สวัสดีค่ะ...พี่ป้าน้าอาชาวสวนลุมทุกๆ คน นะคะ กระทู้นี้เขียนขึ้นเพื่อ
แชร์ประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยมะเร็งของที่บ้านนะคะ เผื่อไว้เป็นแนวทางสำหรับใครหลายๆ คน บางเรื่องอาจจะเป็นวิธีที่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก อย่าได้กล่าวหาว่าโฆษณาชวนเชื่ออะไรเลยนะคะ เขียนขึ้นด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ (อย่าเพิ่งโจมตีน้าาา เห็นช่วงนี้มีกระทู้เครียดๆ เรื่องดีท็อกซ์อยู่ >"<)
เริ่มแรกขอเกริ่นถึงที่มาที่ไป...ก่อน
ย้อนไปช่วงเดือนตุลาปีที่แล้ว คุณย่าเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากลื่นล้มในห้องน้ำ(ระวังกันด้วยนะคะ ผู้สูงอายุมักเป็นกัน) แล้วได้นอนโรงพยาบาล พร้อมกับตรวจพบมะเร็งปากมดลูกที่กลับมาเป็นอีกครั้ง คุณพ่อของบิ๊วก็เลยเดินทางจากสุรินทร์ไปลพบุรีอยู่บ่อยๆ ช่วงนั้นถือว่าพักผ่อนน้อยมากๆๆ เลยค่ะ ...บิ๊วเจอพ่อแต่ละครั้งก็รู้สึกนะคะว่าพ่อโทรมไปมาก ตอนนั้นน้ำหนักตัวของพ่อเริ่มลดลง ...พ่อเริ่มผอม เริ่มซูบ เริ่มหลงๆ ลืมๆ แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรค่ะ(เอาเข้าจริงๆ พอมองย้อนกลับไป คุณพ่อชอบหลงลืมไปว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร มานานแล้ว 2-3 ปี แต่บิ๊วกลับคิดว่าพ่อแค่ไม่มีสติ เท่านั้น ไม่ได้เอะใจอะไร )
จนเข้าเดือนพฤษจิกายน แม่สังเกตว่าพ่อเริ่มมีอาการ
จำทางกลับบ้านไ่ม่ได้ บางทีขับรถไปลพบุรีก็ต้องพักบ่อยๆ เริ่ม
พูดประโยคยาวๆ ไม่ได้ เขียนหนังสือก็เขียนไม่ออก... จึงได้พาพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณหมอสัณนิฐาน(เขียนถูกไหมหนอ...?) ว่า น่าจะเป็นมะเร็งแน่ๆ จึงได้จัดเต็ม ทำการ x-ray , MRI ,CT จนไปเจอเข้าที่สมอง พบ 3 ก้อน มีก้อนนึงพบที่ซีรีบลัม [แม่เคยให้อ่านชาร์ตให้น่ะค่ะ] คุณหมอก็สงสัยค่ะ...ว่า เออ! ส่วนใหญ่สมองนี่มักจะมาจากที่อื่นนะ
ก็เลยหากันไปหลายที จนไปเจอที่ปอด หมอกับแม่จึงปรึกษากันว่า จะส่งตัวพ่อให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬา(เผอิญมีหมอที่รพ.สุรินทร์ไปเรียนต่อที่นั่นพอดี)
ช่วงเดือนนั้นนะ โทรหาแม่ทีไร แม่ก็ชอบพูดย้ำๆ เสมอว่า ลูกกลับบ้านวันไหน มาบ้านบ่อยๆ นะ ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบาย อาการไม่ค่อยจะดี .. เราฟัง เราก็รู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่คิดอะไร สงสัยพ่อทำงานหนักเลยป่วยมั้ง ... ก็โทรไปหาพ่อบ้าง ถามว่าเป็นไงบ้าง ตอนนั้นเสียงพ่อแหบๆ เราก็ชักใจไม่ดีล่ะ T^T ... หลอกถามอาการพ่อจากแม่ ถามไปถามมา เลยถามแม่ไปตรงๆ ว่า
พ่อเป็นมะเร็งใช่มั้ย ? จบค่ะ! พอถามอย่างนี้ แม่ร้องไห้เลย แม่คงแบกภาระมา แบกความรู้สึกนี้คนเดียวมานานสองเดือนเต็มๆ แม่ก็เล่าให้ฟังว่า ลูกรู้มั้ย ตอนที่ออกมาจากห้องตรวจน่ะ พ่อหน้าซีดๆ เหมือนจะรู้นะว่าตัวเองเป็นอะไร แต่อยากได้ยินจากปากแม่ แม่ก็ตอบพ่อไปว่า
แม่จะไม่ปิดบังอะไรพ่อนะ พ่อเป็นมะเร็ง ... มันเริ่มจากที่ปอด แล้วลามไปที่สมองแล้ว แม่กับหมอปรึกษากันว่าจะพาพ่อไปรักษาที่จุฬา พ่อก็ตอบกลับไปว่า อืม พ่อกะไว้แล้วล่ะ พ่อไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้อยู่จนลูกเรียนจบ ...
พอไปถึงจุฬา ก็ได้ทำการตรวจอีกครั้ง แล้วก็วางแผนการรักษา และแม่ก็ได้ถาม เหมือนคำถามที่คนทั่วไปมักตั้งคำถามคือ "จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ? " ....คุณหมอก็บอกว่า " อย่างเก่ง 6 เดือน" (คุญหมอคุยดีกว่านี้นะคะ อันนี้เป็นการสรุปรวบยอดเฉยๆ )
แรกๆ เราไม่รู้จะปลอบแม่ยังไง ได้แต่รับฟัง ..เพราะคิดว่า แม่เองคงต้องการที่ระบายมากที่สุด เพราะแม่จะไปแสดงความอ่อนแอให้พ่อเห็นก็ไม่ได้ ....เราได้บอกกับแม่กับพ่อไปว่า อย่าให้หมอมาเป็นคนตัดสินเลยว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ทุกอย่างมันขึ้นกับจิตใจเรา ถ้าเราสู้ เราก็ชนะมันได้นะ .... ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตอนนั้นท่านทั้งสองจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม
ไม่รู้จะมีใครเป็นเหมือนเรามั้ยนะ ช่วงนั้นน่ะ ไม่อยากกลับบ้านมากๆ กลัว...กลัวว่ากลับไปแล้วจะไปร้องไห้ต่อหน้าพ่อกับแม่ กลัวว่าถ้าเราร้องไห้ พ่อจะยิ่งคิดมาก แต่สุดท้ายเราก็กลับ... ยังจำภาพแรกที่เห็นพ่อได้เลย
พ่อเรานี่ผมร่วงหมดเลย ตัวผอมๆแห้งๆ หน้าซีดๆ เราเห็น เราก็ใจหายสิ น้ำตาจะไหล ...ใจหายมาก ทำไมพ่อเราเป็นถึงขนาดนี้ รีบเข้าไปกอดพ่อเลย ไม่เจอกันแค่สองอาทิตย์ แต่กลับรู้สึกว่า จากกันมานานแสนนาน... แต่เราไม่ร้องไห้ให้พ่อเห็นหรอกนะ เพราะเราเชื่อว่าเราคือกำลังใจของพ่อกับแม่ เราจึงทำเป็นเข้มแข็งไว้ บิ๊วก็บอกพ่อไปว่า ไม่เป็นไรนะพ่อ เราสู้ด้วยกัน เดี๋ยวพ่อก็หาย
ใช้ธรรมะเข้าช่วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ มีแต่คนถามบิ๊ว ว่าบิ๊วไม่ร้องไห้บ้างหรอ? ช่วงนั้นน่ะ ร้องไห้บ่อยจริงๆ แบบจู่ๆ ก็ร้องออกมา ร้องเลยล่ะ ว่าพ่อ พ่อจ๋า พ่ออย่าเพิ่งไปไหนนะ อยู่กับหนูนานๆ มีครั้งนึงแม่มาขอให้อ่านชาร์จ อ่านพวกเอกสารทางการแพทย์ที่เวลาส่งตัวหรือหมอตรวจให้แม่ฟัง ตอนนั้นน่ะ อ่านไม่ได้เลย บอกแม่ว่า เดี๋ยวคืนนี้ขออ่านก่อนนะ แล้วยังไงจะเขียนสรุปให้ ... บิ๊วอ่านไปน้ำตาไหลไป อะไรหนอ ทำให้พ่อเป็นแบบนี้ พ่อคงปวด คงเจ็บมากนะ สงสารพ่อมาก แย่มากๆ เลยค่ะช่วงนั้น ทั้งแม่ทั้งลูก ต่างปั้นหน้ายิ้มเข้าหากัน ...
ช่วงนั้นทั้งแม่ทั้งลูก (ยกเว้นพ่อค่ะ..พ่อปลงได้แล้ว) ต่างพากันจิตตก แม่มักจะโทรมาระบายให้ฟังเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้จะหาทางออกที่ไหน ก็ร้องไห้ แต่สุดท้ายคิดได้ ว่าเสียใจไป ไม่ช่วยอะไรเลยจริงๆ ...เหมือนสัญญาเก่ากลับมา เราก็คิดได้ว่า ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ต่อจากนี้จะทำยังไง ถ้าพ่อเกิดเป็นอะไรไปให้พ่อจากไปอย่างสบายที่สุด ไม่ทรมาน ไม่เจ็บปวด ... พอคิดได้อย่างนี้ เหมือนเรายกภูเขาออกจากอกนะคะ เหมือนสบายใจขึ้นมาก บอกกับตัวเองว่า จะดูแลพ่อให้ดีที่สุด แล้วก็ในเมื่อไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย(เรียนก็ยังไม่จบ เงินก็ยังไม่มี กลับไปดุแลก็ไม่ได้ ...) ขออาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแล้วกัน คือให้ธรรมะกับพ่อค่ะ (รวมถึงแม่ด้วย...)
คุณพ่อนี่จะบอกว่าสนใจธรรมมะก็ไม่เชิงนะคะ แบบว่า ถ้าให้ส่งลูกไปปฏิบัติธรรมน่ะได้ แต่ถ้าให้พ่ออยู่ปฏิบัติด้วยน่ะ อย่าหวังงง ! ให้สวดมนต์ก็ไม่เอาาาาาา ....ประมาณนี้ค่ะ แต่คุณพ่อทราบนะคะ ว่าพระรูปในมีคำสอนแบบไหน บิ๊วเสนอให้คุณพ่อสวดมนต์ค่ะ แรกๆ กว่าจะยอมนั่งสวดให้นี่ต้องบังคับเลย วันไหนพ่อไม่ยอมสวด แม่ก็จะโทรมาฟ้อง 5555 ... จริงๆแล้วนะ ที่บ้านคุณแม่สวดมนต์อยู่ทุกวันเป็นทุนเดิมอยู่แล้วค่ะ เลยออกอุบายให้คุณแม่สวดให้คุณพ่อฟังก่อนนอนทุกวัน ผ่านไปซักเดือนนึงก่อนนอนก็จะเปิดธรรมเทศนาของพระอาจารย์หลายๆ รูป ให้ฟังก่อนนอน ...ตอนนั้นน่ะคิดว่า น้ำหยดลงหินทุกวันมันยังกร่อนเลย เอาน่า...ยังไงพ่อก็ต้องยอมแน่ๆ จนตอนนี้สวดเองแล้ว
ไม่รู้ว่าในที่นี้มีใครเชื่อเรื่องกรรมเวรไหมคะ ? ... สำหรับบิ๊ว บิ๊วเชื่อนะคะ เพราะว่า ก่อนหน้านี้คุณพ่อน่ะว่าฆ่าหนู พ่อก็จะเอากาวดัก แล้วเอามันไปทุบหัวหลังบ้าน บิ๊วก็ห้ามพ่อตลอดแต่ไม่เคยฟัง จนต้องมาเป็นมะเร็งที่สมองเนี่ย.... แต่ด้วยความที่ว่าพ่อน่ะเป็นคนจริงใจกับทุก ๆคน ใครเดือดร้อนอะไร ไม่ว่าจะเรื่องไหนพ่อก็จะยื่นมือเข้าไปช่วยตลอด ทำให้ตั้งแต่พ่อเป็นมะเร็งมามีแต่คนช่วยดูแลพ่ออยู่เสมอ ครอบครัวของเราก็รู้สึกดี มีกำลังใจมากขึ้นเลยค่ะ
การดูแลตัวเองที่คุณพ่อใช้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ การรักษาร่างกายของคุณพ่อ ก็คือ ครั้งแรกก็ให้ฉายรังสีก่อนค่ะ ต่อมาก็ให้คีโม อันนี้ไม่ขอลงรายละเอียดมากนะคะ แต่อยากจะแชร์ตรงส่วนของการดูแลสุขภาพที่ให้กับคุณพ่อนะคะ
มีคุณน้าที่เป็นเพื่อนกับคุณแม่ชื่อว่าน้าสาย พอทราบข่าวว่าคุณพ่อป่วย ก็ได้ขอแม่ว่าขอบอก อาปลวกได้มั้ย(จริงๆ แล้ว คุณพ่อคุณแม่ น้าสาย อาปลวก รู้จักกันอยู่แล้วค่ะ) พออาปลวกทราบข่าว ก็ได้ขน..ขอย้ำว่า ขนจริงๆ ค่ะ(ฮา..) ทั้งซีดี หนังสือ เกี่ยวกับการดูแลตนเองตามหลักของแพทย์ทางเลือกแพทย์วิถีธรรม มาแนะนำคุณแม่และให้คุณแม่ลองศึกษาดู ช่วงนั้น อาปลวกกับน้ามด ก็เทียวไปเทียวมา เอาน้ำคลอโรฟิล(น้ำสมุนไพร:ย่านาง ใบเตย เบญจรงค์ ) มาให้คุณพ่อดื่ม อาการไข้หรือาการต่างๆ จากคีโมก็ลดลง สำหรับวิธีทำจะอธิบายอีกทีภายหลังนะคะ
เห็นคุณแม่เล่าให้ฟังว่า เวลาที่พาพ่อไปเข้าคอร์ส(เปลี่ยนการใช้คำค่ะ ถ้าพูดว่าให้คีโม เหมือนกับเป็นการตอกย้ำเนาะ ว่าฉันป่วย) แม่จะให้พ่อกินน้ำย่านางมากๆ (ใช้แบบสกัดเย็นเพราะมันสำเร็จรุปแล้ว ไปเมืองหลวงจะหอบเครื่องมือไปทำก็ลำบาก) เพราะหลังจากเข้าคอร์สเสร็จ อาการเบิร์นต่างๆ ก็จะตามมาอีกหลายแสน คุณพ่อก็รู้สึกสบายตัว รู้สึกสบาย ไม่ทรมาน
มีอยู่ช่วงนึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่แหละค่ะ ช่วงนั้นคุณพ่อแข็งแรงกว่าแต่ก่อนมากๆ คุณพ่ออยากเที่ยวค่ะทีนี้ (อาการหลงๆ ลืมๆ พูดประโยคยาวๆ ไม่ได้ ...หายหมดแล้วค่ะ ) เลยพาไปห้าง ไปโน่นนี่นั่น แต่ก็ให้ใส่แมสอยู่นะ ... แต่ด้วยความที่ซ่ามาก ไปเที่ยวบ่อยๆ ก็ชักมีอาการเบื่ออาหาร อ่อนเพลีย แม่เลยจับเข้าไปนอนโรงพยาบาลซะเลย ...แม่บอกว่าสะดวกดี เพราะแม่เป็นพยาบาลอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่แล้วน่ะค่ะ แต่จริงๆ แล้ว นอนโรงพยาบาล เวลาพ่อเป็นอะไรจะได้มีคนช่วยดู น้าๆ เขาก็ยุ่งกัน อาจจะมาดุแลให้ได้ไม่เต็มที่
คุณพ่อนอนโรงพยาบาลเกือบเดือนเลยค่ะ พ่อก็บ่นว่า เมื่อไหร่จะได้ไปเข้าคอร์สอีก ...บิิ๊วก็เลยบอกไปว่า ก็เลือดไม่ผ่านจริงๆ นี่นา พ่อก็กินเยอะๆ สิ ก็พูดย้ำๆ อย่างนี้บ่อยๆ ไม่ได้พูดแบบจริงจังนะคะ เพราะจะทำให้เครียด ต้องพูดแบบทีเล่นทีจริงอ้อนๆ หน่อย คนเป็นลูกยังไงพ่อแม่ก็ยอมอยู่ละ ^.^ .... อยากกินอะไรก็รีบวิ่งแจ้นไปหามาให้ เพราะร่างกายต้องการสารอาหารไปสู้กับโรค มีคนเขาเอาแบรนด์เอารังนกมาฝาก เอาวีต้าพรุนพลัส(สงสัยอยากให้พ่อหุ่นดีเหมือนดารา - -") ...ก็แซวๆ พ่อเนาะว่า พ่อไม่กินหน่อยหรอ เสียดายตังคนซื้อมาให้ กินๆ หน่อยเนาะ ไม่กินหนูกินเด้อ ~*
ค่ะ ! บิ๊วใช้วิธีนี้กับพ่อตลอด ทางแม่จะเป็นฝ่ายบังคับ แต่คิดว่า การทำให้ผู้ป่วยไม่อยู่ในภาวะเครียด / จิตตก นี่เป็นสิ่งสำคัญเลย ถ้าเราไปบังคับเขา เขาก็คงจะไม่เอา ...นอกจากนี้ ที่โรงพยาบาลจะมีอาหารเหลวเป็นอาหารเสริมให้ คุณแม่ก็ไปขอเรียนรู้จากฝ่ายโภชนาการ เขาก็สอนให้นะคะ แล้วก็เอามาปรับสูตรเอา
เกือบเดือนที่นอนโรงพยาบาล พอออกมาคราวนี้แม่ห้ามค่ะ อย่าคิดไปแว้นที่ไหนเชียว 5555 ... คุณพ่อเริ่มมีแรงออกกำลังกาย ก็ออกกำลังกายเช่น เดินวันละสิบนาที เอาเท่าที่จะไหวนะคะ วิดพื้น(พ่อชอบมาก ไม่รู้ทำไม ? ) ซิดอัพ ... ก็ไม่อยากห้ามเนาะ ก็บอกเสมอนะว่า ไม่ไหวก็หยุด อย่าหักโหม จนตอนนี้ วิดพื้นได้วันละ 20 ครั้ง เดินเร็วได้ 20 นาที เก่งกว่าหนูอีกงะ ...เง้ออออออ
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของท้องผูก...บิ๊วไม่แน่ใจว่าเป็นผลของมะเร็งหรือคืโมกันแน่ คุณพ่อไม่ถ่ายเลย คุณแม่เลยตัดสินใจให้ทำดีท็อกซ์ด้วยการสวนทวารค่ะ แต่ต้องระวังเรื่องความสะอาดมากๆ เลยนะคะ ครั้งแรกที่ทำนี่ กลิ่นเหม็นไปทั่วบ้านเลย กลิ่นเหมือนอะไรเน่า อะไรตาย เห็นพ่อบอกว่า ก้อนมันแข็งมาก ช่วงนี้...ก็ทำเช้า-เย็น จนกระทั่งกลิ่นหาย และอุจจาระเริ่มเป็นปกติ
เดี๋ยวมาต่อเรื่องอาหารเหลว+น้ำสมุนไพร+ดีท็อกซ์นะคะ ข้อความเต็มแล้วว
คำอธิบายแท็กค่ะ
โภชนาการ: เพราะมีเรื่องอาหารเหลวสำหรับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร
[แชร์ประสบการณ์] เมื่อคุณพ่อ...ป่วยเป็นมะเร็ง
เริ่มแรกขอเกริ่นถึงที่มาที่ไป...ก่อน
ย้อนไปช่วงเดือนตุลาปีที่แล้ว คุณย่าเข้าโรงพยาบาล เนื่องจากลื่นล้มในห้องน้ำ(ระวังกันด้วยนะคะ ผู้สูงอายุมักเป็นกัน) แล้วได้นอนโรงพยาบาล พร้อมกับตรวจพบมะเร็งปากมดลูกที่กลับมาเป็นอีกครั้ง คุณพ่อของบิ๊วก็เลยเดินทางจากสุรินทร์ไปลพบุรีอยู่บ่อยๆ ช่วงนั้นถือว่าพักผ่อนน้อยมากๆๆ เลยค่ะ ...บิ๊วเจอพ่อแต่ละครั้งก็รู้สึกนะคะว่าพ่อโทรมไปมาก ตอนนั้นน้ำหนักตัวของพ่อเริ่มลดลง ...พ่อเริ่มผอม เริ่มซูบ เริ่มหลงๆ ลืมๆ แต่เราก็ไม่ได้เอะใจอะไรค่ะ(เอาเข้าจริงๆ พอมองย้อนกลับไป คุณพ่อชอบหลงลืมไปว่าตัวเองกำลังจะทำอะไร มานานแล้ว 2-3 ปี แต่บิ๊วกลับคิดว่าพ่อแค่ไม่มีสติ เท่านั้น ไม่ได้เอะใจอะไร )
จนเข้าเดือนพฤษจิกายน แม่สังเกตว่าพ่อเริ่มมีอาการจำทางกลับบ้านไ่ม่ได้ บางทีขับรถไปลพบุรีก็ต้องพักบ่อยๆ เริ่มพูดประโยคยาวๆ ไม่ได้ เขียนหนังสือก็เขียนไม่ออก... จึงได้พาพ่อไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณหมอสัณนิฐาน(เขียนถูกไหมหนอ...?) ว่า น่าจะเป็นมะเร็งแน่ๆ จึงได้จัดเต็ม ทำการ x-ray , MRI ,CT จนไปเจอเข้าที่สมอง พบ 3 ก้อน มีก้อนนึงพบที่ซีรีบลัม [แม่เคยให้อ่านชาร์ตให้น่ะค่ะ] คุณหมอก็สงสัยค่ะ...ว่า เออ! ส่วนใหญ่สมองนี่มักจะมาจากที่อื่นนะ ก็เลยหากันไปหลายที จนไปเจอที่ปอด หมอกับแม่จึงปรึกษากันว่า จะส่งตัวพ่อให้ไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬา(เผอิญมีหมอที่รพ.สุรินทร์ไปเรียนต่อที่นั่นพอดี)
ช่วงเดือนนั้นนะ โทรหาแม่ทีไร แม่ก็ชอบพูดย้ำๆ เสมอว่า ลูกกลับบ้านวันไหน มาบ้านบ่อยๆ นะ ช่วงนี้พ่อไม่ค่อยสบาย อาการไม่ค่อยจะดี .. เราฟัง เราก็รู้สึกแปลกๆ แต่ยังไม่คิดอะไร สงสัยพ่อทำงานหนักเลยป่วยมั้ง ... ก็โทรไปหาพ่อบ้าง ถามว่าเป็นไงบ้าง ตอนนั้นเสียงพ่อแหบๆ เราก็ชักใจไม่ดีล่ะ T^T ... หลอกถามอาการพ่อจากแม่ ถามไปถามมา เลยถามแม่ไปตรงๆ ว่า พ่อเป็นมะเร็งใช่มั้ย ? จบค่ะ! พอถามอย่างนี้ แม่ร้องไห้เลย แม่คงแบกภาระมา แบกความรู้สึกนี้คนเดียวมานานสองเดือนเต็มๆ แม่ก็เล่าให้ฟังว่า ลูกรู้มั้ย ตอนที่ออกมาจากห้องตรวจน่ะ พ่อหน้าซีดๆ เหมือนจะรู้นะว่าตัวเองเป็นอะไร แต่อยากได้ยินจากปากแม่ แม่ก็ตอบพ่อไปว่า แม่จะไม่ปิดบังอะไรพ่อนะ พ่อเป็นมะเร็ง ... มันเริ่มจากที่ปอด แล้วลามไปที่สมองแล้ว แม่กับหมอปรึกษากันว่าจะพาพ่อไปรักษาที่จุฬา พ่อก็ตอบกลับไปว่า อืม พ่อกะไว้แล้วล่ะ พ่อไม่ขออะไรมาก ขอแค่ได้อยู่จนลูกเรียนจบ ...
พอไปถึงจุฬา ก็ได้ทำการตรวจอีกครั้ง แล้วก็วางแผนการรักษา และแม่ก็ได้ถาม เหมือนคำถามที่คนทั่วไปมักตั้งคำถามคือ "จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ? " ....คุณหมอก็บอกว่า " อย่างเก่ง 6 เดือน" (คุญหมอคุยดีกว่านี้นะคะ อันนี้เป็นการสรุปรวบยอดเฉยๆ )
แรกๆ เราไม่รู้จะปลอบแม่ยังไง ได้แต่รับฟัง ..เพราะคิดว่า แม่เองคงต้องการที่ระบายมากที่สุด เพราะแม่จะไปแสดงความอ่อนแอให้พ่อเห็นก็ไม่ได้ ....เราได้บอกกับแม่กับพ่อไปว่า อย่าให้หมอมาเป็นคนตัดสินเลยว่าจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน ทุกอย่างมันขึ้นกับจิตใจเรา ถ้าเราสู้ เราก็ชนะมันได้นะ .... ไม่รู้เหมือนกันนะว่าตอนนั้นท่านทั้งสองจะเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไหม
ไม่รู้จะมีใครเป็นเหมือนเรามั้ยนะ ช่วงนั้นน่ะ ไม่อยากกลับบ้านมากๆ กลัว...กลัวว่ากลับไปแล้วจะไปร้องไห้ต่อหน้าพ่อกับแม่ กลัวว่าถ้าเราร้องไห้ พ่อจะยิ่งคิดมาก แต่สุดท้ายเราก็กลับ... ยังจำภาพแรกที่เห็นพ่อได้เลย
พ่อเรานี่ผมร่วงหมดเลย ตัวผอมๆแห้งๆ หน้าซีดๆ เราเห็น เราก็ใจหายสิ น้ำตาจะไหล ...ใจหายมาก ทำไมพ่อเราเป็นถึงขนาดนี้ รีบเข้าไปกอดพ่อเลย ไม่เจอกันแค่สองอาทิตย์ แต่กลับรู้สึกว่า จากกันมานานแสนนาน... แต่เราไม่ร้องไห้ให้พ่อเห็นหรอกนะ เพราะเราเชื่อว่าเราคือกำลังใจของพ่อกับแม่ เราจึงทำเป็นเข้มแข็งไว้ บิ๊วก็บอกพ่อไปว่า ไม่เป็นไรนะพ่อ เราสู้ด้วยกัน เดี๋ยวพ่อก็หาย
ใช้ธรรมะเข้าช่วย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การดูแลตัวเองที่คุณพ่อใช้ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เดี๋ยวมาต่อเรื่องอาหารเหลว+น้ำสมุนไพร+ดีท็อกซ์นะคะ ข้อความเต็มแล้วว
คำอธิบายแท็กค่ะ
โภชนาการ: เพราะมีเรื่องอาหารเหลวสำหรับผู้ป่วยที่เบื่ออาหาร