บทที่ 1
กิน เมา อ้วก สามคำนี้คือนิยามของ แอดดริก เอเวอเดล แห่งเลขที่ 15 เวโอล่าวิลล์ นี่คือตัวอย่างที่ไม่ดีของเยาวชนอย่างเห็นได้ชัด
แอดดริก เอเวอเดล คือผู้ชายวัยกลางคนที่มีเหล้าเป็นเพื่อน มีอาการเมาเป็นกิจวัตร และมีอาเจียนเป็นผลพวงแถมท้ายมาเหมือนพ่อม่ายลูกติด ซึ่งอันที่จริง แอดดริกมีลูกชายคนหนึ่งทั้งๆที่เขายังโสด เพราะเรื่องจริงแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีผู้หญิงคนไหนในโลกมั้ยที่คิดจะคบอย่างจริงจังกับเขา คนที่มีเหล้าเปรียบดั่งญาติมิตร
นอกจากนั้นเพื่อนบ้านยังจดจำรูปลักษณ์ของเขาได้ดี เขามี ผมสีน้ำตาลเข้ม ร่างสูงใหญ่ไม่ถึงกับท้วม ด้วยความสูงราวๆ 6 ฟุตครึ่ง ทำให้เขาดูน่าเกรงขามแบบไม่ต้องใช้ความพยายาม ใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรเครียดๆอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากสุงสิงกับเขาเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ใช่พวกช่างพูดอยู่แล้ว เรื่องเพื่อนบ้านไม่คุยด้วยเนี่ย สบายมาก
ถึงอย่างนั้นลูกเลี้ยงของเอดดริกนั้นไม่นับว่าโชคดีหรือโชคร้ายอะไรมากนักที่ได้พ่อเลี้ยงอย่างเขา ซึ่งถึงแม้จะเมาทุกวัน เพื่อนบ้านไม่คบ แต่เขาก็ทำหน้าที่ผู้ปกครองได้อย่างดีเยี่ยม
“ไง เอ็ด”
และนี่คือคำทักทายจากเจ้าลูกชายคนสนิท ที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย เจ้าลูกชายสะบัดปอยผมเล็กๆสีน้ำตาลที่ลงมาปรกใบหน้าออกแล้วจ้องมองผู้เป็นพ่อด้วยอาการไร้สีหน้า
“ไงล่ะแก” เอดดริกตอบกลับ ในมือถือวัชพืชที่เพิ่งถอนออกมาจากดินเป็นพรวน “กลับบ้านเร็ว แปลกนะแกนี่”
“เอ็ดนั่นแหล่ะแปลก...ช้าก็บ่นเร็วก็บ่น” เจ้าลูกชายทำจมูกย่น ถอนหายใจเซ็ง “แปลกอีกอย่าง วันนี้มีอารมณ์ทำสวน นึกว่าจะอยู่ร้านเฟรดซะอีก”
ร้านเฟรดที่ว่าคือร้านเหล้าใจกลางตลาดเบเวอรี่ มันเป็นร้านที่รวมเอาไม้เก่า มีโซฟาพังๆหลายตัวกับป้ายร้านผุๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหนูกับปลวกอาศัยอยู่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง ราและกลิ่นอับชื้นโชยอยู่ให้ทั่ว ยังไม่นับรวมกลิ่นเหล้าและบุหรี่ ซึ่งร้านนี้เป็นแหล่งรวมมะเร็งอันดับต้นๆของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้
“ก็วันนี้วันเกิดแก ฉันก็เลยมาปลูกดอกกุหลาบที่แกชอบไงละ” เอ็ดพูดพลางเริ่มต้นเอาเสียมคุ้ยดิน “กุหลาบสีแดง ทีนี้แกก็จะได้ไม่ต้องซื้อ เด็ดเอาจากต้นนี่แหล่ะ ไงล่ะ ประหยัด!! เหอะๆๆ” เอ็ดหัวเราะจนตัวโยกไปมา
ลูกชายได้แต่นิ่ง มองพ่อเลี้ยงของเขาเอาตอ ที่มีใบไม้สีเขียวประดับอยู่หน่อยฝังลงไปในดิน และตั้งหน้าตั้งตาเอาดินกลบ มองดูเป็นการปลูกต้นไม้แบบลวกๆชนิดที่ว่าไม่รู้วันพรุ่งนี้มันจะโตหรือจะตายก็ไม่แน่ใจ
“เสร็จ!! รดน้ำใส่ปุ๋ยดีๆด้วยล่ะแก” เอ็ดลุกขึ้นยืน เขาใช้เวลาปลูกต้นไม้ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ จากนั้นก็เอามือที่เปื้อนดินตบบ่าลูกชาย แล้วยื่นเสียมให้ “สุขสันต์วันเกิด ไอ้ลูกชาย!!”
เจ้าลูกชายยังคงได้แต่มองนิ่งก่อนจะเอ่ย
“ขอบคุณครับ”
ถึงแม้นำเสียงขอบคุณจะนิ่งๆ แต่เอดดริกก็รู้ว่าเป็นคำขอบคุณที่จริงใจ
เอดดริกรู้ ว่าเจ้าลูกชายคนนี้มันแปลก
แปลกบางทีก็เงียบ แปลกบางทีก็ขี้เล่น แปลกบางทีก็ดูฉลาดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แปลกตั้งแต่วันที่เขาได้รับเจ้าลูกชายคนนี้มาเลี้ยง
เขามองลูกชายเดินสะพายเป้พาร่างสูงหายลับเข้าไปในบ้าน ผมสีน้ำตาลสั้นยังคงดูยุ่งเหยิง ดวงตาสีเทาประกายฟ้าหันกลับมามองด้วยแววตาง่วงนอน ก่อนจะปิดประตู นี่ก็สิบสามปีแล้วสินะตั้งแต่ที่เขารับคำมั่นว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดี จะรับเจ้าลูกชายคนนี้มาเลี้ยงเสมือนลูกของตัวเอง
และเอดดริกรู้...
ว่าเขาไม่เคยผิดสัญญา
เมื่อหน้าร้อนสิบสามปีที่แล้ว วันที่แอดดริกจำได้ดีว่าวันนั้นอากาศร้อนจนเขารู้สึกปวดหัว เขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนซึ่งเคยสนิทแต่ไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว ถ้าให้นับจริงๆ ก็คงราวๆเกือบสิบห้าปี ครั้งแรกที่โทรมา เขาต้องใช้เวลานึกและเถียงอยู่นานว่า “คุณโทรผิดหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้จักคุณ ” จนเกือบห้านาที ถึงจะจำได้ว่าเสียงปลายสายคือ เอดมอนด์ เบลล์ เพื่อนสมัยทำงานเป็นวิศวะกรของเขาเอง
เนื้อหาใจความในโทรศัพท์นั้น แอดดริกฟังแทบไม่รู้เรื่อง เพื่อนของเขาเอาแต่พูดถึงบั้นปลายชีวิต ดวงไม่ดีบ้าง หรือแม้แต่มีคนพยายามฆ่า ซึ่งแอดดริกเองก็พยายามแนะนำให้เอดมอนด์ไปแจ้งความรวมไปถึงพบจิตแพทย์ เพื่อหาคนปรึกษาและพักผ่อนเสียบ้าง จากนั้นเอดมอนด์ก็ทำตามทุกวิธี แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งวันหนึ่งกลางฤดูร้อน หลังจากที่เอดมอนด์พูดว่าเขามีปัญหาจนถึงที่สุดแล้วและไม่สามารถทนต่อไปได้อีก พวกเขาสองคนจึงนัดเจอกันที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
ก็อย่างที่บอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนจัดหรือเปล่าที่ทำให้เพื่อนของเขาดูย่ำแย่ ซึ่งอันที่จริงปกติก็ดูแย่พออยู่แล้ว แต่เมื่อพบกันวันนี้เห็นได้ชัดว่าเอดมอนด์ต่างไปจากเดิมมาก เขาดูเหมือนคนที่สูญเสียพลังงานชีวิตไปเกือบสิ้น ผมสีบลอนด์สกปรกและกระเซอะกระเซิง หน้าตาอิดโรย ดวงตาสีฟ้าที่เคยใสกลับหม่น เบ้าตาคล้ำลึกโบ๋ ปลายขากางเกงสเลคสีน้ำตาลข้างซ้ายขาดวิ่นเป็นรอยยาวถึงต้นขา โชว์รอยแผลเหวอะขนาดเท่าฝ่ามือผู้หญิงไว้
“พระเจ้า! ไม่ถูกหมาสักฝูงไล่ฟัดข้าก็เดาไม่ออกจริงๆว่าแกไปทำอะไรมา” นี่คือประโยคแรกที่แอดดริกเอ่ยทันทีหลังจากเพื่อนสนิทของเขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
พนักงานหญิงที่ดูเกือบจะใกล้เข้าสู่วัยชราเต็มที เดินมาพร้อมกับผมสั้นที่มีสีหงอกประปราย เธอวางใบเมนูลงบนโต๊ะ มองเอดมอนด์เหมือนอยากจะถามเต็มทนว่า “ ให้ฉันโทรเรียกรถพยาบาลมั้ย ” หรือไม่ก็อาจจะอยากไล่เขาออกจากร้านเพราะคิดว่าเป็นขอทานก็ได้ แต่เมื่อเธอมองดูแอดดริกซึ่งยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ เธอจึงไม่ตัดสินใจทำเช่นนั้น
“จะสั่งอะไรก็เรียกล่ะ” เธอว่า จากนั้นเธอจึงเดินจากไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา
แต่ก็นั่นล่ะ...แววตาเธอช่างเต็มไปด้วยความสงสัยจริงๆ
“แกไม่รู้หรอกว่าข้าเจออะไรมา” เอดมอนด์วาดแขนกลางอากาศ ทำท่าหัวเสีย “ข้ากำลังจะเป็นบ้า! หรือเป็นไปแล้วก็ไม่รู้ เฮอะ!”
“เฮ้ เย็นก่อนสิเพื่อน”
“เย็น? อากาศร้อนจนเหงื่อไหลเอาขี้ไคลออกจากรูขุมขนหมดแล้ว เฮอะ!” ถึงเอดมอนด์จะพูดเช่นนั้นแต่เขาก็มีท่าทีที่หงุดหงิดน้อยลงบ้างเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนที่มองมาอย่างจริงจังและเป็นห่วง “บอกตรงๆ ข้าว่าข้าดวงกุดว่ะ”
“เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้แกดูหมอ อย่าไปชื่อนะเว้ย ฉันไม่ได้หมายถึงจะหลบหลู่รึจะไม่เชื่อนะ ฉันหมายถึงว่า ไม่ใช่แกโดนพวกต้มตุ๋นหลอกจนงมงายล่ะ”
“ใครจะมาหลอกข้า มีแต่ข้านี่แหล่ะหลอกคนอื่น เฮอะ!” เอดมอนด์พ่นลมทางจมูก “รถบรรทุกเมาหลับในพุ่งเกือบชนข้า อีกนิดเดียว นิดเดียวจริงๆข้าเกือบได้ตั๋วนั่งเรือไปยมโลก! ยังไม่รวมข่าวป้ายโฆษณาบนถนนเมนสตรีทหล่นเกือบทับชายสูงอายุเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นั่นก็ข้าอีก และที่บอกว่าหมาทั้งฝูงไล่ฟัด เอ็งนี่มันแม่นยิ่งกว่าหมอดู!” เอดมอนด์ตบท้ายด้วยการกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะไม้เสียงดัง ทำเอาผู้ชายวัยกลางคนตัวใหญ่หนวดเฟิ้มโต๊ะข้างๆสะดุ้งจนทำแก้วเบียร์ที่อยู่ในมือกระฉอก เขาส่งสายตาไม่พอใจมาทางเอดมอนด์เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เอ็ดมอนด์รู้สึกผิดสักเท่าไหร่
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่า--”
“ก็เออสิวะ ก่อนมาถึงนี่ สดๆร้อนๆ! แผลใหม่ๆ ไม่เจ๋งจริงหนีไม่รอดแบบข้า เฮอะ! เกือบสิบตัว เกือบสิบตัวเชียวนะโว้ย!!”
“เอ็งนี่มันดวงกุดชัดๆ เอ้ย ข้าหมายถึง--” แอดดริกทำท่าเหมือนคนสะอึกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรพูดอะไรที่ฟังดูแย่ ท้อแท้ หรืออะไรก็ตามที่ดูเป็นการไม่ให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจว่ะ ข้าทำใจไว้แล้ว วันนี้เลยมีเรื่องจะมาบอกแก” เอดมอนด์โบกมือไปมาตรงหน้า วางท่าแบบไม่หยี่ระ “ข้ามีลูกว่ะ และถ้าเกิดข้าเป็นอะไรไป ข้าอยากให้เอ็งสัญญาว่าจะดูแลลูกข้า ญาติข้าก็ไม่เหลือแล้ว ลูกข้าแต่ก็ไม่เชิงหรอก ข้าไม่ได้คลอดออกมา เฮ้ยไม่สิ! ข้าหมายถึงเมียข้าไม่ได้เป็นคนคลอด เป็นลูกเลี้ยง โจแอนนาไปเก็บมาจากไหนก็ไม่รู้ เอาแต่พูดว่าน่าสงสารๆ เอ็งเข้าใจที่ข้าพูดไหมวะ”
“เอ่อ – เข้าใจมั้ง แล้ว...โจแอนนาล่ะ”
“ตายแล้ว เกือบสามเดือนแล้ว”
“ข้าเสียใจด้วยจริงๆว่ะ”
“เออๆ ช่างเถอะ อีกไม่นานข้าคงได้ตามโจแอนนาไป”
แอดดริกคิดว่าเขาออกจะงุนงงอยู่กับเรื่องราวของเพื่อนเขาอยู่สักหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจเรื่องที่เอดมอนด์พูด แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าคนคนหนึ่งจะดวงซวยขนาดนั้นได้อย่างไร แล้วอีกอย่าง หากเอดมอนด์เป็นอะไรไปจริงๆ มันจะเกิดขึ้นเพราะดวงซวยจริงๆหรือ หรือว่ามีคนปองร้าย อาจเป็นไปได้ว่าเอดมอนด์ไปสร้างความแค้นหรือติดหนี้ใครเข้าไว้หรือเปล่า แต่เรื่องโดนหมาทั้งฝูงไล่ฟัดอีกล่ะ...มันยังไงกันแน่ ไหนจะเรื่องลูกของเอดมอนด์อีก แอดดริกหยุดคิดเมื่อเขารู้สึกว่ามีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่มากเกินไปและคงต้องคุยกับเอดมอนด์อีกยาว แอดดริกตัดสินใจยกมือเรียกเด็กเสิร์ฟหญิงที่ยืนมองเขาอยู่จากโต๊ะถัดไปเพื่อสั่งเบียร์
แล้วเด็กเสิร์ฟก็เดินตรงมาที่เขา หลังจากขยับได้เพียงสามก้าวเด็กเสิร์ฟทำท่าเหมือนสะดุดบางอย่างที่พื้น เธอหน้าคะมำก้มลงแต่ยังไม่ถึงกับล้ม ลูกค้าผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งลุกขึ้นจากโต๊ะที่ใกล้ที่สุดในทันทีเพื่อจะพุ่งเข้าไปประคองตัวเธอไว้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าพื้นกำลังสั่นสะเทือน ข้าวของในร้านเริ่มส่งเสียงดัง เครื่องแก้วที่วางเรียงกันส่งเสียงกระทบดังกรุ๊งกริ๊ง มันฝรั่งทอดในจานของใครสักคนกำลังกระจายตัวจากแรงสั่นอยู่ในจาน น้ำในแก้วเริ่มกระฉอกไปมาเมื่อพื้นสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ
“แผ่นดินไหว?” แอดดริกพึมพำ ในขณะที่เอดมอนด์เริ่มหน้าซีด หลายคนในร้านมีสีหน้าหวาดกลัว สองมือกุมศรีษะ และบางคนมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะด้วยความเชื่อว่าจะปลอดภัยกว่านั่งอยู่เฉยๆ แอดดริกคิดว่าเขาเองก็ควรทำเช่นนั้น
ข้างนอกและข้างในร้านดูวุ่นวายไม่แพ้กัน พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนไม่หยุด ไม่เคยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่นี่ ที่เอลล์ทาวน์ เวโอล่าวิลล์ และไม่มีใครเลยเช่นกันในเมืองนี้ ที่ได้ฝึกรับมือกับแผ่นดินไหวมาก่อน แอดดริกได้ยินเสียงกรีดร้องจากความหวาดกลัวทั่วทุกสารทิศ หลายคนพยายามวิ่งออกไปข้างนอกเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานเพราะไม่สามารถบังคับตัวเองให้เดินตรงได้ แอดดริกคว้ามือเอดมอนด์และกระชากเขาลงใต้โต๊ะถัดไปที่อยู่ไกลจากหน้าต่าง ในขณะที่ภาวนาขอให้แผ่นดินไหวผ่านพ้นไปโดยเร็ว อยู่ๆไฟในร้านก็ส่งเสียงแปล๊บปลาบเหมือนไฟช๊อต ไฟติดๆดับๆ และดับลงในที่สุด น่าประหลาดที่เป็นเวลากลางวัน ถึงแม้จะไฟในร้านจะดับ แต่ก็ควรจะมีแสงสว่างจากภายนอก แต่อยู่ๆ ก็เสมือนกับดวงอาทิตย์เองก็ดับลงเช่นกัน ทุกอย่างมิดสนิท พื้นดินยังสะเทือนไม่หยุด ข้าวของบนชั้นทยอยร่วงลงพื้นแตกกระจาย กระจกหน้าต่างและประตูส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะพร้อมจะแตกในไม่ช้า เสียงหวีดร้องดังขึ้นระคนเสียงสะอื้นอย่างหวาดกลัว
ฝากติชมหน่อยนะคะ ขอบคุณค่ะ :)
บทที่ 1
กิน เมา อ้วก สามคำนี้คือนิยามของ แอดดริก เอเวอเดล แห่งเลขที่ 15 เวโอล่าวิลล์ นี่คือตัวอย่างที่ไม่ดีของเยาวชนอย่างเห็นได้ชัด
แอดดริก เอเวอเดล คือผู้ชายวัยกลางคนที่มีเหล้าเป็นเพื่อน มีอาการเมาเป็นกิจวัตร และมีอาเจียนเป็นผลพวงแถมท้ายมาเหมือนพ่อม่ายลูกติด ซึ่งอันที่จริง แอดดริกมีลูกชายคนหนึ่งทั้งๆที่เขายังโสด เพราะเรื่องจริงแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีผู้หญิงคนไหนในโลกมั้ยที่คิดจะคบอย่างจริงจังกับเขา คนที่มีเหล้าเปรียบดั่งญาติมิตร
นอกจากนั้นเพื่อนบ้านยังจดจำรูปลักษณ์ของเขาได้ดี เขามี ผมสีน้ำตาลเข้ม ร่างสูงใหญ่ไม่ถึงกับท้วม ด้วยความสูงราวๆ 6 ฟุตครึ่ง ทำให้เขาดูน่าเกรงขามแบบไม่ต้องใช้ความพยายาม ใบหน้าที่ดูเหมือนกำลังคิดอะไรเครียดๆอยู่ตลอดเวลาทำให้ไม่ค่อยมีใครอยากสุงสิงกับเขาเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่ใช่พวกช่างพูดอยู่แล้ว เรื่องเพื่อนบ้านไม่คุยด้วยเนี่ย สบายมาก
ถึงอย่างนั้นลูกเลี้ยงของเอดดริกนั้นไม่นับว่าโชคดีหรือโชคร้ายอะไรมากนักที่ได้พ่อเลี้ยงอย่างเขา ซึ่งถึงแม้จะเมาทุกวัน เพื่อนบ้านไม่คบ แต่เขาก็ทำหน้าที่ผู้ปกครองได้อย่างดีเยี่ยม
“ไง เอ็ด”
และนี่คือคำทักทายจากเจ้าลูกชายคนสนิท ที่เพิ่งกลับจากมหาวิทยาลัย เจ้าลูกชายสะบัดปอยผมเล็กๆสีน้ำตาลที่ลงมาปรกใบหน้าออกแล้วจ้องมองผู้เป็นพ่อด้วยอาการไร้สีหน้า
“ไงล่ะแก” เอดดริกตอบกลับ ในมือถือวัชพืชที่เพิ่งถอนออกมาจากดินเป็นพรวน “กลับบ้านเร็ว แปลกนะแกนี่”
“เอ็ดนั่นแหล่ะแปลก...ช้าก็บ่นเร็วก็บ่น” เจ้าลูกชายทำจมูกย่น ถอนหายใจเซ็ง “แปลกอีกอย่าง วันนี้มีอารมณ์ทำสวน นึกว่าจะอยู่ร้านเฟรดซะอีก”
ร้านเฟรดที่ว่าคือร้านเหล้าใจกลางตลาดเบเวอรี่ มันเป็นร้านที่รวมเอาไม้เก่า มีโซฟาพังๆหลายตัวกับป้ายร้านผุๆ รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าหนูกับปลวกอาศัยอยู่ราวกับเป็นบ้านตัวเอง ราและกลิ่นอับชื้นโชยอยู่ให้ทั่ว ยังไม่นับรวมกลิ่นเหล้าและบุหรี่ ซึ่งร้านนี้เป็นแหล่งรวมมะเร็งอันดับต้นๆของหมู่บ้านเลยก็ว่าได้
“ก็วันนี้วันเกิดแก ฉันก็เลยมาปลูกดอกกุหลาบที่แกชอบไงละ” เอ็ดพูดพลางเริ่มต้นเอาเสียมคุ้ยดิน “กุหลาบสีแดง ทีนี้แกก็จะได้ไม่ต้องซื้อ เด็ดเอาจากต้นนี่แหล่ะ ไงล่ะ ประหยัด!! เหอะๆๆ” เอ็ดหัวเราะจนตัวโยกไปมา
ลูกชายได้แต่นิ่ง มองพ่อเลี้ยงของเขาเอาตอ ที่มีใบไม้สีเขียวประดับอยู่หน่อยฝังลงไปในดิน และตั้งหน้าตั้งตาเอาดินกลบ มองดูเป็นการปลูกต้นไม้แบบลวกๆชนิดที่ว่าไม่รู้วันพรุ่งนี้มันจะโตหรือจะตายก็ไม่แน่ใจ
“เสร็จ!! รดน้ำใส่ปุ๋ยดีๆด้วยล่ะแก” เอ็ดลุกขึ้นยืน เขาใช้เวลาปลูกต้นไม้ไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ จากนั้นก็เอามือที่เปื้อนดินตบบ่าลูกชาย แล้วยื่นเสียมให้ “สุขสันต์วันเกิด ไอ้ลูกชาย!!”
เจ้าลูกชายยังคงได้แต่มองนิ่งก่อนจะเอ่ย
“ขอบคุณครับ”
ถึงแม้นำเสียงขอบคุณจะนิ่งๆ แต่เอดดริกก็รู้ว่าเป็นคำขอบคุณที่จริงใจ
เอดดริกรู้ ว่าเจ้าลูกชายคนนี้มันแปลก
แปลกบางทีก็เงียบ แปลกบางทีก็ขี้เล่น แปลกบางทีก็ดูฉลาดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
แปลกตั้งแต่วันที่เขาได้รับเจ้าลูกชายคนนี้มาเลี้ยง
เขามองลูกชายเดินสะพายเป้พาร่างสูงหายลับเข้าไปในบ้าน ผมสีน้ำตาลสั้นยังคงดูยุ่งเหยิง ดวงตาสีเทาประกายฟ้าหันกลับมามองด้วยแววตาง่วงนอน ก่อนจะปิดประตู นี่ก็สิบสามปีแล้วสินะตั้งแต่ที่เขารับคำมั่นว่าจะเป็นพ่อเลี้ยงที่ดี จะรับเจ้าลูกชายคนนี้มาเลี้ยงเสมือนลูกของตัวเอง
และเอดดริกรู้...
ว่าเขาไม่เคยผิดสัญญา
เมื่อหน้าร้อนสิบสามปีที่แล้ว วันที่แอดดริกจำได้ดีว่าวันนั้นอากาศร้อนจนเขารู้สึกปวดหัว เขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนซึ่งเคยสนิทแต่ไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว ถ้าให้นับจริงๆ ก็คงราวๆเกือบสิบห้าปี ครั้งแรกที่โทรมา เขาต้องใช้เวลานึกและเถียงอยู่นานว่า “คุณโทรผิดหรือเปล่า ผมไม่เคยรู้จักคุณ ” จนเกือบห้านาที ถึงจะจำได้ว่าเสียงปลายสายคือ เอดมอนด์ เบลล์ เพื่อนสมัยทำงานเป็นวิศวะกรของเขาเอง
เนื้อหาใจความในโทรศัพท์นั้น แอดดริกฟังแทบไม่รู้เรื่อง เพื่อนของเขาเอาแต่พูดถึงบั้นปลายชีวิต ดวงไม่ดีบ้าง หรือแม้แต่มีคนพยายามฆ่า ซึ่งแอดดริกเองก็พยายามแนะนำให้เอดมอนด์ไปแจ้งความรวมไปถึงพบจิตแพทย์ เพื่อหาคนปรึกษาและพักผ่อนเสียบ้าง จากนั้นเอดมอนด์ก็ทำตามทุกวิธี แต่ไม่ได้ผล จนกระทั่งวันหนึ่งกลางฤดูร้อน หลังจากที่เอดมอนด์พูดว่าเขามีปัญหาจนถึงที่สุดแล้วและไม่สามารถทนต่อไปได้อีก พวกเขาสองคนจึงนัดเจอกันที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งใจกลางเมือง
ก็อย่างที่บอก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศร้อนจัดหรือเปล่าที่ทำให้เพื่อนของเขาดูย่ำแย่ ซึ่งอันที่จริงปกติก็ดูแย่พออยู่แล้ว แต่เมื่อพบกันวันนี้เห็นได้ชัดว่าเอดมอนด์ต่างไปจากเดิมมาก เขาดูเหมือนคนที่สูญเสียพลังงานชีวิตไปเกือบสิ้น ผมสีบลอนด์สกปรกและกระเซอะกระเซิง หน้าตาอิดโรย ดวงตาสีฟ้าที่เคยใสกลับหม่น เบ้าตาคล้ำลึกโบ๋ ปลายขากางเกงสเลคสีน้ำตาลข้างซ้ายขาดวิ่นเป็นรอยยาวถึงต้นขา โชว์รอยแผลเหวอะขนาดเท่าฝ่ามือผู้หญิงไว้
“พระเจ้า! ไม่ถูกหมาสักฝูงไล่ฟัดข้าก็เดาไม่ออกจริงๆว่าแกไปทำอะไรมา” นี่คือประโยคแรกที่แอดดริกเอ่ยทันทีหลังจากเพื่อนสนิทของเขาทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ว่างฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
พนักงานหญิงที่ดูเกือบจะใกล้เข้าสู่วัยชราเต็มที เดินมาพร้อมกับผมสั้นที่มีสีหงอกประปราย เธอวางใบเมนูลงบนโต๊ะ มองเอดมอนด์เหมือนอยากจะถามเต็มทนว่า “ ให้ฉันโทรเรียกรถพยาบาลมั้ย ” หรือไม่ก็อาจจะอยากไล่เขาออกจากร้านเพราะคิดว่าเป็นขอทานก็ได้ แต่เมื่อเธอมองดูแอดดริกซึ่งยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่ เธอจึงไม่ตัดสินใจทำเช่นนั้น
“จะสั่งอะไรก็เรียกล่ะ” เธอว่า จากนั้นเธอจึงเดินจากไปหาลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เพิ่งเดินเข้ามา
แต่ก็นั่นล่ะ...แววตาเธอช่างเต็มไปด้วยความสงสัยจริงๆ
“แกไม่รู้หรอกว่าข้าเจออะไรมา” เอดมอนด์วาดแขนกลางอากาศ ทำท่าหัวเสีย “ข้ากำลังจะเป็นบ้า! หรือเป็นไปแล้วก็ไม่รู้ เฮอะ!”
“เฮ้ เย็นก่อนสิเพื่อน”
“เย็น? อากาศร้อนจนเหงื่อไหลเอาขี้ไคลออกจากรูขุมขนหมดแล้ว เฮอะ!” ถึงเอดมอนด์จะพูดเช่นนั้นแต่เขาก็มีท่าทีที่หงุดหงิดน้อยลงบ้างเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนที่มองมาอย่างจริงจังและเป็นห่วง “บอกตรงๆ ข้าว่าข้าดวงกุดว่ะ”
“เฮ้ยๆ อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวนี้แกดูหมอ อย่าไปชื่อนะเว้ย ฉันไม่ได้หมายถึงจะหลบหลู่รึจะไม่เชื่อนะ ฉันหมายถึงว่า ไม่ใช่แกโดนพวกต้มตุ๋นหลอกจนงมงายล่ะ”
“ใครจะมาหลอกข้า มีแต่ข้านี่แหล่ะหลอกคนอื่น เฮอะ!” เอดมอนด์พ่นลมทางจมูก “รถบรรทุกเมาหลับในพุ่งเกือบชนข้า อีกนิดเดียว นิดเดียวจริงๆข้าเกือบได้ตั๋วนั่งเรือไปยมโลก! ยังไม่รวมข่าวป้ายโฆษณาบนถนนเมนสตรีทหล่นเกือบทับชายสูงอายุเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว นั่นก็ข้าอีก และที่บอกว่าหมาทั้งฝูงไล่ฟัด เอ็งนี่มันแม่นยิ่งกว่าหมอดู!” เอดมอนด์ตบท้ายด้วยการกระแทกฝ่ามือลงบนโต๊ะไม้เสียงดัง ทำเอาผู้ชายวัยกลางคนตัวใหญ่หนวดเฟิ้มโต๊ะข้างๆสะดุ้งจนทำแก้วเบียร์ที่อยู่ในมือกระฉอก เขาส่งสายตาไม่พอใจมาทางเอดมอนด์เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เอ็ดมอนด์รู้สึกผิดสักเท่าไหร่
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่า--”
“ก็เออสิวะ ก่อนมาถึงนี่ สดๆร้อนๆ! แผลใหม่ๆ ไม่เจ๋งจริงหนีไม่รอดแบบข้า เฮอะ! เกือบสิบตัว เกือบสิบตัวเชียวนะโว้ย!!”
“เอ็งนี่มันดวงกุดชัดๆ เอ้ย ข้าหมายถึง--” แอดดริกทำท่าเหมือนคนสะอึกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรพูดอะไรที่ฟังดูแย่ ท้อแท้ หรืออะไรก็ตามที่ดูเป็นการไม่ให้กำลังใจ
“ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจว่ะ ข้าทำใจไว้แล้ว วันนี้เลยมีเรื่องจะมาบอกแก” เอดมอนด์โบกมือไปมาตรงหน้า วางท่าแบบไม่หยี่ระ “ข้ามีลูกว่ะ และถ้าเกิดข้าเป็นอะไรไป ข้าอยากให้เอ็งสัญญาว่าจะดูแลลูกข้า ญาติข้าก็ไม่เหลือแล้ว ลูกข้าแต่ก็ไม่เชิงหรอก ข้าไม่ได้คลอดออกมา เฮ้ยไม่สิ! ข้าหมายถึงเมียข้าไม่ได้เป็นคนคลอด เป็นลูกเลี้ยง โจแอนนาไปเก็บมาจากไหนก็ไม่รู้ เอาแต่พูดว่าน่าสงสารๆ เอ็งเข้าใจที่ข้าพูดไหมวะ”
“เอ่อ – เข้าใจมั้ง แล้ว...โจแอนนาล่ะ”
“ตายแล้ว เกือบสามเดือนแล้ว”
“ข้าเสียใจด้วยจริงๆว่ะ”
“เออๆ ช่างเถอะ อีกไม่นานข้าคงได้ตามโจแอนนาไป”
แอดดริกคิดว่าเขาออกจะงุนงงอยู่กับเรื่องราวของเพื่อนเขาอยู่สักหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจเรื่องที่เอดมอนด์พูด แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าคนคนหนึ่งจะดวงซวยขนาดนั้นได้อย่างไร แล้วอีกอย่าง หากเอดมอนด์เป็นอะไรไปจริงๆ มันจะเกิดขึ้นเพราะดวงซวยจริงๆหรือ หรือว่ามีคนปองร้าย อาจเป็นไปได้ว่าเอดมอนด์ไปสร้างความแค้นหรือติดหนี้ใครเข้าไว้หรือเปล่า แต่เรื่องโดนหมาทั้งฝูงไล่ฟัดอีกล่ะ...มันยังไงกันแน่ ไหนจะเรื่องลูกของเอดมอนด์อีก แอดดริกหยุดคิดเมื่อเขารู้สึกว่ามีสิ่งที่น่าสงสัยอยู่มากเกินไปและคงต้องคุยกับเอดมอนด์อีกยาว แอดดริกตัดสินใจยกมือเรียกเด็กเสิร์ฟหญิงที่ยืนมองเขาอยู่จากโต๊ะถัดไปเพื่อสั่งเบียร์
แล้วเด็กเสิร์ฟก็เดินตรงมาที่เขา หลังจากขยับได้เพียงสามก้าวเด็กเสิร์ฟทำท่าเหมือนสะดุดบางอย่างที่พื้น เธอหน้าคะมำก้มลงแต่ยังไม่ถึงกับล้ม ลูกค้าผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งลุกขึ้นจากโต๊ะที่ใกล้ที่สุดในทันทีเพื่อจะพุ่งเข้าไปประคองตัวเธอไว้ แต่ตัวเขาเองก็ต้องชะงัก เมื่อพบว่าพื้นกำลังสั่นสะเทือน ข้าวของในร้านเริ่มส่งเสียงดัง เครื่องแก้วที่วางเรียงกันส่งเสียงกระทบดังกรุ๊งกริ๊ง มันฝรั่งทอดในจานของใครสักคนกำลังกระจายตัวจากแรงสั่นอยู่ในจาน น้ำในแก้วเริ่มกระฉอกไปมาเมื่อพื้นสั่นแรงขึ้นเรื่อยๆ
“แผ่นดินไหว?” แอดดริกพึมพำ ในขณะที่เอดมอนด์เริ่มหน้าซีด หลายคนในร้านมีสีหน้าหวาดกลัว สองมือกุมศรีษะ และบางคนมุดลงไปอยู่ใต้โต๊ะด้วยความเชื่อว่าจะปลอดภัยกว่านั่งอยู่เฉยๆ แอดดริกคิดว่าเขาเองก็ควรทำเช่นนั้น
ข้างนอกและข้างในร้านดูวุ่นวายไม่แพ้กัน พื้นดินยังคงสั่นสะเทือนไม่หยุด ไม่เคยมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นที่นี่ ที่เอลล์ทาวน์ เวโอล่าวิลล์ และไม่มีใครเลยเช่นกันในเมืองนี้ ที่ได้ฝึกรับมือกับแผ่นดินไหวมาก่อน แอดดริกได้ยินเสียงกรีดร้องจากความหวาดกลัวทั่วทุกสารทิศ หลายคนพยายามวิ่งออกไปข้างนอกเพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ก็ต้องล้มลุกคลุกคลานเพราะไม่สามารถบังคับตัวเองให้เดินตรงได้ แอดดริกคว้ามือเอดมอนด์และกระชากเขาลงใต้โต๊ะถัดไปที่อยู่ไกลจากหน้าต่าง ในขณะที่ภาวนาขอให้แผ่นดินไหวผ่านพ้นไปโดยเร็ว อยู่ๆไฟในร้านก็ส่งเสียงแปล๊บปลาบเหมือนไฟช๊อต ไฟติดๆดับๆ และดับลงในที่สุด น่าประหลาดที่เป็นเวลากลางวัน ถึงแม้จะไฟในร้านจะดับ แต่ก็ควรจะมีแสงสว่างจากภายนอก แต่อยู่ๆ ก็เสมือนกับดวงอาทิตย์เองก็ดับลงเช่นกัน ทุกอย่างมิดสนิท พื้นดินยังสะเทือนไม่หยุด ข้าวของบนชั้นทยอยร่วงลงพื้นแตกกระจาย กระจกหน้าต่างและประตูส่งเสียงลั่นดังเปรี๊ยะพร้อมจะแตกในไม่ช้า เสียงหวีดร้องดังขึ้นระคนเสียงสะอื้นอย่างหวาดกลัว