ผู้คนมากมายต่างเดินเข้าออกประตูห้างสรรพสินค้าใหญ่ เวลาเย็นหลังชั่วโมงการทำงานจึงทำให้ช่วงเวลานี้แออัดไปด้วยฝูงชน บ้างเดินเร็ว บ้างเดินช้า และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยืนอยู่กับที่ ในความวุ่นวายที่ว่ามานี้มีกลุ่มชายหนุ่มสี่คนแต่งตัวด้วยชุดทำงาน กางเกงแสล็คสีดำรองเท้าหนังเสื้อเชิ้ตคละสีสุภาพในแต่ละคน มีสามคนที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่างอย่างสนุกสนานใกล้ประตูห้าง ในขณะที่หนุ่มแว่นผมสั้นอีกคนกำลังยืนอ่านหนังสือนิยายปกมีรูปชวนพิศวงอยู่เงียบ ๆ
“ทำไมน้องเอยังไม่มาอีกนะ”
นดล ชายหนุ่มไว้ผมรองทรงต่ำหน้าตาสะอาด พูดขัดจังหวะในวงสนทนาเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดสังเกต
“เป็นเรื่องปกติน่า... ผู้หญิงกว่าจะออกจากออฟฟิศได้ก็ต้องแต่งหน้าทาปาก เข้าห้องน้ำทำธุระอะไรให้เรียบร้อยก่อน”
เมที เพื่อนอีกคนในวงสนทนาพูดขึ้นเพื่อระงับความกังวลของเพื่อน
“แต่น้องเอไม่แต่งหน้าทาปากนะ น้องเขาน่ารักใส ๆ ไม่ต้องใช้ของพวกนั้นอยู่แล้ว” นดลพูดขึ้น
“จริงเหรอ นี่ข้าไม่เคยสังเกตเลยนะว่าน้องเอไม่แต่งหน้า จะว่าไปก็แยกไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าผู้หญิงคนไหนแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้า” ดนัย เพื่อนอีกคนที่เหลือในวงสนทนาพูดขึ้น
“ผู้หญิงสมัยนี้เค้าเน้นแต่งหน้าให้ดูธรรมชาติที่สุด คงจะแค่ปกปิดริ้วรอยอะไรแค่นั้นมั้ง ส่วนใครไม่มีก็ไม่ต้องปกปิดอะไรแค่นั้นเอง” เมทีเสริมประเด็น
“นั่นน่ะสิ น้องเอสวยธรรมชาติอยู่แล้วไม่ต้องเสริมแต่งอะไรทั้งนั้น”
นดลพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย เขายังทำสายตาชวนฝันจนคนอีกสองเห็นแล้วรู้สึกคลื่นไส้
“เฮ้ย... อะไรของแกวะ น้องนุ่ง...” เมทีทำเสียงบ่นเป็นเชิงขบขัน ดนัยหัวเราะกับท่าทีนั้น
และในเวลานั้นเอง นดลมองทะลุกระจกออกไปนอกห้างก็เห็นสาวสวยที่เขากำลังรออยู่เดินมาอย่างเร่งรีบ ไม่รอช้าเขารีบยกไม้ยกมือเรียกคนที่กำลังมา
“ขอโทษค่ะ ๆ” เจ้าของเสียงใสรีบยกมือไหว้เมื่อเธอเดินมาถึงตรงหน้าพี่ ๆ “วันนี้พลาดไปหน่อย เดินออกจากประตูออฟฟิศช้าคนยืนออกันเต็มหน้าลิฟต์ กว่าจะลงมาชั้นหนึ่งได้”
“ไม่เป็นไรครับ สำหรับน้องเอแล้วต่อให้ยืนรอเป็นชั่วโมงพี่ก็รอได้”
นดลพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ ส่วนเพื่อนอีกสองคนตรงนั้นไม่ได้ทำท่าทีเห็นด้วยใด ๆ แต่ก็ไม่แสดงความเห็นอะไรออกมา
เอฉีกยิ้มเขินอายออกมา เหมือนเธอจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้ไว้โดยการสบตาทุกคน ชั่วขณะหนึ่งสาวน้อยเหลือบมองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังยืนอ่านหนังสือเงียบ ๆ และเธอก็ดึงสายตากลับมาที่ชายทั้งสาม
“พี่ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่น้องเอได้งานใหม่ และตามสัญญาพวกพี่อยากจะขอเลี้ยงข้าวฉลองให้กับน้องเอ” นดลพูด
“ใช่ครับน้อง เดี๋ยวมื้อนี่ไอ้ดลจะจ่ายเอง” ดนัยพูดและหันไปทางเมทีที่ยืนยิ้มกับคำพูดนี้อยู่แล้ว “เต็มที่โว้ยเมที มื้อนี้เต็มที่”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเราหารกันจ่ายใครจ่ายมันก็ได้ แค่พี่ ๆ ชวนมาเอก็รู้สึกดีใจมากแล้ว” สาวเอพูด
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันดีกว่า ถ้าไปช้าอาจได้นั่งรอคิวอีก ไปกัน” เมทีพูดขึ้นพร้อมยกนาฬิกาข้อมือ
จากนั้นนดล เมทีและดนัยก็ออกเดินโดยที่มีการหยอกล้อพูดคุยกันตามประสาเพื่อน แต่ทว่าสามหนุ่มกลับหลงลืมเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง ที่เอาแต่มัวยืนใช้สมาธิกับตัวอักษรในหนังสือเล่มหนา สาวเอหันมาทางหนุ่มแว่นคนนั้นก่อนจะเอ่ยทัก
“พี่ภูมคะ” สาวเจ้าเรียกเสียงเบาจนทำให้หนอนนิยายตรงหน้าไม่ได้ยิน เธอเพิ่มน้ำเสียงขึ้น “พี่ภูมคะ”
“หะ...หา เอ๊ะ? ไอ้พวกนี้ไม่ยอมเรียกกันเลย”
หนุ่มที่ชื่อภูมรีบพับเก็บหนังสือก่อนจะรีบออกเดินตามเหล่าเพื่อน ๆ เอเห็นภาพนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้ จากนั้นเธอก็รีบเดินเคียงข้างหนุ่มใส่แว่นตัดผมสั้นด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
“วันนี้เป็นวันพุธ รู้สึกจะมีโปรฯที่ร้านไดอิจินะ ลดค่าอาหารตั้ง 20% แน่ะ” นดลเสนอในขณะที่กำลังเดิน
“เป็นความคิดที่ดี 20% ของร้านอาหารญี่ปุ่นหนึ่งมื้อ อาจเทียบเท่ากับอาหารข้างถนนได้สักสองสามมื้อ” เมทีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ใช่ ๆ และอาจจะไปซื้ออาหารญี่ปุ่นแบบบรรจุซองกินได้อีกหลายวัน เพราะเงินหมดพอดี” ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเช่นกัน แต่เขาก็รู้สึกขำกับคำพูดของตัวเองด้วย
“แหม ๆ ไม่ได้มากินกันบ่อย ๆ มาแค่เดือนละครั้งทำมาเป็นบ่น” นดลพูด แต่ทันใดนั้นเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง “เราลืมเรียกไอ้ภูมอีกแล้ว”
นดลเหลียวหลังมาก็เห็นภูมเดินตามมาอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดจาอะไร ข้าง ๆ นั้นมีเอเดินชิดใกล้ ภาพหญิงสาวแอบเหลียวมองชายหนุ่มที่เดินข้าง เธอยังแอบพยายามซ่อนรอยยิ้มที่เผยออกมาจากมุมปาก แต่นั่นไม่รอดพ้นสายตาของนดลไปได้
“โทษทีว่ะเพื่อน ลืมเรียกไปเลย”
นดลแก้ตัวพร้อมยิ้มเหมือนสำนึกผิด เขายังแอบมองภาพหญิงสาวที่กำลังหัวเราะเล็ก ๆ แต่สายตาของเธอนั้นไม่ยอมวางออกจากภูมเลย
“แล้วงานใหม่เป็นอย่างไรบ้างครับน้องเอ”
นดลพูดพร้อมหันมามองเอบนโต๊ะอาหาร ในขณะที่เธอกำลังจะคีบซูชิใส่ปาก สาวสวยประจำโต๊ะต้องค่อย ๆ วางชิ้นอาหารที่อยู่ระหว่างตะเกียบลงบนจานก่อนจะตอบ
“ยังไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนที่ทำงานเท่าไหร่ค่ะ ต้องปรับตัวกับเจ้านายใหม่เพื่อนร่วมงานใหม และงานที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” ผู้ถูกถามตอบ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ หากน้องเอมีปัญหาเรื่องการทำงานที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ มาปรึกษาพี่ได้ครับ ยังไงเราก็เรียนจบคณะเดียวกันคงจะช่วยกันได้อยู่แล้ว” นดลพูดพร้อมหันไปทางเพื่อนอีกสามคนที่กำลังนั่งกินอาหารอย่างสำราญใจ “ใช่มั้ยเพื่อน”
ทั้งสามหันหน้ามามองต้นเสียง ใครคนหนึ่งพูด “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องช่วยให้คำปรึกษาน้องเอในที่ทำงานไง เราในฐานะรุ่นพี่ต้องคอยช่วยเหลือน้อง” นดลพูด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่นดล เกรงใจแย่เลย เอรู้ว่าที่ทำงานของพี่ก็ยุ่ง ๆ เหมือนกัน แล้วอีกอย่างที่ทำงานก็มีซีเนียร์มาซัพพอร์ทงานให้อยู่แล้วค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะที่สำหรับความมีน้ำใจของพี่” เอกล่าวยิ้ม ๆ
ในขณะนั้น พนักงานเสิร์ฟเดินผ่านมาพอดี เธอรินน้ำชาเขียวจากเหยือกลงในแก้วของนดลและภูมที่ว่างอยู่ เมื่อรินเสร็จก็เดินออกไป
นดลยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “ชาเขียวที่นี่หอมมากเลยนะ พี่ชอบมากเลยล่ะ น้องเอลองทานดูสิครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่นดล” เอรีบยกมือบอกปัด “เอลองจิบ ๆ ดูแล้วหอมจริง ๆ ค่ะ ระหว่างทานอาหารเอไม่ค่อยอยากดื่มน้ำมาก”
“ครับ” นดลได้แต่รับคำยิ้ม ๆ
“ขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะ ดื่มน้ำมากไป” ภูมพูดสั้น ๆ และเตรียมจะลุกออกจากโต๊ะ
“ไปด้วย ๆ น้ำชาเขียวรีฟิลทำพิษ” นดลรีบพูดขึ้นก่อนจะลุกเดินตามภูมออกไป
นดลและภูมยืนหน้าโถฉี่ ครั้งคู่กำลังใช้สมาธิอยู่กับการปลดทุกข์ อยู่ ๆ นดลก็พูดออกมา
“น้องเอชอบแกว่ะ”
ภูมเหมือนตื่นจากภวังค์ เขาหันมาทางนดล “น้องเขาบอกแกเหรอ”
“เปล่าหรอก ภาษากายและสิ่งที่น้องแสดงออกมามันบอกแบบนั้น”
“ไม่เข้าใจ แกคิดไปเองหรือเปล่า เป็นแกเองไม่ใช่หรือที่ชอบน้องเอ”
“ความจริงแล้วก็ใช่ ข้าแอบชอบน้องมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ แต่ตอนนั้นรุ่นพี่จะมาคบกับรุ่นน้องมันคงจะไม่เหมาะสม”
ทั้งคู่เสร็จธุระจากโถฉี่ก็เปลี่ยนไปทำธุระที่อ่างล้างมือต่อ
“เออนี่ มีอีกเรื่องนึงที่อยากจะขอร้อง” นดลพูดในขณะที่กำลังล้างมือ
“อะไร”
“แกช่วยคบกับน้องเขาหน่อยได้มั้ย”
“เฮ้ย... นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน อยู่ ๆ จะมาบอกให้ไปคบกับคนที่ตัวเองแอบชอบอยู่ ในโลกนี้มันมีด้วยหรือ”
“ก็ข้าอยากให้น้องเอมีความสุขน่ะ ข้าสังเกตมานานแล้วนะ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วน้องเขาจะต้องหาโอกาสมาเจอแก มามองหน้าแก มาส่งยิ้มให้แกเสมอ ไม่แน่นะว่าครั้งนี้ที่นัดน้องเขามากินข้าวได้ เพราะข้าบอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วย พอน้องถามว่าใครมาบ้าง พอบอกชื่อแกไปน้องก็ตอบตกลงทันทีเลย”
ภูมทำสีหน้าอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขามองทะลุกระจกสะท้อนไปยังใบหน้าของนดลที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง อารมณ์หดหู่ของนดลเริ่มทำให้ภูมรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
“จะว่าไปแกก็หน้าตาดี หุ่นสูงยาวเรียนก็เก่ง มีคนมาจีบแกตั้งมากมายทั้งจากในคณะและต่างคณะ แกก็ไม่เคยสนใจใครเลย แต่สาว ๆ พวกนั้นก็ยังตามตื๊อแกไม่เลิก มันเป็นเพราะอะไรกันนะ”
“ข้าไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าข้าชอบน้องเอ”
นดลตอบสั้น ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
ทั้งคู่ล้างมือกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่นดลก็อยากจะเปิดเผยความในใจและระบายมันออกมาให้เพื่อนรู้ เขาจึงยังยืนอยู่ตรงนั้น และภูมก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ข้าคงจะไปคบกับน้องเขาไม่ได้หรอกว่ะ มันคงจะไม่เป็นเรื่องที่ดีแน่ แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าแกจริงใจกับน้องเขาแค่ไหน” ภูมพูดพร้อมหันหน้ามาสบตาเพื่อน “บางทีนะ ข้าว่าบางทีเราอาจจะใส่ใจคนที่เราชอบมากเกินไป จนทำให้คนคนนั้นรู้สึกอึดอัด หรือทำให้รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกหรืออะไรแบบนี้ ถ้าหากว่าได้เว้นที่ว่างระหว่างกัน ให้แต่ละคนได้มีพื้นที่ในการคิดในการตัดสินใจ นั่นอาจจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า”
นดลได้ฟังดังนั้นก็ยืนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “หมายถึงให้ข้าปลงเหรอ”
“คนละเรื่องกัน หมายถึงว่าอย่าไปเซ้าซี้น้องมากเกินไป ลองคิดดูสิ ทำไมสาว ๆ ในมหาฯลัยถึงยังกรี๊ดกร๊าดแก นั่นเพราะว่าพวกเธอเหล่านั้นมีโอกาสปลื้มและจินตนาการว่าคนที่ตัวเองปลื้มเป็นอย่างนู้นเป็นอย่างนี้ แต่กับน้องเอใหม่ ๆ อาจจะยังปลื้มแกด้วยเหมือนกัน แต่พอได้พูดคุยกันบ่อย ๆ ขึ้นอาจจะทำให้บางอย่างที่น้องเขาคิดมันไม่เหมือนกับความจริงของตัวแกเอง”
นดลทำสีหน้าเห็นด้วยออกมา “ใช่ ข้าทักเฟสทักไลน์น้องเขาแทบทุกวันเลย บางทีอาจจะทำให้น้องเขาอึดอัด”
บนโต๊ะอาหารที่พร่องไปเกือบหมดโต๊ะ ทั้งหมดนั่งกินกันเหมือน ๆ กับโต๊ะอื่น ๆ ข้างเคียงทั่วไป มีการพูดจาหยอกล้อกันสนุกสนานตาประสาเพื่อนฝูง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เสียงของนดลน้อยลง คงมีแต่รอยยิ้มและแววตาที่ยังคงส่งมาให้ทางสาวสวยบนโต๊ะเป็นระยะ ๆ นาน ๆ ที
เอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและพูดออกมา “พี่ ๆ คะ พอดีน้องต้องรีบกลับบ้านแล้วเพราะนัดไว้กับที่บ้านว่าจะไปซื้อของกัน ต้องขอตัวก่อนนะคะ” เธอพูดเสร็จก็ควักแบงค์ห้าร้อยออกมาจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะ “นี่ค่าอาหารค่ะ”
ทั้งโต๊ะต่างช่วยกันปฏิเสธเงิน นดลรีบสำทับ “ไม่ต้องเลยครับ มาวันนี้พี่บอกแล้วว่าจะเลี้ยงฉลองงานใหม่ให้น้อง”
“อย่าปฏิเสธน้ำใจเลยครับ เพื่อนพี่อุตส่าห์ตั้งใจมาขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวจะเสียน้ำใจแย่” ภูมช่วยพูด “เอาอย่างนี้สิน้อง เพื่อนพี่มันคงจะไม่ว่าหรอกนะถ้าน้องจะเลี้ยงมันคืนในวันหลัง”
นดลได้แต่ทำสีหน้าเหรอหราเออออไปกับคำพูดนี้ เขาสบตาเข้ากับแววตาคู่สวย รอยยิ้มแทนคำขอบคุณจากริมฝีปากบางนี้เกือบทำให้ชายหนุ่มหัวใจหยุดเต้น เอยกมือไหว้ขอบคุณนดล
“ขอบคุณมากนะคะพี่นดล วันนี้เอขอตัวก่อนนะคะ” สาวสวยลุกขึ้นยืนและเตรียมจะเดินออกจากโต๊ะไป เธอเหมือนคิดอะไรได้อย่างหนึ่งจึงหันหน้ามาที่นดล “เดี๋ยววันนี้ถ้าเอกลับถึงบ้านจะทักพี่ไปทางไลน์นะคะ”
นดลยิ้มบานกับคำพูดนี้ เขายังตามไปส่งเอด้วยสายตาจนเธอเดินลับสายตาไป
“เราต้องเว้นที่ว่างไว้ให้แต่ละฝ่ายมีพื้นที่ไว้ตามหาฝันด้วยว่ะเพื่อน” อยู่ ๆ ภูมก็พูดขึ้นมาบนโต๊ะ
“ไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย ขอบใจแกมากจริง ๆ ว่ะภูม” นดลตอบ
ทั้งโต๊ะนอกจากภูมและนดลต่างงงกับคำพูดเหล่านี้ เมทีและดนัยหันมามองหน้ากันเองและทำสีหน้าแปลกใจ
“สงสัยสองคนนี้ดื่มชาเขียวมากไป สมองคงบวมไปแล้วแน่ ๆ ถึงพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่องนี้ออกมา” เมทีพูดขึ้น
ทั้งโต๊ะมีเสียงหัวเราะดัง
ที่ว่าง
ผู้คนมากมายต่างเดินเข้าออกประตูห้างสรรพสินค้าใหญ่ เวลาเย็นหลังชั่วโมงการทำงานจึงทำให้ช่วงเวลานี้แออัดไปด้วยฝูงชน บ้างเดินเร็ว บ้างเดินช้า และมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยืนอยู่กับที่ ในความวุ่นวายที่ว่ามานี้มีกลุ่มชายหนุ่มสี่คนแต่งตัวด้วยชุดทำงาน กางเกงแสล็คสีดำรองเท้าหนังเสื้อเชิ้ตคละสีสุภาพในแต่ละคน มีสามคนที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันด้วยเรื่องอะไรบางอย่างอย่างสนุกสนานใกล้ประตูห้าง ในขณะที่หนุ่มแว่นผมสั้นอีกคนกำลังยืนอ่านหนังสือนิยายปกมีรูปชวนพิศวงอยู่เงียบ ๆ
“ทำไมน้องเอยังไม่มาอีกนะ”
นดล ชายหนุ่มไว้ผมรองทรงต่ำหน้าตาสะอาด พูดขัดจังหวะในวงสนทนาเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างผิดสังเกต
“เป็นเรื่องปกติน่า... ผู้หญิงกว่าจะออกจากออฟฟิศได้ก็ต้องแต่งหน้าทาปาก เข้าห้องน้ำทำธุระอะไรให้เรียบร้อยก่อน”
เมที เพื่อนอีกคนในวงสนทนาพูดขึ้นเพื่อระงับความกังวลของเพื่อน
“แต่น้องเอไม่แต่งหน้าทาปากนะ น้องเขาน่ารักใส ๆ ไม่ต้องใช้ของพวกนั้นอยู่แล้ว” นดลพูดขึ้น
“จริงเหรอ นี่ข้าไม่เคยสังเกตเลยนะว่าน้องเอไม่แต่งหน้า จะว่าไปก็แยกไม่ค่อยออกเหมือนกันว่าผู้หญิงคนไหนแต่งหน้าหรือไม่แต่งหน้า” ดนัย เพื่อนอีกคนที่เหลือในวงสนทนาพูดขึ้น
“ผู้หญิงสมัยนี้เค้าเน้นแต่งหน้าให้ดูธรรมชาติที่สุด คงจะแค่ปกปิดริ้วรอยอะไรแค่นั้นมั้ง ส่วนใครไม่มีก็ไม่ต้องปกปิดอะไรแค่นั้นเอง” เมทีเสริมประเด็น
“นั่นน่ะสิ น้องเอสวยธรรมชาติอยู่แล้วไม่ต้องเสริมแต่งอะไรทั้งนั้น”
นดลพูดไปด้วยยิ้มไปด้วย เขายังทำสายตาชวนฝันจนคนอีกสองเห็นแล้วรู้สึกคลื่นไส้
“เฮ้ย... อะไรของแกวะ น้องนุ่ง...” เมทีทำเสียงบ่นเป็นเชิงขบขัน ดนัยหัวเราะกับท่าทีนั้น
และในเวลานั้นเอง นดลมองทะลุกระจกออกไปนอกห้างก็เห็นสาวสวยที่เขากำลังรออยู่เดินมาอย่างเร่งรีบ ไม่รอช้าเขารีบยกไม้ยกมือเรียกคนที่กำลังมา
“ขอโทษค่ะ ๆ” เจ้าของเสียงใสรีบยกมือไหว้เมื่อเธอเดินมาถึงตรงหน้าพี่ ๆ “วันนี้พลาดไปหน่อย เดินออกจากประตูออฟฟิศช้าคนยืนออกันเต็มหน้าลิฟต์ กว่าจะลงมาชั้นหนึ่งได้”
“ไม่เป็นไรครับ สำหรับน้องเอแล้วต่อให้ยืนรอเป็นชั่วโมงพี่ก็รอได้”
นดลพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ ส่วนเพื่อนอีกสองคนตรงนั้นไม่ได้ทำท่าทีเห็นด้วยใด ๆ แต่ก็ไม่แสดงความเห็นอะไรออกมา
เอฉีกยิ้มเขินอายออกมา เหมือนเธอจะพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้ไว้โดยการสบตาทุกคน ชั่วขณะหนึ่งสาวน้อยเหลือบมองไปยังชายหนุ่มอีกคนที่กำลังยืนอ่านหนังสือเงียบ ๆ และเธอก็ดึงสายตากลับมาที่ชายทั้งสาม
“พี่ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับที่น้องเอได้งานใหม่ และตามสัญญาพวกพี่อยากจะขอเลี้ยงข้าวฉลองให้กับน้องเอ” นดลพูด
“ใช่ครับน้อง เดี๋ยวมื้อนี่ไอ้ดลจะจ่ายเอง” ดนัยพูดและหันไปทางเมทีที่ยืนยิ้มกับคำพูดนี้อยู่แล้ว “เต็มที่โว้ยเมที มื้อนี้เต็มที่”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเราหารกันจ่ายใครจ่ายมันก็ได้ แค่พี่ ๆ ชวนมาเอก็รู้สึกดีใจมากแล้ว” สาวเอพูด
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันดีกว่า ถ้าไปช้าอาจได้นั่งรอคิวอีก ไปกัน” เมทีพูดขึ้นพร้อมยกนาฬิกาข้อมือ
จากนั้นนดล เมทีและดนัยก็ออกเดินโดยที่มีการหยอกล้อพูดคุยกันตามประสาเพื่อน แต่ทว่าสามหนุ่มกลับหลงลืมเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่ง ที่เอาแต่มัวยืนใช้สมาธิกับตัวอักษรในหนังสือเล่มหนา สาวเอหันมาทางหนุ่มแว่นคนนั้นก่อนจะเอ่ยทัก
“พี่ภูมคะ” สาวเจ้าเรียกเสียงเบาจนทำให้หนอนนิยายตรงหน้าไม่ได้ยิน เธอเพิ่มน้ำเสียงขึ้น “พี่ภูมคะ”
“หะ...หา เอ๊ะ? ไอ้พวกนี้ไม่ยอมเรียกกันเลย”
หนุ่มที่ชื่อภูมรีบพับเก็บหนังสือก่อนจะรีบออกเดินตามเหล่าเพื่อน ๆ เอเห็นภาพนั้นก็อดขำออกมาไม่ได้ จากนั้นเธอก็รีบเดินเคียงข้างหนุ่มใส่แว่นตัดผมสั้นด้วยสีหน้าที่เบิกบาน
“วันนี้เป็นวันพุธ รู้สึกจะมีโปรฯที่ร้านไดอิจินะ ลดค่าอาหารตั้ง 20% แน่ะ” นดลเสนอในขณะที่กำลังเดิน
“เป็นความคิดที่ดี 20% ของร้านอาหารญี่ปุ่นหนึ่งมื้อ อาจเทียบเท่ากับอาหารข้างถนนได้สักสองสามมื้อ” เมทีพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
“ใช่ ๆ และอาจจะไปซื้ออาหารญี่ปุ่นแบบบรรจุซองกินได้อีกหลายวัน เพราะเงินหมดพอดี” ดนัยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงเช่นกัน แต่เขาก็รู้สึกขำกับคำพูดของตัวเองด้วย
“แหม ๆ ไม่ได้มากินกันบ่อย ๆ มาแค่เดือนละครั้งทำมาเป็นบ่น” นดลพูด แต่ทันใดนั้นเหมือนเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง “เราลืมเรียกไอ้ภูมอีกแล้ว”
นดลเหลียวหลังมาก็เห็นภูมเดินตามมาอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดจาอะไร ข้าง ๆ นั้นมีเอเดินชิดใกล้ ภาพหญิงสาวแอบเหลียวมองชายหนุ่มที่เดินข้าง เธอยังแอบพยายามซ่อนรอยยิ้มที่เผยออกมาจากมุมปาก แต่นั่นไม่รอดพ้นสายตาของนดลไปได้
“โทษทีว่ะเพื่อน ลืมเรียกไปเลย”
นดลแก้ตัวพร้อมยิ้มเหมือนสำนึกผิด เขายังแอบมองภาพหญิงสาวที่กำลังหัวเราะเล็ก ๆ แต่สายตาของเธอนั้นไม่ยอมวางออกจากภูมเลย
“แล้วงานใหม่เป็นอย่างไรบ้างครับน้องเอ”
นดลพูดพร้อมหันมามองเอบนโต๊ะอาหาร ในขณะที่เธอกำลังจะคีบซูชิใส่ปาก สาวสวยประจำโต๊ะต้องค่อย ๆ วางชิ้นอาหารที่อยู่ระหว่างตะเกียบลงบนจานก่อนจะตอบ
“ยังไม่ค่อยสนิทกับเพื่อนที่ทำงานเท่าไหร่ค่ะ ต้องปรับตัวกับเจ้านายใหม่เพื่อนร่วมงานใหม และงานที่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ” ผู้ถูกถามตอบ
“ไม่ต้องห่วงนะครับ หากน้องเอมีปัญหาเรื่องการทำงานที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ มาปรึกษาพี่ได้ครับ ยังไงเราก็เรียนจบคณะเดียวกันคงจะช่วยกันได้อยู่แล้ว” นดลพูดพร้อมหันไปทางเพื่อนอีกสามคนที่กำลังนั่งกินอาหารอย่างสำราญใจ “ใช่มั้ยเพื่อน”
ทั้งสามหันหน้ามามองต้นเสียง ใครคนหนึ่งพูด “เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องช่วยให้คำปรึกษาน้องเอในที่ทำงานไง เราในฐานะรุ่นพี่ต้องคอยช่วยเหลือน้อง” นดลพูด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่นดล เกรงใจแย่เลย เอรู้ว่าที่ทำงานของพี่ก็ยุ่ง ๆ เหมือนกัน แล้วอีกอย่างที่ทำงานก็มีซีเนียร์มาซัพพอร์ทงานให้อยู่แล้วค่ะ แต่ก็ขอบคุณมากนะคะที่สำหรับความมีน้ำใจของพี่” เอกล่าวยิ้ม ๆ
ในขณะนั้น พนักงานเสิร์ฟเดินผ่านมาพอดี เธอรินน้ำชาเขียวจากเหยือกลงในแก้วของนดลและภูมที่ว่างอยู่ เมื่อรินเสร็จก็เดินออกไป
นดลยกแก้วน้ำขึ้นจิบ “ชาเขียวที่นี่หอมมากเลยนะ พี่ชอบมากเลยล่ะ น้องเอลองทานดูสิครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะพี่นดล” เอรีบยกมือบอกปัด “เอลองจิบ ๆ ดูแล้วหอมจริง ๆ ค่ะ ระหว่างทานอาหารเอไม่ค่อยอยากดื่มน้ำมาก”
“ครับ” นดลได้แต่รับคำยิ้ม ๆ
“ขอตัวไปห้องน้ำหน่อยนะ ดื่มน้ำมากไป” ภูมพูดสั้น ๆ และเตรียมจะลุกออกจากโต๊ะ
“ไปด้วย ๆ น้ำชาเขียวรีฟิลทำพิษ” นดลรีบพูดขึ้นก่อนจะลุกเดินตามภูมออกไป
นดลและภูมยืนหน้าโถฉี่ ครั้งคู่กำลังใช้สมาธิอยู่กับการปลดทุกข์ อยู่ ๆ นดลก็พูดออกมา
“น้องเอชอบแกว่ะ”
ภูมเหมือนตื่นจากภวังค์ เขาหันมาทางนดล “น้องเขาบอกแกเหรอ”
“เปล่าหรอก ภาษากายและสิ่งที่น้องแสดงออกมามันบอกแบบนั้น”
“ไม่เข้าใจ แกคิดไปเองหรือเปล่า เป็นแกเองไม่ใช่หรือที่ชอบน้องเอ”
“ความจริงแล้วก็ใช่ ข้าแอบชอบน้องมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ แต่ตอนนั้นรุ่นพี่จะมาคบกับรุ่นน้องมันคงจะไม่เหมาะสม”
ทั้งคู่เสร็จธุระจากโถฉี่ก็เปลี่ยนไปทำธุระที่อ่างล้างมือต่อ
“เออนี่ มีอีกเรื่องนึงที่อยากจะขอร้อง” นดลพูดในขณะที่กำลังล้างมือ
“อะไร”
“แกช่วยคบกับน้องเขาหน่อยได้มั้ย”
“เฮ้ย... นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน อยู่ ๆ จะมาบอกให้ไปคบกับคนที่ตัวเองแอบชอบอยู่ ในโลกนี้มันมีด้วยหรือ”
“ก็ข้าอยากให้น้องเอมีความสุขน่ะ ข้าสังเกตมานานแล้วนะ ตั้งแต่สมัยเรียนแล้วน้องเขาจะต้องหาโอกาสมาเจอแก มามองหน้าแก มาส่งยิ้มให้แกเสมอ ไม่แน่นะว่าครั้งนี้ที่นัดน้องเขามากินข้าวได้ เพราะข้าบอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วย พอน้องถามว่าใครมาบ้าง พอบอกชื่อแกไปน้องก็ตอบตกลงทันทีเลย”
ภูมทำสีหน้าอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เขามองทะลุกระจกสะท้อนไปยังใบหน้าของนดลที่แสดงออกถึงความเหนื่อยล้าและสิ้นหวัง อารมณ์หดหู่ของนดลเริ่มทำให้ภูมรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
“จะว่าไปแกก็หน้าตาดี หุ่นสูงยาวเรียนก็เก่ง มีคนมาจีบแกตั้งมากมายทั้งจากในคณะและต่างคณะ แกก็ไม่เคยสนใจใครเลย แต่สาว ๆ พวกนั้นก็ยังตามตื๊อแกไม่เลิก มันเป็นเพราะอะไรกันนะ”
“ข้าไม่รู้ รู้แต่เพียงว่าข้าชอบน้องเอ”
นดลตอบสั้น ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
ทั้งคู่ล้างมือกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่นดลก็อยากจะเปิดเผยความในใจและระบายมันออกมาให้เพื่อนรู้ เขาจึงยังยืนอยู่ตรงนั้น และภูมก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย
“ข้าคงจะไปคบกับน้องเขาไม่ได้หรอกว่ะ มันคงจะไม่เป็นเรื่องที่ดีแน่ แต่นั่นก็ทำให้รู้ว่าแกจริงใจกับน้องเขาแค่ไหน” ภูมพูดพร้อมหันหน้ามาสบตาเพื่อน “บางทีนะ ข้าว่าบางทีเราอาจจะใส่ใจคนที่เราชอบมากเกินไป จนทำให้คนคนนั้นรู้สึกอึดอัด หรือทำให้รู้สึกว่าไม่มีทางเลือกหรืออะไรแบบนี้ ถ้าหากว่าได้เว้นที่ว่างระหว่างกัน ให้แต่ละคนได้มีพื้นที่ในการคิดในการตัดสินใจ นั่นอาจจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่า”
นดลได้ฟังดังนั้นก็ยืนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “หมายถึงให้ข้าปลงเหรอ”
“คนละเรื่องกัน หมายถึงว่าอย่าไปเซ้าซี้น้องมากเกินไป ลองคิดดูสิ ทำไมสาว ๆ ในมหาฯลัยถึงยังกรี๊ดกร๊าดแก นั่นเพราะว่าพวกเธอเหล่านั้นมีโอกาสปลื้มและจินตนาการว่าคนที่ตัวเองปลื้มเป็นอย่างนู้นเป็นอย่างนี้ แต่กับน้องเอใหม่ ๆ อาจจะยังปลื้มแกด้วยเหมือนกัน แต่พอได้พูดคุยกันบ่อย ๆ ขึ้นอาจจะทำให้บางอย่างที่น้องเขาคิดมันไม่เหมือนกับความจริงของตัวแกเอง”
นดลทำสีหน้าเห็นด้วยออกมา “ใช่ ข้าทักเฟสทักไลน์น้องเขาแทบทุกวันเลย บางทีอาจจะทำให้น้องเขาอึดอัด”
บนโต๊ะอาหารที่พร่องไปเกือบหมดโต๊ะ ทั้งหมดนั่งกินกันเหมือน ๆ กับโต๊ะอื่น ๆ ข้างเคียงทั่วไป มีการพูดจาหยอกล้อกันสนุกสนานตาประสาเพื่อนฝูง เพียงแต่ว่าในครั้งนี้เสียงของนดลน้อยลง คงมีแต่รอยยิ้มและแววตาที่ยังคงส่งมาให้ทางสาวสวยบนโต๊ะเป็นระยะ ๆ นาน ๆ ที
เอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและพูดออกมา “พี่ ๆ คะ พอดีน้องต้องรีบกลับบ้านแล้วเพราะนัดไว้กับที่บ้านว่าจะไปซื้อของกัน ต้องขอตัวก่อนนะคะ” เธอพูดเสร็จก็ควักแบงค์ห้าร้อยออกมาจากกระเป๋ามาวางบนโต๊ะ “นี่ค่าอาหารค่ะ”
ทั้งโต๊ะต่างช่วยกันปฏิเสธเงิน นดลรีบสำทับ “ไม่ต้องเลยครับ มาวันนี้พี่บอกแล้วว่าจะเลี้ยงฉลองงานใหม่ให้น้อง”
“อย่าปฏิเสธน้ำใจเลยครับ เพื่อนพี่อุตส่าห์ตั้งใจมาขนาดนี้แล้ว เดี๋ยวจะเสียน้ำใจแย่” ภูมช่วยพูด “เอาอย่างนี้สิน้อง เพื่อนพี่มันคงจะไม่ว่าหรอกนะถ้าน้องจะเลี้ยงมันคืนในวันหลัง”
นดลได้แต่ทำสีหน้าเหรอหราเออออไปกับคำพูดนี้ เขาสบตาเข้ากับแววตาคู่สวย รอยยิ้มแทนคำขอบคุณจากริมฝีปากบางนี้เกือบทำให้ชายหนุ่มหัวใจหยุดเต้น เอยกมือไหว้ขอบคุณนดล
“ขอบคุณมากนะคะพี่นดล วันนี้เอขอตัวก่อนนะคะ” สาวสวยลุกขึ้นยืนและเตรียมจะเดินออกจากโต๊ะไป เธอเหมือนคิดอะไรได้อย่างหนึ่งจึงหันหน้ามาที่นดล “เดี๋ยววันนี้ถ้าเอกลับถึงบ้านจะทักพี่ไปทางไลน์นะคะ”
นดลยิ้มบานกับคำพูดนี้ เขายังตามไปส่งเอด้วยสายตาจนเธอเดินลับสายตาไป
“เราต้องเว้นที่ว่างไว้ให้แต่ละฝ่ายมีพื้นที่ไว้ตามหาฝันด้วยว่ะเพื่อน” อยู่ ๆ ภูมก็พูดขึ้นมาบนโต๊ะ
“ไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อนเลย ขอบใจแกมากจริง ๆ ว่ะภูม” นดลตอบ
ทั้งโต๊ะนอกจากภูมและนดลต่างงงกับคำพูดเหล่านี้ เมทีและดนัยหันมามองหน้ากันเองและทำสีหน้าแปลกใจ
“สงสัยสองคนนี้ดื่มชาเขียวมากไป สมองคงบวมไปแล้วแน่ ๆ ถึงพูดอะไรที่ไม่รู้เรื่องนี้ออกมา” เมทีพูดขึ้น
ทั้งโต๊ะมีเสียงหัวเราะดัง