ตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกกลับมาแดงเถือกอีกครั้ง!!! หลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ส่งสัญญาณว่าจะเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผสมโรงกับความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนซบเซา จากการที่ดัชนีพีเอ็มไอในเดือน เม.ย. ลดลงต่ำกว่า 50 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี สะท้อนถึงการหดตัวในภาคอุตสาหกรรมจีน
งานนี้เลยกลายเป็นประเด็นร้อนที่ฉุดให้ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐ และเอเชีย เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ร่วงระเนนระนาดแบบไม่เป็นท่า เช่น ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระหว่างวันลดลงหนักถึง 48.51 จุด ก่อนดีดตัวกลับมาปิดตลาดลดลง 23.81 จุด หรือ 1.46% จุด ขณะที่ญี่ปุ่น ร่วงลงถึง 1,143.28 จุด หรือ 7.32% ซึ่งลดลงมากสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์โอซากา ประกาศระงับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าของดัชนีนิเกอิ เนื่องจากดัชนีดิ่งลงอย่างรุนแรง ส่วนดัชนีฮั่งเส็ง ร่วงลงถึง 591.40 จุด หรือ 2.54% เป็นต้น ทำเอานักลงทุนขาขวิดพลิกกลยุทธ์การลงทุนแทบไม่ทัน
การออกมาแถลงของ ’เบน เบอร์นันเก้“ ประธานเฟด ครั้งนี้ ถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามอง เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีกระแสข่าวออกมาเป็นระลอกว่า สหรัฐจะยุติการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น และไม่จำเป็นต้องพิมพ์แบงก์เพิ่มเพื่อมาอุ้มเศรษฐกิจต่อไป
แต่การส่งสัญญาณรอบนี้กลับเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนต่างฉงน งงงวยกับถ้อยแถลงดังกล่าวพอสมควร และทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดหุ้น เพราะในช่วงแรก “เบน เบอร์นันเก้” ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสในช่วงค่ำตามเวลาประเทศ ไทยว่า นโยบายการเงินกำลังช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้น และเฟดจำเป็นต้องเห็นสัญญาณเพิ่มมากขึ้นที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจได้ดีดตัวขึ้นมากกว่านี้ ก่อนชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดบางคนก็ออกโรงสนับสนุนให้ลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรในเดือน มิ.ย.นี้
แม้ถ้อยแถลงที่ว่า... ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก แต่หลายฝ่ายได้วาดภาพไปแล้วว่าเฟดจะยุติการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ... และนั่นก็หมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวได้เองแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามาตรการใด ๆ ที่จะเข้ามาพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้โงหัวอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนต่างตื่นตระหนกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกมากันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่ถึงแม้เปอร์เซ็นต์การลดลงจะไม่ถลาลงลึกเหมือนประเทศอื่นในเอเชีย แต่ก็หลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้
เพราะอย่าลืมว่าเงินทุนต่างชาติที่ไหลทะลักเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องนั้น มาจากการอัดฉีดเงินเข้าระบบของประเทศต่าง ๆ และเมื่อเงินหรือสภาพคล่องล้นระบบ ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ทั้งสหรัฐและยุโรปยังง่อนแง่น ประเทศไทยและเอเชียจึงกลับมาเนื้อหอมเป็นที่น่าสนใจเสาะแสวงหาโอกาสทางการลงทุนของต่างชาติ
เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ก็คงถึงเวลาที่เงินร้อนซึ่งเคยไหลเข้ามาลงทุนในไทยจะถอนสมอเรือ และถอนทัพการลงทุน เพื่อหอบเงินกลับประเทศ และสิ่งที่จะตามมาติด ๆ ซึ่งสะท้อนได้เร็วที่สุดคือ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ลดลงอย่างหนัก แม้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยจะยังเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ตาม
สอดคล้องกับความเห็นของบรรดาผู้คร่ำหวอดในแวดวงตลาดหุ้น อย่าง “เทิดศักดิ์ ทวีธีระรรม” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ที่มองว่าความกังวลเรื่องเฟดจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้น ถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนต่างวิตกกังวลกันถ้วนหน้า และฉุดให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลง จากก่อนหน้านี้ที่ดีดตัวขึ้นแรงและเร็ว
เช่นเดียวกับ “กวี ชูกิจเกษม” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย บอกว่า การที่หุ้นไทยเริ่มปรับลดลงแรงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพร้ส์ เพราะที่ผ่านมาเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทยเป็นเงินร้อน ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนต่างชาติที่เคยนำเงินมาลงทุน ก็จะเทขายทำกำไร เพื่อถอนเงินลงทุนออกไป
ไม่เฉพาะตลาดหุ้นเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ หากสหรัฐเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาด แต่ยังสร้างความผันผวนให้กับตลาดทองคำในประเทศด้วย เพราะการกำหนดราคาทองคำของไทยนั้นต้องอิงกับตลาดต่างประเทศ
ซึ่งในเรื่องนี้ “จิตติ ตั้งสิทธิภักดี” นายกสมาคมค้าทองคำ ยอมรับว่า การที่ราคาทองคำในประเทศและตลาดโลกแกว่งตัวผันผวน เป็นผลจากการปล่อยข่าวต่าง ๆ ที่เข้ามาทุบราคาทองคำให้ปรับลดลง ซึ่งเมื่อสหรัฐออกมาระบุว่าจะไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็เป็นแรงผลักดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น แต่หากเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นและมีการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลง จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ราคาทองปรับลดลง
“การแถลงของเฟดได้ผล เพราะทำให้ราคาทองแกว่งตัวผันผวน ซึ่งยอมรับว่าการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของเฟดจะมีผลต่อราคาทองคำโดยตรง และถือเป็นหน้าม้าของกองทุน เป็นการพูดแบบไม่รับผิดชอบ ดังนั้น หากทุกคนตามกระแสก็จะทำให้ราคาทองปรับลดลง หรือเป็นการช่วยทุบราคาทอง แต่หากไม่ตามกระแสราคาทองคำก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปีนี้มองว่าราคาทองจะไม่ต่ำกว่า 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 18,000 บาทแน่นอน แต่ปี 57 ราคาทองคำจะปรับลดลงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มดีขึ้น และไม่มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการพิมพ์แบงก์เข้ามาในระบบเพิ่มเติม”
ขณะที่ “บุญเลิศ สิริภัทรวณิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออสสิริส จำกัด ที่มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ช่วงนี้ราคาทองคำจะแกว่งตัวขึ้นลงตามข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากมีข่าวว่าเฟดจะชะลอหรือหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณและทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงโดยตรง เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเมื่อมีข่าวว่าจะมีการปั๊มเงินเข้าสู่ระบบ ราคาทองคำก็ปรับเพิ่มขึ้นได้ แต่พอมีข่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐดีและหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาก็ปรับลดลง ซึ่งหากมีการหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง จะทำให้แรงเก็งกำไรทองคำชะลอตัวลง และทองเข้าสู่ปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
จะเห็นได้ว่าทั้งสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น และสินทรัพย์ที่เรียกว่ามีความมั่นใจและปลอดภัยสูงสุดอย่างทองคำ ต่างต้องขึ้นกับนโยบายต่าง ๆ ของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ หรือแม้แต่กลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่จะส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก จึงยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเศรษฐกิจของต่างประเทศมีผลกับระบบเศรษฐกิจของไทยไม่มากก็น้อย
แม้เวลานี้... ยังไม่มีใครออกมาระบุอย่างชัดเจนว่าเฟดจะดำเนินนโยบายอย่างไรต่อไป และหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้เมื่อใดกันแน่! แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือนักลงทุนทั่วโลกต่างตื่นตระหนกและหวาดวิตกคิดกันไปต่าง ๆ นานา จึงต้องรีบใช้จังหวะนี้เทขายหุ้นออกมา เพราะกลัวว่าหากถึงเวลาที่เฟดหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจจริงอาจถอนตัวไม่ทัน และต้องติดค้างอยู่บนหอคอยสูง
แต่หากมองในมุมกลับกันการที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างหนักถือเป็นการร่วงรับข่าวไปก่อนหน้า และเมื่อเฟดประกาศออกมาชัดเจนแล้วดัชนีหุ้นไทยอาจไม่ดำดิ่งก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้นักลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและทองคำต้องตั้งสติให้ดี และเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น เพราะตราบใดที่ยังไม่มีความชัดเจน ความผันผวนและความเสี่ยงก็จะมาคู่กับการลงทุนเสมอ!!!.
เครดิตบทความโดย ขวัญหทัย แนวหล้า เดลินิวส์
ปล. เรื่องของเรื่องก็เป็นเรื่องราวของความวิตกกังวลโดยแท้ ของท่าทีการขยับตัวจากเฟต จะให้หยุดคงไม่ได้เพราะวัฒนธรรมการเสพติดการแก้ไขปัญหาเงินด้วยเงินได้ฝังรากลึกไปแล้ว หากเป็นประเทศอื่นต้องแก้ด้วยการ รัดเข็มขัด แปรรูป แต่ตัวเอง มะกันเคยทำอะไร นอกจากโค่นต้นไม้มาปั่นเป็นกระดาษเพื่อพิมพ์ธนบัตร เห็นแบบนี้มองไปเลยครับ ไซด์เวย์ตลอดการเดินทางครับ ไม่มีอะไรให้กังวล ลงทุนแล้วถือพร้อมstoploss เท่านั้นแค่นี้ก็รวยครับ 555
จับตาเฟดเลิกกระตุ้นเศรษฐกิจ หวั่นฉุดตลาดหุ้น-ทองปั่นป่วน
ตลาดหุ้นไทยและทั่วโลกกลับมาแดงเถือกอีกครั้ง!!! หลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ส่งสัญญาณว่าจะเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (คิวอี) เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผสมโรงกับความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจจีนซบเซา จากการที่ดัชนีพีเอ็มไอในเดือน เม.ย. ลดลงต่ำกว่า 50 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปี สะท้อนถึงการหดตัวในภาคอุตสาหกรรมจีน
งานนี้เลยกลายเป็นประเด็นร้อนที่ฉุดให้ตลาดหุ้นทั้งในสหรัฐ และเอเชีย เมื่อวันที่ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา ร่วงระเนนระนาดแบบไม่เป็นท่า เช่น ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ระหว่างวันลดลงหนักถึง 48.51 จุด ก่อนดีดตัวกลับมาปิดตลาดลดลง 23.81 จุด หรือ 1.46% จุด ขณะที่ญี่ปุ่น ร่วงลงถึง 1,143.28 จุด หรือ 7.32% ซึ่งลดลงมากสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์โอซากา ประกาศระงับการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าของดัชนีนิเกอิ เนื่องจากดัชนีดิ่งลงอย่างรุนแรง ส่วนดัชนีฮั่งเส็ง ร่วงลงถึง 591.40 จุด หรือ 2.54% เป็นต้น ทำเอานักลงทุนขาขวิดพลิกกลยุทธ์การลงทุนแทบไม่ทัน
การออกมาแถลงของ ’เบน เบอร์นันเก้“ ประธานเฟด ครั้งนี้ ถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตามอง เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีกระแสข่าวออกมาเป็นระลอกว่า สหรัฐจะยุติการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น และไม่จำเป็นต้องพิมพ์แบงก์เพิ่มเพื่อมาอุ้มเศรษฐกิจต่อไป
แต่การส่งสัญญาณรอบนี้กลับเป็นประเด็นที่ทำให้หลายคนต่างฉงน งงงวยกับถ้อยแถลงดังกล่าวพอสมควร และทำให้เกิดความปั่นป่วนในตลาดหุ้น เพราะในช่วงแรก “เบน เบอร์นันเก้” ได้แถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสในช่วงค่ำตามเวลาประเทศ ไทยว่า นโยบายการเงินกำลังช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวขึ้น และเฟดจำเป็นต้องเห็นสัญญาณเพิ่มมากขึ้นที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจได้ดีดตัวขึ้นมากกว่านี้ ก่อนชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่เจ้าหน้าที่เฟดบางคนก็ออกโรงสนับสนุนให้ลดขนาดโครงการซื้อพันธบัตรในเดือน มิ.ย.นี้
แม้ถ้อยแถลงที่ว่า... ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก แต่หลายฝ่ายได้วาดภาพไปแล้วว่าเฟดจะยุติการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ... และนั่นก็หมายความว่าเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวได้เองแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพามาตรการใด ๆ ที่จะเข้ามาพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้โงหัวอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้จึงทำให้นักลงทุนต่างตื่นตระหนกเทขายสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นออกมากันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม้แต่ตลาดหุ้นไทยที่ถึงแม้เปอร์เซ็นต์การลดลงจะไม่ถลาลงลึกเหมือนประเทศอื่นในเอเชีย แต่ก็หลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้
เพราะอย่าลืมว่าเงินทุนต่างชาติที่ไหลทะลักเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา จนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องนั้น มาจากการอัดฉีดเงินเข้าระบบของประเทศต่าง ๆ และเมื่อเงินหรือสภาพคล่องล้นระบบ ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ทั้งสหรัฐและยุโรปยังง่อนแง่น ประเทศไทยและเอเชียจึงกลับมาเนื้อหอมเป็นที่น่าสนใจเสาะแสวงหาโอกาสทางการลงทุนของต่างชาติ
เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว ก็คงถึงเวลาที่เงินร้อนซึ่งเคยไหลเข้ามาลงทุนในไทยจะถอนสมอเรือ และถอนทัพการลงทุน เพื่อหอบเงินกลับประเทศ และสิ่งที่จะตามมาติด ๆ ซึ่งสะท้อนได้เร็วที่สุดคือ การลงทุนในตลาดหุ้นไทยที่ลดลงอย่างหนัก แม้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นไทยจะยังเหมือนเดิมและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ตาม
สอดคล้องกับความเห็นของบรรดาผู้คร่ำหวอดในแวดวงตลาดหุ้น อย่าง “เทิดศักดิ์ ทวีธีระรรม” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ที่มองว่าความกังวลเรื่องเฟดจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หากเศรษฐกิจของประเทศปรับตัวดีขึ้น ถือเป็นประเด็นที่นักลงทุนต่างวิตกกังวลกันถ้วนหน้า และฉุดให้ตลาดหุ้นไทยปรับฐานลง จากก่อนหน้านี้ที่ดีดตัวขึ้นแรงและเร็ว
เช่นเดียวกับ “กวี ชูกิจเกษม” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย บอกว่า การที่หุ้นไทยเริ่มปรับลดลงแรงนั้น ไม่ใช่เรื่องที่เซอร์ไพร้ส์ เพราะที่ผ่านมาเงินที่ไหลเข้ามาลงทุนในไทยเป็นเงินร้อน ดังนั้น เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัว นักลงทุนต่างชาติที่เคยนำเงินมาลงทุน ก็จะเทขายทำกำไร เพื่อถอนเงินลงทุนออกไป
ไม่เฉพาะตลาดหุ้นเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ หากสหรัฐเลิกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วกว่าที่คาด แต่ยังสร้างความผันผวนให้กับตลาดทองคำในประเทศด้วย เพราะการกำหนดราคาทองคำของไทยนั้นต้องอิงกับตลาดต่างประเทศ
ซึ่งในเรื่องนี้ “จิตติ ตั้งสิทธิภักดี” นายกสมาคมค้าทองคำ ยอมรับว่า การที่ราคาทองคำในประเทศและตลาดโลกแกว่งตัวผันผวน เป็นผลจากการปล่อยข่าวต่าง ๆ ที่เข้ามาทุบราคาทองคำให้ปรับลดลง ซึ่งเมื่อสหรัฐออกมาระบุว่าจะไม่ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็เป็นแรงผลักดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น แต่หากเมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจสหรัฐดีขึ้นและมีการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจลง จะเป็นแรงกดดันที่ทำให้ราคาทองปรับลดลง
“การแถลงของเฟดได้ผล เพราะทำให้ราคาทองแกว่งตัวผันผวน ซึ่งยอมรับว่าการดำเนินนโยบายต่าง ๆ ของเฟดจะมีผลต่อราคาทองคำโดยตรง และถือเป็นหน้าม้าของกองทุน เป็นการพูดแบบไม่รับผิดชอบ ดังนั้น หากทุกคนตามกระแสก็จะทำให้ราคาทองปรับลดลง หรือเป็นการช่วยทุบราคาทอง แต่หากไม่ตามกระแสราคาทองคำก็มีโอกาสปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งปีนี้มองว่าราคาทองจะไม่ต่ำกว่า 1,300 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือประมาณบาทละ 18,000 บาทแน่นอน แต่ปี 57 ราคาทองคำจะปรับลดลงมาก เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มดีขึ้น และไม่มีการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลอดจนการพิมพ์แบงก์เข้ามาในระบบเพิ่มเติม”
ขณะที่ “บุญเลิศ สิริภัทรวณิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออสสิริส จำกัด ที่มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ช่วงนี้ราคาทองคำจะแกว่งตัวขึ้นลงตามข่าวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หลังจากมีข่าวว่าเฟดจะชะลอหรือหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณและทำให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงโดยตรง เนื่องจากที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเมื่อมีข่าวว่าจะมีการปั๊มเงินเข้าสู่ระบบ ราคาทองคำก็ปรับเพิ่มขึ้นได้ แต่พอมีข่าวว่าเศรษฐกิจสหรัฐดีและหยุดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ราคาก็ปรับลดลง ซึ่งหากมีการหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง จะทำให้แรงเก็งกำไรทองคำชะลอตัวลง และทองเข้าสู่ปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
จะเห็นได้ว่าทั้งสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น และสินทรัพย์ที่เรียกว่ามีความมั่นใจและปลอดภัยสูงสุดอย่างทองคำ ต่างต้องขึ้นกับนโยบายต่าง ๆ ของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ หรือแม้แต่กลุ่มประเทศในยุโรป โดยเฉพาะการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจที่จะส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก จึงยากที่จะปฏิเสธได้ว่าเศรษฐกิจของต่างประเทศมีผลกับระบบเศรษฐกิจของไทยไม่มากก็น้อย
แม้เวลานี้... ยังไม่มีใครออกมาระบุอย่างชัดเจนว่าเฟดจะดำเนินนโยบายอย่างไรต่อไป และหยุดใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้เมื่อใดกันแน่! แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือนักลงทุนทั่วโลกต่างตื่นตระหนกและหวาดวิตกคิดกันไปต่าง ๆ นานา จึงต้องรีบใช้จังหวะนี้เทขายหุ้นออกมา เพราะกลัวว่าหากถึงเวลาที่เฟดหยุดกระตุ้นเศรษฐกิจจริงอาจถอนตัวไม่ทัน และต้องติดค้างอยู่บนหอคอยสูง
แต่หากมองในมุมกลับกันการที่ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงอย่างหนักถือเป็นการร่วงรับข่าวไปก่อนหน้า และเมื่อเฟดประกาศออกมาชัดเจนแล้วดัชนีหุ้นไทยอาจไม่ดำดิ่งก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้นักลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและทองคำต้องตั้งสติให้ดี และเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนให้มากขึ้น เพราะตราบใดที่ยังไม่มีความชัดเจน ความผันผวนและความเสี่ยงก็จะมาคู่กับการลงทุนเสมอ!!!.
เครดิตบทความโดย ขวัญหทัย แนวหล้า เดลินิวส์
ปล. เรื่องของเรื่องก็เป็นเรื่องราวของความวิตกกังวลโดยแท้ ของท่าทีการขยับตัวจากเฟต จะให้หยุดคงไม่ได้เพราะวัฒนธรรมการเสพติดการแก้ไขปัญหาเงินด้วยเงินได้ฝังรากลึกไปแล้ว หากเป็นประเทศอื่นต้องแก้ด้วยการ รัดเข็มขัด แปรรูป แต่ตัวเอง มะกันเคยทำอะไร นอกจากโค่นต้นไม้มาปั่นเป็นกระดาษเพื่อพิมพ์ธนบัตร เห็นแบบนี้มองไปเลยครับ ไซด์เวย์ตลอดการเดินทางครับ ไม่มีอะไรให้กังวล ลงทุนแล้วถือพร้อมstoploss เท่านั้นแค่นี้ก็รวยครับ 555