทุจริตทำได้ง่ายขึ้น
สรุป นี่เป็นแนวคิดส่วนตัวที่คิดว่าสามารถนำมาใช้ได้จริง เพียงแต่ในด้านปริมาณและราคาจำนำที่กำหนดตามขั้นต่างๆอาจต้องดูให้ละเอียดมากขึ้นหากนำมาใช้จริง หากใครมีข้อติติงรึเสนอแนะก็เชิญครับ หากมีข้อวิจารย์ที่สมเหตุสมผลว่าไม่มีประโยชน์หรือเป็นผลเสียผมจะได้แก้ไข เพราะผมส่ง mail ข้อคิดเห็นนี้ไปที่กระทรวงพาณิชย์ กับกระทรวงเกษตรด้วย จริงๆไม่มีอะไรหรอกแต่หากมันแย่จริงๆจะได้ส่ง mail ไปแก้ไข (อายเขา)
ปล. กระทู้นี้ไม่ได้ตั้งมาเพื่อหวังให้ใครโพสรูปเสียดสีกระแหนะกระแหน หรือกล่าวโทษบุคคล รัฐบาล หน่วยงานรับ รึแม้แต่พรรคการเมือง เพียงอยากให้ทั้งคนที่เชียร์ คนไม่ชอบโครงการ รวมถึงขั่วการเมืองต่างๆ มองข้ามการเอาชนะคะคานกันทางการเมือง ด้วยคำพูดรึอะไรก็แล้วแต่ แต่หันมาถกเถียงกันเพื่อหาทางออกและแก้ไขในสิ่งที่เราเห็นว่าควรปรับปรุง